===============
เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวิหารเทพแห่งจักรพรรดิอวี้และประตูแดนสวรรค์ สาวกิเลนหาวและพูดเนือยๆว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าค่อยพูดในอนาคตดีกว่า ข้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงและไม่สนใจเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันกัน ยิ่งกว่านั้นลูกสาวทั้งสองในบ้านเจ้าได้โหมเพลิงอมฤตอีกแล้ว ข้ากำลังจะยืมเพลิงอมฤตชั่วคราว จะเอามาอาบร่างและหลับสักงีบ รอให้ข้ายกระดับเป็นกิเลนทองก่อนจากนั้นข้าค่อยคิดหาวิธีช่วยเจ้าก็แล้วกัน!”
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนั้น เขารู้ว่าคงจะไม่อาจนับรวมไปได้ นางและพี่น้องหงส์เพลิงเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีและซื่อตรงกันทั้งหมดไม่มีความคิดโจมตีใครก่อน ดูเหมือนพวกเขาจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อเขาเองอยู่ที่ปากประตูแห่งความตาย เขาไม่ควรหวังความช่วยเหลือของพวกเธอในเวลาปกติ
อย่างไรก็ตาม หญิงงามอู๋เหินถามแทนสามีนาง “เสาเพลิงอมฤตของหงส์เพลิงคืออะไรหรือ? เจ้าพาเย่ว์หยางเข้าไปดูด้วยได้ไหม?”
สาวกิเลนกระพริบตากลมโตน่ารัก และตอบ “นั่นเป็นสิ่งที่ข้ายังสับสนอยู่ ทำไมเขาถึงไม่เข้าไปอยู่ข้างใน..? อา..ข้าระคายคอมากจริงๆ ข้าไม่สามารถพูดมากได้ทุกวัน ราตรีสวัสดิ์นะทุกคน!” นางกลายเป็นรุ้งและลอยเข้าไปในตัวเย่ว์หยาง พอเห็นเช่นนี้สาวๆ ก็เหงื่อตก สาวกิเลนนี้พอถึงช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ก็ชอบทำแบบนี้ทุกที
ต้องมีเหตุผลแน่นอน ทำไมนางไม่ค่อยเต็มใจจะพูดถึงเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเป็นเช่นนั้น นางไม่จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างนี้ก็ได้
เย่ว์หยางออกไปหาก๊วนขโมยและส่งข้อความถึงนางเซียนหงส์ฟ้า ข้อความง่ายมากมีเพียงไม่กี่คำ วิหารเทพจักรพรรดิอวี้
อย่างไรก็ตาม เพราะข้อความถูกส่งไปให้มารกฎฟ้า ก๊วนขโมยจึงเรียกราคาร้อยเหรียญทองจากเย่ว์หยาง และไม่รับประกันด้วยว่าพวกเขาจะส่งข้อความได้สำเร็จ เย่ว์หยางปวดใจอยู่ครู่หนึ่ง มันบ้าอะไรกัน ฆ่าเสือดาวสายฟ้าอสูรทองแดงระดับ 3 และเอาหนังกับผลึกเวทของมันยังได้เพียงห้าเหรียญทองเท่านั้น
ส่งข้อความนี้ใช้ทองตั้งร้อยเหรียญเชียวหรือ นี่ไม่ต่างอะไรกับการปล้นกลางวันแสกๆ
ส่งข้อความมีมูลค่าเท่ากับฆ่าเสือดาวสายฟ้ายี่สิบตัวเชียวหรือ?
แม้แต่ค่าโทรศัพท์มือถือของจีนก็ยังไม่น่ากลัวขนาดนั้น
เย่ว์หยางเกือบใช้ดาบจันทร์เสี้ยวเล่มใหม่ฟันใส่เจ้าโจรแก่หน้าด้านข้างหน้าเขาเสียแล้ว
พอกลับไปที่สวนดอกไม้น้อย เสวี่ยอู๋เสียมีข้อเสนอแนะเย่ว์หยาง “คัมภีร์ของเจ้ายังไม่ได้ยกระดับและทักษะแฝงเร้นของเจ้ายังไม่เลื่อนระดับ ทำไมเจ้าไม่ถือโอกาสนี้ยกระดับมันเสียเล่า จะได้เป็นประโยชน์กับเจ้า หลังจากผ่านด่านสิบสองนักษัตร เจ้าจะต้องผ่านด่าน “เทวสถานสามโลก” ทันทีที่เจ้าผ่านด่านได้ ก็จะไม่มีข้อจำกัดระดับอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรในหอทงเทียน แม้จะเป็นนักสู้ระดับ 3 ไม่สำคัญว่าทุกคนจะรู้ว่าเจ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด การยกระดับของเจ้าจะช่วยให้เจ้าได้รับรางวัลจากรหัสโบราณ เราควรจะทำเช่นนี้ หลังจากรับรางวัลแล้ว เราจะได้ความเชื่อมั่นสามารถสำรวจวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ได้”
คำแนะนำของนางดีมาก เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา เย่ว์หยางไม่เคยใช้วิธีเรียกคัมภีร์ออกมาและกางโล่ป้องกันตัวในการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถยกระดับคัมภีร์ของเขา
เสี่ยวเหวินหลีไม่จำเป็นต้องถูกเรียกออกมาและเธอก็ยังช่วยเรียกโคเงาและนางพญากระหายเลือดออกมาด้วย ผลก็คือ เย่ว์หยางไม่ต้องเรียกพวกเขาออกมาก็ยังคงสู้ได้ต่ออย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ใหญ่หรือเล็ก เย่ว์หยางไม่ค่อยใช้คัมภีร์ของเขาบ่อยนัก และยังเป็นเช่นนี้แม้เมื่อเขาบุกเข้าวิหารสิบสองนักษัตรแบบสายฟ้าแล่บ
“งั้นข้าจะไปท้าทายผ่านด่านภารกิจเทวสถานสามโลกที่หอทงเทียนระดับ 2” เย่ว์หยางจำได้ว่าเก็บมุกลึกลับที่เขายังระบุไม่ได้ด้วยพลังญาณทิพย์ของเขาหลังจากผ่านด่านสิบสองนักษัตร มันยังลึกลับมากกว่ามุกที่ผนึกอสุรกายทองดำ มันรู้สึกเหมือนกับจี้หยกดำที่เคยผนึกนางพญาเฟ่ยเหวินหลี ดูภายนอกเหมือนเป็นของธรรมดาทั่วไป เขาไม่สามารถมองเห็นคลื่นพลังใดๆ จากมันได้เลย
อย่างไรก็ตาม ในแดนแห่งความฝัน มุกลึกลับนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏ นอกจากสร้อยหยกดำ
เมื่อพี่สาวคนสวยในฝันถือมันมาดู นางสังเกตดูชั่วขณะก่อนที่จะโยนคืนให้เย่ว์หยาง
นั่นคือรางวัลสำหรับการผ่านด่านสิบสองนักษัตรได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นของสวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเข้าในดินแดนแห่งความฝันได้นอกจากสร้อยหยกดำ มันต้องเป็นสมบัติในสมบัติอย่างแน่นอน
สร้อยหยกดำผนึกนางพญาเฟ่ยเหวินหลีไว้ข้างใน แม้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทรงพลังถูกผนึกไว้ในมุกลึกลับ มันก็ยังเป็นสมบัติมีค่าแน่นอน
ก็แค่เพียงว่าด้วยทักษะญาณทิพย์ในปัจจุบัน เขาไม่สามารถระบุสถานะที่แท้จริงซึ่งอยู่เบื้องหลังมุกนี้ได้
เขาได้รับรางวัลหลายอย่างจากวิหารสิบสองนักษัตร และเทวสถานสามโลกจะเป็นเช่นไร?
เทวสถานสามโลกมีความยากระดับเดียวกับวิหารสิบสองนักษัตร แน่นอนว่านอกจากเย่ว์หยาง นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์แล้ว ไม่มีนักรบอื่นผู้สามารถกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเมื่อเขายังเป็นนักสู้ระดับ 3 สิทธิ์ในการเข้าวิหารสิบสองนักษัตรและเทวสถานสามโลก ศาลฟ้า, ศาลดิน, ศาลมนุษย์ถูกจำกัดไว้สำหรับนักสู้ที่มีระดับต่ำกว่า 6
อาจกล่าวได้ว่านิสัยแย่ๆ ของเย่ว์หยางที่ไม่เรียกคัมภีร์ออกมาระหว่างต่อสู้ทำให้เขาได้รับโอกาสนี้
ถ้าเย่ว์หยางเรียกคัมภีร์ของเขาในทุกๆ การต่อสู้ เขาจะได้คะแนนสะสมประสบการณ์ต่อสู้จนถึงระดับ 6 ได้อย่างรวดเร็ว เขาคงไม่อาจเข้าวิหารสิบสองนักษัตรและเทวสถานสามโลกได้
“ข้าจะรั้งอยู่และฝึกกับพี่อี้หนานให้หนัก” เย่ว์ปิงรู้ว่าถ้านางติดตามไปด้วยพี่ชายนางก็จะยกรางวัลภารกิจให้นางทั้งหมด
“หยุดพูดวกวน แล้วก็รีบไปรีบมาล่ะ” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยื่นกำปั้นออกมาทุบไหล่เย่ว์หยาง
ภายนอกนางอาจดูดุร้าย แต่ความจริงนางกังวลใจ
ถ้านางต้องการกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดภายในเดือนเดียว บางทีนางจำเป็นต้องฝึกผสานกายให้มากกว่าแค่ประกบฝ่ามืออย่างที่ทำในครั้งก่อน บางทีอาจมากกว่าการกอดและจูบอย่างที่เสวี่ยอู๋เสียทำ.. พวกเขายังไม่แต่งงานกัน และเจ้าเด็กนั่นก็ยังไม่หลงใหลใฝ่หานาง พวกเขายังต้องนอนเปลือยกายด้วยกัน และนางต้องยอมให้เขาเห็นส่วนลับในร่างกายนาง เป็นข้อเรียกร้องที่มากเกินไป แต่ก็ไม่มีทางอื่น ถ้านางไม่ทำอย่างนี้ นางจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดภายในเดือนเดียวได้อย่างไร? นางยังพอรับได้ถ้าต้องเปลือยกายนอนด้วยกัน แต่จะเป็นเช่นไรถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจแล้วกินไข่แดงนาง? ถึงเวลานั้นนางคงเสียใจแน่..
เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อผู้ใหญ่ของนางกลับมาจากดินแดนเผ่าปีศาจบูรพา นางก็คงต้องพูดว่า “ขอแสดงความยินด้วย ท่านได้เขยใหม่คนหนึ่งแล้ว เป็นหลานของพี่ไห่ของท่านไง ถ้าท่านไม่ถือสาที่จะฟังข่าวดีอื่น ข้าอยากจะบอกท่านว่าท่านจะได้อุ้มหลานในอีกไม่ช้านี้”
ดูเหมือนพระบิดานางคงจะกริ้วจนตกจากบัลลังก์ก็เป็นได้
ไม่ว่าพระบิดานางจะกริ้วเพียงใด มันก็จะผ่านไปได้
อย่างมากที่สุด นางก็คงถูกดุสักพักใหญ่
อย่างไรก็ตาม ปัญหาจริงๆ ก็คือนางยังไม่ได้เตรียมตัว เป็นไปได้ไหมว่านางจะมีจุดลงเอยเช่นเดียวกับพี่อู๋เหิน? เนื่องจากข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ลงท้ายนางก็จะต้องคอยบริการเจ้าเด็กนั่นทุกค่ำคืน ต้องละเล่นกับเขาทั้งคืนยันรุ่ง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกระสับกระส่าย แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่บอกความกังวลใจของนางให้คนอื่นทราบ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังไม่สามารถปลอบใจนางได้
อย่าว่าแต่เสวี่ยอู๋เสีย บางทีนางคงจะเลิกกังวลโดยทำเป็นเมินเฉย
พี่โล่วฮัวก็มีความกังวลเช่นเดียวกับนาง ขณะที่เย่ว์หวี่ดูเหมือนนางจะกังวลมากยิ่งกว่าเสียอีก
พอเห็นร่างเย่ว์หยางถอยห่างออกไป องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนลอบถอนหายใจ.. ดูเหมือนร่างกายนางคงต้องยกให้เจ้าเด็กนั่นเป็นข้อแลกเปลี่ยน เจ้าเด็กนี่โชคดีอะไรอย่างนี้? พี่น้องของนางล้วนภูมิใจและหยิ่งในตนเองมาก พวกนางไม่หลงรักบุรุษได้โดยง่ายดาย ไม่ว่าบุรุษพวกนั้นจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ในที่สุดก็ไม่มีคนใดหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าเด็กนี่ได้ หรือนี่คือประสงค์ของเทพเจ้า?
หญิงงามอู๋เหินดูเหมือนจะรับรู้ถึงความกังวลขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน นางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
นางไม่มีตัวที่ซีดขาวอีกต่อไป เลือดฝาดสูบฉีดอยู่บนผิวที่เรียบเนียนขาวราวหิมะของนาง นัยน์ตานางกระจ่างดุจน้ำค้างมีกิริยาอ่อนโยนของภรรยาผู้ฉลาด “เชี่ยนเชี่ยน, เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ความจริง เรื่องอย่างนั้นไม่ได้น่ากลัวนักหรอก ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หยางไม่ใช่เสือร้ายที่กินคนหรอกนะ!”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนชักจะกลัวขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
นางคิดว่าอู๋เหินพูดถูก แม้แต่นางผู้มีร่างกายบอบบางก็ยังทนได้ คนอื่นๆ ก็คงไม่มีปัญหาเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น พวกนางมักจะได้ยินเสียงกิจกรรมยามค่ำคืนที่เจ้าเด็กนั่นและนางทำกันตลอดทั้งคืนไม่หยุดหย่อน แต่นางก็รู้สึกเสมอว่าไม่มีอะไรในวันต่อไป นางมักจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ดูเหมือนว่าใบหน้านางยังเปล่งปลั่งอีกด้วย เป็นไปได้หรือว่าหญิงสาวก็สามารถรองรับธรรมชาติของชายหนุ่มได้? รู้สึกดีจริงๆ หรือที่ทำอย่างนั้น? จากเสียงครางของพี่อู๋เหินยามค่ำคืน ดูเหมือนว่าแม้แต่วิญญาณนางแทบหลอมละลาย.. ทันใดนั้นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนคิดถึงเรื่องร่างกายของเย่ว์หยาง จำได้ว่านางเคยเห็น “ของเขา” มาก่อน 2-3 ครั้ง ทันใดนั้นนางอายหน้าแดง ขณะที่หัวใจเต้นโครมครามเหมือนโดนค้อนทุบที่อกนาง เป็นไปไม่ได้แน่นอน มันใหญ่มาก ถ้าเขาบังคับแข็งขืนนาง จะมิเจ็บมากกระนั้นหรือ?
ยิ่งกว่านั้น ก่อนที่พระบิดาผู้เฒ่าจะเห็นด้วยที่จะหมั้นนางกับเขา นางคงจะพบพระองค์พร้อมกับลูกในครรภ์นางไม่ได้แน่ นางคงจะอาย แต่พระองค์เป็นจักรพรรดิ ดังนั้นนางจำเป็นต้องรักษาชื่อเสียงของนางไว้
เจ้าหญิงที่ไหนกัน ถึงมีลูกนอกสมรสได้?
ถึงตอนนี้ เย่ว์หยางไม่รู้สิ่งที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกำลังคิด เขากำลังวุ่นกับการมุ่งหน้าสู่หอทงเทียน
การเดินทางของเขาราบรื่น เขาเทเลพอร์ตเข้าหอทงเทียน จากนั้นเทเลพอร์ตไปที่ชั้นสอง เตรียมเดินทางไปเทวสถานสามโลกในดินแดนมหาโมฆะ
ทำเลที่ตั้งจะตั้งอยู่ในเขตแดนดาวคล้ายกับวิหารสิบสองนักษัตร มีข้อจำกัดที่กำหนดโดยรหัสโบราณ ณ ดินแดนมหาโมฆะ นักรบจะไม่สามารถใช้ทักษะต่อสู้ได้ พวกเขาสามารถใช้ได้เพียงสัตว์อสูรของเขาสู้เท่านั้น แน่นอน นักรบผู้ใช้อสูรผสานร่างและอสูรเสริมพลังได้รับการยกเว้น
นักรบกับอสูรเสริมพลังดูเหมือนจะกำความได้เปรียบในภายนอก แต่เนื่องจากข้อจำกัดของรหัสโบราณ พวกเขาจะเสียเปรียบในที่สุด ทั้งนี้เพราะขณะที่พวกเขาสู้ด้วยร่างกายตนเอง ทันทีที่พวกเขาเผชิญอันตราย มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะตายได้ทันที อสูรสายธาตุจำเพาะและอสูรสายต่อสู้สามารถหนีได้ ขณะที่อสูรรูปแบบพิเศษ จะถูกลดระดับลงเป็นสัตว์เลี้ยงหย่อนใจ พวกมันจะถูกนักรบธรรมดาทอดทิ้ง
ยกเว้นแต่คนผู้มีอสูรพิทักษ์รูปแบบพิเศษที่ผิดธรรมดามากอย่างเย่ว์หยาง
“เจ้าต้องการท้าแข่งในเทวสถานสามโลกหรือ?” หัวหน้าองครักษ์เกราะทองผู้ดูลักษณะแล้วไม่ใช่คนเดียวกับพวกทหารยามจากวิหารสิบสองนักษัตร เขาไม่รู้จักเย่ว์หยางแม้แต่น้อย และลักษณะของเย่ว์หยางตอนนี้ก็อยู่ในชุดขโมยน้อยคนหนึ่ง
“ถูกแล้ว” เย่ว์หยางคร้านจะอธิบาย เขาจ่ายค่าธรรมเนียมแล้วผ่านเข้าไปทันที
“งั้นก็ขอให้โชคดี” ในแต่ละปีหัวหน้าองครักษ์เกราะทองจะรับผู้ท้าแข่งขันไม่น้อยกว่าพันคน แต่ละคนล้วนมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เขาประเมินว่าเจ้าขโมยน้อยที่เป็นนักสู้ระดับ 3 นี้คงทนอยู่ได้ไม่เกินสิบนาที บางทีเขาอาจจะแหกปากร้องขณะหลบหนีไป หรือไม่ก็ตายอยู่ข้างใน ไม่สามารถออกมาได้ตลอดกาล
ครั้งนี้เย่ว์หยางได้รับบทเรียนมาแล้ว เขาไม่ใช้บัตรแก้วที่ดึงดูดความสนใจทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาใช้สถานะของเขาในฐานะเย่ว์หยางและทำเป็นบัตรทองแดงร่วมกับอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าปกปิดสถานะของเขาและกลายเป็นผู้แนะนำของเขา แม้ว่านักรบตามปกติจะทำได้แค่เพียงบัตรเดียวในชีวิตของเขา แต่เย่ว์หยางมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังเขาหลายคน ดังนั้นเขาสามารถแอบทำบัตรและได้รับการยกเว้นด้วย
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าคิดว่าเย่ว์หยางคงทำบัตรทองแดงปลอมที่ไม่สามารถใช้อะไรได้ คาดไม่ถึงเลยว่า เขาพบต่อมาว่าตามปกติบัตรนั้นถูกจดจำโดยรหัสโบราณ
ขณะเดียวกัน เขาตกใจหนักจนปากอ้าตาค้าง.. ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจว่าเย่ว์หยางเองก็ถือว่าเป็นคนผิดธรรมดามากอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่ควรจะประหลาดใจอีกต่อไป
เย่ว์หยางย่างเท้าเข้าไปในเทวสถานมนุษย์
นี่เป็นครั้งแรก ด้านนอกเทวสถานสามโลก เหมือนกับที่วิหารแกะของวิหารสิบสองนักษัตรที่เขาเข้าไปครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม เทวสถานมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อาคาร สัตว์ประหลาดป้องกันหรือขอบเขตจำกัด จะมากกว่าวิหารแกะถึงสิบเท่า
มีหุ่นทหาร อสูรทองแดงระดับ 5 ห้าร้อยตัว หุ่นนายกองอสูรทองแดงระดับ 6 ห้าสิบตัว, หุ่นขุนพล อสูรทองแดงระดับ 7 ห้าตัวและหุ่นราชา อสูรทองแดงระดับ 8 อีกหนึ่งตัว ถ้าผู้ท้าแข่งไม่ใช่เย่ว์หยางแต่เป็นนักรบอื่นแทน ซึ่งเป็นนักสู้ระดับ 5 เป็นอย่างมาก เขาอาจจะตกใจเริ่มร้องไห้ทันทีที่เขาเห็นกองทัพหุ่นทหารก็เป็นได้
นักสู้ระดับ 5 จะทำอะไรได้บ้างนี่? คงจะดีแค่ไหนถ้าเขาครอบครองอสูรทองแดงระดับ 5
สู้กับศัตรู 500 ตามลำพังหรือ?
ยิ่งกว่านั้นยังมีหุ่นนายกอง 50 และหุ่นขุนพลอีก 5 และหุ่นราชาอีก 1 คอยเสริม นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักรบธรรมดาจะท้าทายได้
ถ้าเป็นหุ่นมนุษย์ไม่กี่ร้อย ก็ยังพอรับกันได้
บนท้องฟ้า มีอีกาไฟคอยโจมตีจากระยะไกล อสูรบินทำให้สิ้นหวังจริงๆ มีอีกาไฟ อสูรทองแดงระดับ 5 จำนวน 2-3 ร้อยคอยจู่โจมภาคอากาศ
ตามแม่น้ำที่คดเคี้ยว มีคลื่นยักษ์คอยยิงโจมตีจากระยะไกลด้วยเช่นกัน โดยฉีดพ่นเศษน้ำแข็งใส่
ในทำนองเดียวกัน พวกมันเป็นอสูรทองแดงระดับ 5
“พวกบ้าที่ไหนกันถึงจะผ่านด่านเทวสถานสามโลกทั้งที่เป็นนักสู้ต่ำกว่าระดับ 6? เป็นการแข่งขันที่บ้าชัดๆ!” เย่ว์หยางรู้ว่าเขาเป็นผู้ได้รับการยกเว้น ไม่มีผู้ใดสู้โดยไม่เรียกคัมภีร์อัญเชิญเหมือนเขาได้ เขามีเสี่ยวเหวินหลี, เงาปีศาจ, ฮุยไท่หลาง, ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์, เพลิงอมฤต, วงจักรล้างโลกและอื่นๆ เขาไม่จำเป็นต้องเรียกโล่พลังเพื่อปกป้องเขา ส่วนคนอื่นๆ ย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้
ปราศจากความสามารถแบบเขา นักรบระดับ 5 ผู้พยายามผ่านด่านนี้ ก็เท่ากับหาที่ตาย
ไม่มีเวลาป้องกันในเทวสถานมนุษย์ ศัตรูจู่โจมใส่เย่ว์หยางทันที
สงครามเริ่มแล้ว
ตอนนี้เย่ว์หยางเปลี่ยนวิธีการ เขาเรียกคัมภีร์เงินชั้นสูงของเขาออกมา
เสี่ยวเหวินหลีลอยออกมาและเรียกเมดูซ่าศิลาและเงือกวายุออกมาสังหารอสูรคลื่นยักษ์ในน้ำ
นางพญากระหายเลือดและตั๊กแตนมรณะฆ่าอีกาไฟในท้องฟ้า ขณะที่โคเงาและปีศาจดอกหนามสู้กับหุ่นมนุษย์บนภาคพื้น เย่ว์หยางนั่งพักอย่างสบายอารมณ์อยู่ในโล่ปกป้องแทะแอปเปิ้ลมองดูเสี่ยวเหวินหลีสู้กับหุ่นราชาอย่างสบายๆ
การต่อสู้จบลงภายในสิบนาที
อาหมันได้รับการเสริมพลังด้วยเงาปีศาจยักษ์ถึงสองตนกระแทกใส่หุ่นทหารแหลกเป็นชิ้นๆ อย่างง่ายดายเหมือนกับกะเทาะข้าวเปลือก ปริมาณไม่เป็นปัญหาสำหรับนาง เพราะความแตกต่างกันเรื่องระดับ ความแข็งแกร่งและปัญญาทำให้นางกวาดล้างกองทัพหุ่นได้ง่ายดาย ปีศาจดอกหนามก็ฟาดใส่ขุนพลหุ่น 5 ตัวได้อย่างง่ายดาย นางยังเลือกเก็บแก่นพลังของหุ่นนำกลับมาให้เย่ว์หยางด้วย อีกาไฟในท้องฟ้าหนีกระเจิดกระเจิงไปในทิศต่างๆ พวกมันพยายามจะหลบหนี อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกมันจะบินเร็วแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแขนเคียวของตั๊กแตนมัจจุราชได้ อย่าว่าแต่นางพญากระหายเลือดมีชื่อเสียงเรื่องความเร็วอยู่แล้ว
พลังคลื่นเสียงของนางทำให้อีกาไฟร่วงลงพื้นหลายตัว
มีดทองฆ่ามังกรของนางยังคงเป็นเครื่องจักรสังหารที่แหลมคม
เมดูซ่าศิลาและเงือกวายุเป็นเทพเจ้าในลำน้ำ อย่าว่าแต่พวกนางเลย แค่ฉลามเสือทองที่เมดูซ่าศิลาเรียกออกมาก็มีพลังที่ไม่มีใครหยุดได้
ความจริงนี่ไม่ใช่เพราะอสูรที่ป้องกันเทวสถานมนุษย์แข็งแกร่งไม่พอ แต่เป็นเพราะอสูรของเย่ว์หยางแข็งแกร่งผิดธรรมดาต่างหาก
เมื่อเสี่ยวเหวินหลีแช่แข็งหุ่นราชาด้วยดาบน้ำแข็งคู่ของเธอและสกัดแก่นพลังของหุ่นออกมา คัมภีร์ของเย่ว์หยางก็ยกระดับได้ในที่สุด
ลำแสงสีรุ้งฉายลงบนคัมภีร์ทอง ขณะที่มีวงแหวนแสงเฉพาะแบบหมุนวนอยู่รอบคัมภีร์ วงแหวนดูเหมือนจะมีอาณาเขตใหม่และเหมือนมีแถวอักษรรูนเพิ่ม โดยมีคัมภีร์อยู่ตรงจุดศูนย์วงแหวนแสงกระจายเป็นรัศมีราวสิบเมตร
เย่ว์หยางจ้องมองด้วยความงงงวยชั่วขณะ เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นวงแหวนแสงของคัมภีร์ผู้ใดมาก่อน วงแหวนแสงคัมภีร์ของเขาสดุดตาและอวดต่อสายตาเกินไปไม่ใช่หรือ?
วงแหวนแสงใช้ทำอะไรได้?
ตอนนี้เขายังไม่รู้ บางทีน่าจะมีข้อมูลอยู่ในคัมภีร์
เมื่อเขามองดูในคัมภีร์ของเขา เย่ว์หยางถึงกับสะดุ้งตกใจจนตัวลอย ไม่มีอะไรต่างกันมากเกี่ยวกับลักษณะคัมภีร์อัญเชิญของเขา เมื่อครั้งยังเป็นคัมภีร์เงินชั้นสูงก่อนนั้น ก็มีเพียงปกคลุมด้วยวงเวทอักษรรูนมากมายเท่านั้น ตอนนี้ แม้แต่คนตาบอดก็มองเห็นได้ว่าคัมภีร์อัญเชิญของเย่ว์หยางเป็นคัมภีร์พิเศษ ก่อนอื่นเลย มันมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ คนอื่นๆ แม้มีคัมภีร์แพลตตินัมก็ยังใหญ่ไม่ถึงครึ่งคัมภีร์ทองของเย่ว์หยาง คัมภีร์ของเขามีขนาดยาวสองเมตร กว้างหนึ่งเมตร สำหรับความหนา เย่ว์หยางเห็นได้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องนับ มันมีมากกว่า 30 หน้า
เมื่อคัมภีร์ทองแดงของเขายกระดับเป็นคัมภีร์เงิน เขาได้หน้าเพิ่มเพียงหน้าเดียว และจะเพิ่มขึ้นครั้งละหน้าเมื่อยกระดับจะชั้นเริ่มต้นเป็นชั้นกลาง จากชั้นกลางเป็นชั้นสูง
ตอนนี้ มีหน้าเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบหน้า
วงเวทอักษรรูนนับไม่ถ้วนบนผิวคัมภีร์ กำลังจัดเรียงเป็นแถวอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าพยายามรวมเข้าเป็นแถวใหม่ แต่เย่ว์หยางไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
ปริมาณความรู้ในอักษรรูนโบราณที่เขาเรียนมายังไม่เพียงพอ
หลังจากรอเป็นเวลานาน ลำแสงสีทองสว่างก็กระจายออกไป ทว่าวงแหวนแสงยังคงเหลืออยู่ มีแม้กระทั่งอักษรรูนไม่กี่ตัวกำลังกระพริบอยู่บนวงแหวนรำไร ดูเหมือนจะบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์มาก ทั้งยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่
เย่ว์หยางจำอักษรรูนสวรรค์ได้บางส่วน มีความหมายถึงธาตุทั้งสี่นี้ คือ ลม ไฟ น้ำ ดิน
อะไรกัน นี่หมายความว่ายังไง
เพียงเปิดดูคัมภีร์ทองหน้าแรก เย่ว์หยางถึงกับตะลึงค้างทันที….
***************