===============
แสงเขียวนวลพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่เห็นเลือนราง มีแสงรุ้งอยู่ในมุม ขณะที่ต้นดอกหนามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากพื้นชูช่อตรงไปทางปีศาจดอกหนามผู้ยังลอยอยู่ในท้องฟ้า อากาศทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่สดชื่นมากจนอธิบายไม่ถูก เหมือนกับว่าเมื่อสูดดมแล้วจะรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์
กลีบดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศวนเวียนรอบปีศาจดอกหนามราวกับว่ามีชีวิต
รุ้งที่ด้านบนลำแสงเขียวทิ้งตัวโค้งลงมากลายเป็นสะพานสายรุ้ง
นอกจากนี้ยังมีไฟคล้ายหิ่งห้อยอยู่รอบๆ ระยิบระยับคล้ายหยดดวงดาว
เมื่อวิวัฒนาการมาถึงจุดสุดยอดและดอกหนามลอยลงมา ขณะที่ประกายแสงขาวแผ่กระจายออกส่องสว่างไปทั่วเทวสถานโลกทั้งหมดทำให้ดูเหมือนเวลากลางวัน
หลังจากแสงขาวเจิดจ้าส่องกระจายหายไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่
กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งขจรขจายไปทั่ว และดูคล้ายกับมีทิพยดนตรีบรรเลงอยู่เป็นเวลานานมาก
เย่ว์หยางรู้สึกถึงกลิ่นที่หอมแรงแต่ชุ่มชื่นและร่างสตรีที่อ่อนนุ่มในอ้อมแขนเขา ผิวที่ทำให้เขารู้สึกได้ด้วยการสัมผัสนั้นเรียบลื่นมากและเหมือนหยกที่ไม่มีที่ติ เป็นความรู้สึกยอดเยี่ยมจนมิอาจพรรณนาได้ ที่ใบหน้าของเขา ริมฝีปากอ่อนนุ่มราวกลีบดอกไม้ได้ประทับจูบลงที่แก้มของเขาทันทีที่เขาถูกกอด
ร่างที่นุ่มเนียนและหอมฟุ้งนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยกับเย่ว์หยาง
นี่คือปีศาจดอกหนามหรือ? ไม่ใช่, น่าจะเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฏทองที่วิวัฒนาการสำเร็จแล้ว
เมื่อเย่ว์หยางคืนสติจากความรู้สึกตาพร่า เขาก็เห็นร่างสตรีทรงเสน่ห์สมบูรณ์แบบ แตกต่างจากร่างสตรีอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน แต่ละนางก็มีจุดดีของตนเอง
“ผิวขาวราวหิมะ อ่อนนุ่ม ไร้ที่ติ ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นอธิบายลักษณะผิวพรรณที่งดงามของนางพญาดอกหนามมงกุฏทอง
สำหรับลักษณะของนาง เย่ว์หยางรู้สึกว่านางพญาดอกหนามมงกุฎทองจะดูคล้ายเสวี่ยอู๋เสีย, โล่วฮัว, เย่ว์หวี่และองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเล็กน้อย นางดูแตกต่างจากบรรดานางที่เอ่ยมาทั้งหมด แต่ใบหน้าของนางเป็นการผสมคุณสมบัติที่ดีที่สุดของพวกนาง ก่อให้เกิดลักษณะเฉพาะตัวของนาง มีลักษณะงดงามไม่มีใครเทียบได้ ดวงหน้านั้นงดงามมากจนเย่ว์หยางหายใจถี่ งามมากจนเย่ว์หยางถอนหายใจ ผมสีเขียวชอุ่มของนางทิ้งตัวเหยียดจากศีรษะซึ่งประดับด้วยมงกุฎทำจากเถาสีม่วงและเขียว มีใบสีเขียวมรกตและดอกตูมสีชมพู
มงกุฎดอกไม้เปล่งแสงสีทอง เหมือนกับเป็นรัศมีของเจ้าแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทว่าแสงทองไม่เป็นรูปวงกลม แต่แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง
เย่ว์หยางกล้าพูดได้ว่ามงกุฎราชินีนี้สวยงามที่สุด เป็นธรรมชาติและเรียบง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
มีแต่นาง นางพญาดอกหนามมงกุฏทองจึงจะมีมงกุฏดอกไม้ที่ดูสดชื่นอย่างนั้น
ด้านล่างมงกุฏดอกไม้ที่งดงาม เป็นดวงหน้ารูปหัวใจ น่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้ม หน้าของนางให้ความรู้สึกที่ดีแก่ทุกคน อย่างไรก็ตามดวงตาที่เหมือนไพลินจับจ้องอยู่ที่ตาของเย่ว์หยาง
นางยิ้มให้เขาโดยเฉพาะ
“ข้า..ตอนนี้ข้าฉลาดขึ้นแล้ว…” นางพญาดอกหนามมงกุฎทองพูดด้วยภาษามนุษย์ เสียงของนางไพเราะเสนาะโสต
“เจ้าวิวัฒนาการเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ?” เย่ว์หยางลอบกลืนน้ำลาย นางพญาดอกหนามมงกุฏทองไม่ได้สวมอะไรเลย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ร่างของนางเย้ายวนเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเสี่ยวเหวินหลี, หงและอาหมันจับตามองดูพวกเขาอยู่ บางทีเขาคงมิอาจต้านทานความปรารถนาในตัวนางพญาดอกหนามมงกุฎทองก็เป็นได้ นางงดงามสมบูรณ์แบบ คอระหงและไหล่เรียบลื่นกลมมนทำให้นางดูอ่อนแอและบอบบาง เย่ว์หยางรู้สึกอยากจะดึงนางเข้ามากอดไว้เพื่อจะปกป้องนางและชื่นชมนางตลอดชีวิตของเขา เนินอกที่เย่ว์หยางเห็นทั้งขาวราวหิมะยอดอกแดงดุจผลเชอรี่ เขารู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะพุ่งออกมาเพราะความตื่นเต้น
ช่างดูเต็มไม้เต็มมือสมบูรณ์แบบ
ขณะที่นางลอยลงมาตรงหน้าเย่ว์หยางนั้น อกของนางยังคงสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะเดิน
นี่ นี่คือ..อกเด้งในตำนานชัดๆ … เย่ว์หยางดูหนังโรแมนติคมานับไม่ถ้วนแล้ว สังเกตอกผู้หญิงมาก็มาก ดังนั้นเขาจึงเหมือนมีภูมิคุ้มกันต่อสาวๆ บางพวก
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงพวกนั้นไม่มีทางเทียบได้กับนางพญาดอกหนามมงกุฏทอง
ท้องแบนราบและเอวคอดกิ่วบางของนางรับรูปกันดี ขณะที่นางพญาดอกหนามมงกุฏทองกำลังลอยลงมาอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง บุรุษตาคมจอมลามกจากโลกอื่นรีบลอบมองลอบจดจำมุมมองงดงามนั้นลงในใจของเขาทันที
นางสมบูรณ์แบบเกินไป
มองดูผิวเผิน เย่ว์หยางแสดงตัวเป็นคนดีแน่นอน
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองในปัจจุบันนี้ไม่ใช่สาวน้อยอายุ 15-16 เหมือนเมื่อก่อน ปัจจุบันร่างของนางอยู่ในร่างหญิงสาววัย 18-19 ปี นางมิใช่ดอกไม้ตูมอีกต่อไป มงกุฎของนางบานแล้ว นางเป็นสาวน้อยที่รอให้เด็ดดมดอกไม้ของนาง
ไม่ว่าส่วนใดก็ตามที่หญิงสาวจำเป็นต้องพัฒนา นางก็พัฒนาแล้ว
และสิ่งเหล่านั้นก็พัฒนาได้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่า มากกว่าหญิงสาวทั่วไป
“ปัจจุบันนี้ เข้าเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฎทองชั้นทองแดงระดับ 1 อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมมองหนึ่ง ข้าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 หรืออสูรศักดิ์สิทธิ์ 1 ดาว ข้ายังต่างจากนางพญากระหายเลือด พี่หง ถ้าพี่อาหมันพัฒนาสติปัญญาด้วยเช่นกัน นางจะกลายเป็นเหมือนข้า” นางพญาดอกหนามมงกุฏทองลอยลงมาในอ้อมแขนเย่ว์หยางทันที เรือนร่างที่ไร้ที่ติของนางกอดเย่ว์หยางแน่น น้ำตานางคลอเบ้าขณะที่นางสะอื้นด้วยความปลื้มใจ “ความทรงจำในอดีตของข้าหายไปแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันลืมว่าท่านบ่มเลี้ยงข้ามาอย่างไรแน่นอน, ท่านคือดวงตะวันที่ให้ความเข้มแข็งแก่ข้า ข้าไม่สามารถรู้สึกถึงความรักที่ท่านแสดงให้ข้าเห็นเมื่อครั้งล่าสุด แต่ในตอนนี้ ข้ารู้สึกถึงความรักที่อบอุ่น ยอดเยี่ยมจากท่านได้”
“แค่ก แค่ก, ข้าคิดว่าเจ้าควรจะสวมเสื้อผ้าก่อน” เย่ว์หยางสามารถรู้สึกได้ถึงแรงทะลุทะลวงของพลังอิจฉาที่จ้องมองมาจากนางพญากระหายเลือด เสี่ยวเหวินหลีก็อิจฉาเหมือนกัน ทันใดนั้นเธอแตะหลังนางพญาดอกหนามมงกุฏทองและนำชุดของเย่ว์ปิงชุดหนึ่งออกมาให้
ร่างของนางพญาดอกหนามมงกุฏทองกระพริบอยู่ในแสงรุ้ง
กลีบดอกไม้ใหญ่บานทั้งข้างหน้าและข้างหลังนางค่อยๆ พันหน้าอกและเลื้อยเลี้ยวไปตามไหล่ของนาง กลีบดอกได้พันปกปิดส่วนสงวนลี้ลับทั้งร่างนางกลายเป็นชุดยาวดอกไม้ที่งดงาม ที่เพิ่มเสน่ห์ยั่วยวนให้นางอีก หลังของนางมีปีกยาวสองเมตรที่มีประกายรุ้งเรื่อเรืองฉายออกมา ปีกนางจะดูคล้ายๆ กับปีกของนางพญากระหายเลือด พอปีกกระพือเพียงเบาๆ ก็ทำให้นางพญาดอกหนามมงกุฏทองดูเหมือนนางฟ้าน้อยที่บินลงมายังโลกมนุษย์
นางหมุนตัวเป็นวงตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าเย่ว์หยาง “น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้ายังเป็นอสูรทองแดงระดับ 1 ดังนั้นข้าไม่สามารถรักษาลักษณะเติบโตเต็มวัยได้นาน
ขณะที่นางพูดจบ ร่างของนางถูกแสงสีเขียวห่อหุ้มอีกและค่อยๆ หดตัวลง
ในที่สุด นางก็กลายเป็นเด็กหญิงวัยราวๆ สิบปี ลักษณะของนางไม่เปลี่ยน แต่กลับมาอยู่ในสภาพเด็กหญิงผู้น่ารักสดใส
เด็กหญิงผู้น่ารักรับเสื้อผ้าจากมือเย่ว์หยางและสวมชุดของเย่ว์ปิงบนตัวนาง ชุดมีขนาดใหญ่กว่าตัวเธอเล็กน้อยทำให้เธอดูน่ารักมาก เย่ว์หยางทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยื่นมือออกไปบีบแก้มเธอเบาๆ
หลังจากนางพญาดอกหนามมงกุฎทองแต่งชุดของนางเสร็จ จู่ๆ เธอก็คำนับเสี่ยวเหวินหลี เหมือนกับว่าเธอต้องการแสดงความนับถือเสี่ยวเหวินหลี
เสี่ยวเหวินหลีก็คำนับตอบ
แม้ว่าเสี่ยวเหวินหลียังเยาว์วัย แต่ก็เป็นแก้วตาดวงใจของเย่ว์หยาง หรือนอกจากอสูรอื่นๆ แล้ว เธอคือพี่ใหญ่ที่สุด
เมื่อนางพญาดอกหนามมงกุฎทองคำนับนางพญากระหายเลือดหงและโคเงาอาหมันมิได้คำนับตอบแบบราบเรียบอย่างที่เสี่ยวเหวินหลีทำ พวกนางคำนับตอบจริงจังเพื่อแสดงความนับถือกันและกัน เย่ว์หยางไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในการแสดงความคารวะ แต่เขาเข้าใจว่านี่คงเป็นการคำนับต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์หรืออสูรปราณก่อกำเนิดก็ได้ เขาจำได้ว่าผู้เฒ่าหนานกงก็คำนับให้เขาอย่างนี้มาก่อน
“โปรดให้เลือดข้าสักหยดเถิด ในสภาวะจำศีลของข้า ข้าอยากประทับเลือดของท่านไว้ในชีวิตของข้า ข้าอยากเป็นเหมือนพี่หง ต้องการเป็นอสูรพิทักษ์ของท่าน เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป..” นางพญาดอกหนามมงกุฎทองพูดขณะที่นางกัดนิ้วเย่ว์หยางเบาๆ และดูดเลือดไปหนึ่งหยดอย่างนุ่มนวล
ร่างของนางเปล่งแสงสีทอง
หลังจากนั้นนางลอยกลับเข้าไปในคัมภีร์และจำศีลวิวัฒนาการในโลกใหม่ต่อไป
เย่ว์หยางแปลกใจเล็กน้อย เขาหันไปถามเสี่ยวเหวินหลี “อสูรพิทักษ์ทำสัญญาได้เองด้วยหรือ?”
เสี่ยวเหวินหลีสั่นศีรษะทันที แสดงความเห็นว่าไม่มี
นางพญากระหายเลือดหงพึมพำกับตัวนางเองเล็กน้อยขณะที่นางพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “บางทีเลือดของท่านอาจเป็นข้อยกเว้นก็ได้ นั่นคือเหตุผลที่เป็นไปได้ มีการประทับเลือดของท่านไว้วิญญาณข้า บางทีเป็นไปได้ว่าได้ทำสัญญาวิญญาณเลือดกับท่านสำเร็จแล้ว ในตำนานบอกว่า นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นถึงทำได้…”
เย่ว์หยางเคยได้ยินนางพญาเฟ่ยเหวินหลีพูดสัญญาวิญญาณเลือดมาก่อน นอกจากนี้เขายังได้เรียนรู้มาจากบันทึกและความรู้ตกทอดของมารดาสหายผู้น่าสงสาร ที่ว่าสัญญาวิญญาณเลือดก็คือวิธีวัฒนาการสัตว์อสูรวิธีที่ห้า
เขารู้ว่าเลือดของเขาพิเศษ บางทีเพราะเขาเป็นบุรุษที่มาจากโลกอื่นหรือเพราะเขาฝึกปราณกระไร้ลักษ์ หรือบางทีนักพรตเฒ่าให้ทักษะนี้กับเขาเมื่อเขาถูกเตะเข้ามายังโลกนี้ หรือบางทีเพราะเขาเป็นลูกหลานชาวฮั่น อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางตัดสินใจไม่คิดหาเหตุผลในตอนนี้ก่อน เขาแค่ต้องการรู้เพียงอย่างเดียว เทพเจ้ามีอยู่จริงหรือ?
หอทงเทียนถูกสร้างโดยเทพเจ้าหรือ?
เทพเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน? ในแดนสวรรค์หรือเปล่า?
หรือในดินแดนที่สูงขึ้นไปอีกมาก
เย่ว์หยางถามเสี่ยวเหวินหลี “เทพเจ้ามีอยู่จริงไหม?”
เสี่ยวเหวินหลีส่ายศีรษะของเธอ เย่ว์หยางไม่รู้ว่าเธอหมายความว่าไม่รู้คำตอบ หรือว่าไม่มีจริงกันแน่
ทันใดนั้นเธอยิ้มสดใสให้เย่ว์หยาง
แม้ว่าเธอจะพูดไม่ได้ แต่เธอก็ยังเชื่อมโยงจิตใจกับเย่ว์หยาง เย่ว์หยางเข้าใจความหมายของเธอ เธอบอกว่าไม่ว่าจะเป็นยังไง แม้ว่าพวกเขาจะต้องสู้กับเทพเจ้า เธอก็จะร่วมกับเขาต่อสู้ตลอดไป
ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม เย่ว์หยางอุ้มเสี่ยวเหวินหลีและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน และหอมแก้มซ้ายขวาของเธอฟอดใหญ่
อาหงและอาหมันก็เข้ามากอดเขาไว้ด้วยเช่นกัน
การแสดงออกของพวกนางทั้งสุภาพและน่าเชื่อถือ.. อาหมันต้องการปลดข้อจำกัดภูมิปัญญาของอสูรศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แม้ว่านางจะมีความฉลาดมาก แต่ระดับอารมณ์ของนางยังอยู่ในระดับต่ำ นางไม่อิจฉาและไม่เคยไม่พอใจ นางแค่ทำตามนางพญากระหายเลือดหงและเสี่ยวเหวินหลี คือใกล้ชิดกับเจ้านายเข้าไว้ เทียบกับนางพญากระหายเลือดหง นางจะงุ่มง่ามเล็กน้อยเหมือนเด็กผู้หญิงที่เด๋อไม่รู้อะไร อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับตั๊กแตนมัจจุราชแล้ว อาหมันมีสติปัญญาสูงกว่ามาก
นางพญากระหายเลือดหง แตกต่างโดยสิ้นเชิง
นางปลดขีดจำกัด แสดงภูมิปัญญาของอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว
นางยังฉลาดกว่านางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่เพิ่งจะปลดข้อจำกัดภูมิปัญญาของอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ นางตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรี
นางมองดูปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเย่ว์หยางและหญิงงามอู๋เหิน และวิธีที่เขาดำเนินชีวิตกับสาวๆ ที่เหลือ
ด้วยสติปัญญาระดับสูงของนาง นาก็ค่อยๆ เข้าใจอารมณ์และวิวัฒนาการขึ้นจนเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที
บางทีนางไม่เคยกลายเป็นเด็กผู้หญิงชาวมนุษย์ในชีวิตของนาง แต่ก็ใกล้เคียงมากในแง่ร่างกาย ความคิดและอารมณ์ เมื่อเย่ว์หยางจูบเสี่ยวเหวินหลี นางก็แอบจูบแก้มเย่ว์หยางโดยเร็ว หน้าของนางแดงซ่าน ความรู้สึกชอบในใจนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความรักโดยที่นางไม่ทันสังเกต
นางไม่พูดความในใจออกมาเหมือนกับนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง แต่นางก็คิดเหมือนกับเธอ นางต้องการจะอยู่กับเขาตลอดไป ไม่ว่าระหว่างต่อสู้หรือใช้ชีวิตธรรมดา
สัตว์อสูรไม่มีทางเปลี่ยนเป็นมนุษย์ได้
อย่างไรก็ตาม อสูรสามารถวิวัฒนาการไม่มีที่สุดจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์ ด้วยหลักการที่ว่าเจ้านายของอสูรคอยสนับสนุนพวกเขาและให้โอกาสพวกเขาวิวัฒนาการ
“เราไปแข่งในเทวสถานต่อไปเถอะ!” พอตื่นขึ้นมาจากอารมณ์เป็นสุข เย่ว์หยางตระหนักว่า ผลึกเวททั้งหมดถูก “โลก” ดูดย่อยสลายไปหมดแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ พูดไม่ออก มีผลึกเวทเกินพัน และพวกมันก็ยังหายไปแบบนั้น “โลก” ซึ่งดูดกลืนผลึกเวทหนึ่งพันลูกได้ยกระดับเป็นอสูรแพลตตินัมระดับ 3 วงแหวนของมันยังคงแขยายออกมามากกว่าครึ่งเมตร ขณะเดียวกันอักษรรูนสวรรค์ที่หมุนเวียนรอบๆ เปล่งแสงสดใสมากยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าคงจะยากที่จะพัฒนาร่างสูงสุดของมันนอกจากเติมผลึกเวทมหาสมุทร
“อือ อือ!” เสี่ยวเหวินหลีหน้าแดงหลังจากถูกเย่ว์หยางจูบ ดูเหมือนแม่หนูน้อยเริ่มจะเข้าใจความอายว่าเป็นอย่างไรเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังว่าง่ายเชื่อฟังคำของเย่ว์หยาง
***********