ตอนที่ – 349 สองผู้ยิ่งใหญ่คืนชีพ
ถ้าเสวี่ยอู๋เสียไม่ครอบครองพลังสุดเยือกแข็ง หรือองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่มีดาบเทพจักรพรรดิอวี้ คงไม่มีทางฆ่าหนีกั่วได้ง่ายแน่
แน่นอนว่าจุดที่สำคัญที่สุดก็คือหนีกั่วไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะถูกมนุษย์ผู้หญิงไม่กี่คนฆ่าตายทั้งที่นางก็ไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิด
พลังแก่นสารของเขาซึ่งทนทานต่อไฟและน้ำแข็งทำให้ร่างของเขาแทบเป็นอมตะ
เรื่องนี้ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของหนีกั่วว่าชีวิตของเขาจะพบจุดจบอย่างน่าอนาถ
ถูกผนึกไว้ในก้อนน้ำแข็ง ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความสามารถที่แข็งแกร่งได้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่สามารถดิ้นรนต่อสู้ได้ก่อนที่จะถูกฆ่าด้วยดาบเทพจักรพรรดิอวี้อาวุธระดับตำนาน
สหายนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ทั้งสองคนของเขาตื่นเต้นปั่นป่วน ในขณะเดียวกันเขาไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ทันเวลา ทันใดนั้น พวกเขารู้สึกได้ถึงวิกฤติที่กำลังจะมา พวกเขาเงยหน้าดูโดยสัญชาตญาตแล้วก็ต้องตกใจ พวกเขาพบว่าเมดูซ่าศิลากำลังเล็งธนูมาทางพวกเขา ด้านข้างเมดูซ่าศิลา ยังคงมีนางเงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็ง พวกนางทั้งหมดยังคงสงวนพลังไว้และสายตาพวกนางเหมือนนักล่ากำลังมองดูเหยื่อ
อันตราย!
เจ้าพวกนี้ไม่ใช่อสูรธรรมดาแน่นอน ถ้าอสูรเหล่านี้ลอบโจมตีสำเร็จ พวกเขาอาจมีจุดจบเช่นเดียวกับหนีกั่วก็เป็นได้
ตั๊กแตนมัจจุราชกำลังบินอยู่เหนือท้องฟ้า เตรียมเข้าจู่โจมได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนักรบแดนสวรรค์เหล่านี้ ตั๊กแตนมัจจุราชเป็นอสูรที่อ่อนแอที่สุด อสูรที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจและกังวลอย่างมากก็คือเด็กผู้หญิงผู้มีมงกุฏดอกไม้อยู่บนศีรษะ นี่เป็นอสูรร่างมนุษย์ชนิดหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่านางสามารถพูดได้ แต่สายตาของนางฉายแววเฉลียวฉลาด นางคืออสูรศักดิ์สิทธิ์แน่นอน นักรบแดนสวรรค์ทั้งสองคนไม่รู้ว่าอสูรร่างมนุษย์ตนนี้เรียกว่ากระไร แต่พวกเขาบังเอิญเห็นเด็กผู้หญิงดอกไม้ที่ดูไร้เดียงสานี้จัดการฆ่ายักษ์มลพิษอสูรแพลตตินัมระดับ 8 ได้ทันทีจากด้านนอก พลังของนางน่ากลัวยิ่งนัก
เด็กผู้หญิงที่งดงามและสดชื่นเหมือนดอกไม้ไม่ใช่คนที่จะตอแยได้ง่ายๆ พลังของนางแข็งแกร่งมาก แม้แต่หุ่นกัมมันตรังสี ก็ยังพังเสียหายตายอย่างน่าอนาถในเงื้อมมือนาง
แม้แต่อสูรหุ่นกัมมันตรังสีก็ยังทำอะไรนางไม่ได้
ถ้าพวกเขาต้องการสู้กับนาง พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเรียกอสูรชนิดใดมาโจมตีโต้ตอบทักษะของนาง
นับเป็นครั้งแรกที่นักสู้แดนสวรรค์ทั้งสองเลิกดูถูกศัตรู และสังเกตทักษะของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียดที่สุด
ในสายตาพวกเขา ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวผู้หญิงมนุษย์ที่ดูอ่อนโยนเหมือนสายน้ำ คนที่เรียกอสูรคลื่นวารี นางเป็นผู้อ่อนแอที่สุดในที่นี้
อย่างไรก็ตามมนุษย์ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างนางยังคงสะสมพลังแสงอุษาในมืออย่างต่อเนื่อง ดังนั้น พวกเขาไม่มีทางเลือก ได้แต่หลีกเลี่ยงนาง
พวกเขาคงตายอย่างน่าอนาถแน่นอน ถ้าโดนโจมตีด้วยพลังแสงอุษาโดยตรง
สำหรับสตรีอีกสองคน คนหนึ่งมีดาบเทพจักรพรรดิอวี้และอีกคนมีพลังเยือกแข็งสุดยอด พวกนางรับมือได้ยากแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่ระวังตัว เหตุการณ์สังหารฉับพลันคงได้เกิดขึ้นอีก
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจในตอนนี้ถึงเหตุผลที่เด็กมนุษย์อีกคนหนึ่งซึ่งมีฝีมือไม่ธรรมดาถึงได้จากออกไปได้ง่ายๆ โดยไม่กังวลถึงความปลอดภัยของสหายของเขา เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจริงๆ กลับกลายเป็นว่าพวกเขามิอาจดูถูกหญิงสาวเหล่านี้ได้เลย
ถ้าพวกเขายังประมาทหญิงสาวเหล่านี้ต่อไป ผลที่เห็นก็ชัดเจนมากพอแล้ว ร่างของหนีกั่วที่ถูกแช่แข็งอยู่บนพื้นคือตัวอย่างที่ดี
“ไปกันเถอะ!” นักสู้แดนสวรรค์ทั้งสองยอมสู้กับตะขาบยักษ์ที่เป็นอสูรปีศาจดีกว่าสู้กับหญิงสาวเหล่านี้ ทั้งอสูรและทั้งมนุษย์มีพลังพอที่จะฆ่าพวกเขาได้ทันที เป็นการไม่ฉลาดเลยหากจะเริ่มสู้กับพวกนาง ยิ่งกว่านั้น ภายในพื้นที่ผนึก ไม่มีพื้นที่มากพอให้พวกเขาได้ใช้ความสามารถของตน ช่วงที่ศัตรูของพวกเขาปล่อยแสงอุษา พวกเขาคงมิอาจหลบได้ พวกเขาได้แต่เผชิญกับการโจมตีและพบจุดจบที่น่าอนาถเหมือนอย่างที่หนีกั่วเพิ่งประสบมาหยกๆ
“ใช้น้ำโจมตี!” เสวี่ยอู๋เสียโบกมือข้างหนึ่ง ถ้านักรบแดนสวรรค์ทั้งสองตัดสินใจสู้ตายกับพวกนาง แม้ว่าฝ่ายนางเองอาจจะชนะ แต่พวกนางอาจเสียเวลามากกว่าจะฆ่าศัตรูทั้งสองได้ พวกนางต้องทบทวนแผนต่อสู้ให้ถ้วนถี่
โชคดีที่แผนสังหารฉับพลันของพวกนางก่อนหน้านั้นสามารถขู่ขวัญนักรบแดนสวรรค์ทั้งสองนั้นได้ พวกเขาตัดสินใจไม่เริ่มโจมตี แต่กลับมาที่โถงวิหารที่สอง
นี่คือจุดเปลี่ยนของการต่อสู้ของพวกนาง
เนื่องจากศัตรูของพวกนางยอมถอย ก้าวย่างต่อไปของพวกนางจึงง่ายขึ้นมาก
นางเงือกวายุเป่าสังข์เรียกพายุฝนของนางอีกครั้ง อสูรคลื่นวารีของเย่ว์หวี่หนุนเสริมต่อโดยปล่อยน้ำท่วม สร้างกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่กวาดล้างทุกอย่างในโถงวิหารที่สอง ไม่สำคัญว่าจะเป็นตะขาบยักษ์หรือนักรบแดนสวรรค์ พวกมันจะตายในน้ำท่วมนี้แน่นอน ถ้าว่าถึงการต่อสู้ทางน้ำ ยังคงมีเมดูซ่าศิลา, เงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งเป็นอสูรที่เชี่ยวชาญทางน้ำ
ยิ่งกว่านั้น มีคลื่นพายุและเสวี่ยอู๋เสียก็มีพลังเยือกแข็งสุดยอด
แม้แต่ผู้เฒ่าเต่ามังกรผู้อมตะมีพลังชีวิตสูงก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ทางน้ำด้วย
ในเวลาเดียวกัน ณ พื้นที่สูงที่สุดในวิหารเทพจักรพรรดิอวี้ โถงวิหารที่สาม
เมื่อเย่ว์หยางเดินเข้าไป เขาพบว่ามียักษ์โปร่งแสงตนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ตรงกลางวิหาร ยักษ์โปร่งแสงนั้นดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นเย่ว์หยางเดินเข้ามาข้างใน “เวทวายุโหยหวนมิอาจหยุดเจ้าได้หรือนี่?”
“มาสู้กันเลย และเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” เย่ว์หยางรู้สึกว่ามีเวลาไม่มาก เขาต้องจบการต่อสู้ให้เร็ว มิฉะนั้นเมื่อผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ทั้งสองฟื้นขึ้นมา เขาคงต้องหลบหนี
“เจ้าต้องการคทาเทพและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้ามีความสามารถพอจะทำเช่นนั้นก็ลองดูได้ ข้าจะไม่ห้ามเจ้า!” เทวทูตสายลมผู้มีร่างโปร่งแสงจู่ๆ ก็ยิ้มแปลกๆ จากนั้นพูดต่อ “เดินไปข้างหน้าราวๆ ร้อยเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าไปในห้องใหญ่ข้างใน เดินตรงไปอีกสิบเมตรและภายใต้รูปปั้นจักรพรรดิอวี้ จะมีทางเข้าห้องเก็บโลงศพอยู่ข้างใน คทาและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ล้วนอยู่ข้างในทั้งหมด”
“….” เย่ว์หยางใจตกวูบเล็กน้อยขณะที่ได้ยิน
เทวทูตสายลมผู้นี้มีความมั่นใจมาก อาจเป็นไปได้ว่าการคืนชีพสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์นั้นเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางมีความรู้สึกแย่ก็คือนางเซียนหงส์ฟ้าที่กำลังต่อสู้อยู่กับเทวทูตสายฟ้าหายไป ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกัน? ก่อนหน้านี้เขายังได้ยินเสียงพวกเขาต่อสู้กันอยู่ แต่ตอนนี้เงียบเสียงโดยสิ้นเชิง นางพ่ายแพ้หรือ?
เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้?
แม้ว่าเทวทูตสายฟ้าจะแข็งแกร่ง แต่นางเซียนหงส์ฟ้าก็ไม่อ่อนแอแน่นอน
ก่อนหน้านี้นางครอบครองพลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 10 หลังทำการฝึกฝนใหม่ นางเซียนหงส์ฟ้ามีระดับพลังตกไปอยู่ที่ระดับ 9 แต่นางได้ประสบการณ์เปลี่ยนแปลงพื้นฐานการฝึก เป็นเหตุให้พลังของนางเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง
แม้ว่าเทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้าจะร่วมมือกันต่อสู้กับนาง นางเซียนหงส์ฟ้าก็ยังไม่พ่ายแพ้ได้ง่ายๆ เป็นไปได้ไหมที่ผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์จะทำลายผนึกเป็นอิสระและตื่นขึ้นแล้ว? เมื่อเย่ว์หยางคิดเรื่องนี้ เขาถึงกับเหงื่อไหลพร่างพรู หมิงรี่ฮ่าวบอกว่ามีเวลาเพียงชั่วโมงเดียว แต่เทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้าไม่ใช่คนโง่ บางทีพวกเขาอาจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเร่งการฟื้นคืนชีพสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ก็เป็นได้
แน่นอนว่าเย่ว์หยางไม่ใช่คนที่จะถูกข่มขู่ได้โดยง่าย
เย่ว์หยางเทเลพอร์ตและเข้าไปในโถงวิหารและตรงเข้าไปที่ห้องเก็บโลงศพ
ภายในห้องเก็บโลงศพมีแสงสว่างเจิดจ้าโดยรอบ นางเซียนหงส์ฟ้ากำลังถือมุกไว้ในมือพยายามเรียกอักษรรูนผนึกไม่หยุดหย่อน พยายามต่อสู้เงาร่างดำทั้งสองข้างหน้านาง
เทวทูตสายฟ้าที่หาตัวไม่พบมาตลอดถูกค้นเจอจนได้ เงาร่างดำทั้งสองกระโจนใส่โลงแก้วผลึก ร่างกายครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ภายในโลงแก้ว เงาร่างดำที่เหลือยื่นมือออกมากและป้องกันการผนึกของนางเซียนหงส์ฟ้าได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะคทาเทพและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ที่ตรึงพวกเขาไว้ยังคงมีอานุภาพเหลือเชื่อ เงาดำทั้งสองนั้นอาจจะหลุดออกมาแล้วก็ได้ ไม่มีคทาเทพและผนึกเทพ ร่างดำทั้งสองคงไม่เห็นผนึกของนางเซียนหงส์ฟ้าอยู่ในสายตาแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” เย่ว์หยางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เรื่องทั้งหลายลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร? สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ฟื้นไปก่อนหน้านี้แล้วหรือ?
“เทวทูตสายฟ้าและเทวทูตสายลม ยอมสละพลังของพวกเขาเพื่อคืนชีพสองผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารอเจ้าอยู่นานเลยนะ ทำไมเจ้าถึงมาเอาตอนนี้เล่า?” นางเซียนหงส์ฟ้าอ่อนแรงเล็กน้อยเมื่อนางพูดเช่นนี้ออกไป เห็นได้ชัดว่านางเหน็ดเหนื่อย นางอดทนมาเป็นเวลานานมาก ทุกๆ วินาทที่ผ่านไปสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้นางเลือดตาแทบกระเด็น
“แต่ว่าเทวทูตสายลมยังคงอยู่ข้างนอก!” เย่ว์หยางสับสนยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินนางพูด
“นั่นเป็นวิญญาณของเขา เทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้าเหลือแต่เพียงวิญญาณ พวกเขาเสียสละร่างที่แท้จริง เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขาไม่ได้ตอบโต้โจมตีอะไร? พวกเขาไม่มีพลังที่น่ากลัวเหลืออยู่ พวกเขาเหลืออยู่แต่เพียงพลังวิญญาณเท่านั้น ข้าไม่อาจทนต่อไปได้นานนัก คิดหาทางเร็วเข้า!” นางเซียนหงส์ฟ้าโยนวิกฤติใส่เย่ว์หยางทันที สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์กำลังจะเป็นอิสระ พวกเขาจะทำอะไรได้?
“สถานการณ์กลับกลายเป็นย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะคิดหาทางอะไรอีก? เราควรจะรีบหนีไปจากที่นี่!” เย่ว์หยางฉุดดึงนางเซียนหงส์ฟ้าและเตรียมจะหนีไป
ฝืนสู้ไปคงมีแต่จะทำให้พวกเขาตาย
บางทีถ้าพวกเขาฝืนสู้ต่อไป พวกเขาอาจจะถ่วงเวลามิให้สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์เป็นอิสระได้ แต่ว่าตอนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ตื่นแล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์
หากไม่มีนางเซียนหงส์ฟ้าคอยข่มพวกมันไว้ เงาร่างทั้งสองที่มีใบหน้ายังไม่ชัดเจนคงเอาชนะพลังผนึกของจักรพรรดิอวี้ได้ พวกเขาจะเป็นอิสระจากคทาเทพและผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้ได้
คทาเทพของจักรพรรดิอวี้จะปล่อยมวลแสงที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์
อย่างไรก็ตามผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ที่กำลังกดทับโลงแก้วผลึกอยู่จากด้านบนยังคงถูกเงาร่างดำทั้งสองผลักดันออกไปช้าๆ แต่มั่นคง
ฝาโลงแก้วผลึกแตกหักทันทีและกลิ้งลงไปบนพื้น แสงทองของผนึกเทพจักรพรรดอวี้กลับกลายเป็นหมองลงขณะที่มันยังคงลอยอยู่ในอากาศ แต่ดูเหมือนพลังกดดันจะลดลงอย่างมาก ผนึกของร่างดำทั้งสองลดลงมากจนเหลือเพียงเล็กน้อย คทาเทพจักรพรรดิอวี้เริ่มเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า แสงสีขาวทีเปล่งออกมีความคมเหมือนดาบพุ่งเข้าโจมตีใส่ร่างสีดำทั้งสองบังคับให้ทั้งคู่ต้องร่วมมือกันปกป้องกันและทนความเจ็บปวด เมื่อแสงขาวฉายออกมาจากคทาเทพจักรพรรดิอวี้ส่องลงที่เงาร่างดำทั้งสอง พวกเขาก็เริ่มละลาย อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงถึงตาย มันทำได้เพียงขัดขวางและป้องกันไม่ให้ร่างดำเป็นอิสระออกมาได้
“ผนึกหกพันปีของจักรพรรดิอวี้ เจ้าช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจริงๆ ข้าจะไม่มีทางลืมความทุกทรมานที่พ่ายแพ้ครั้งนี้” เงาร่างดำด้านซ้ายถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะที่เขาก้าวเท้าออกมาจากโลงแก้วผลึก
“…..” ร่างดำทางด้านขวาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่โค้งคำนับให้เงาแรกเหมือนอย่างที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดแสดงต่อเขา
มีโลงแก้วอีกโลงหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นโลงของจักรพรรดิอวี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรอยู่ภายในโลง
ร่างของจักรพรรดิอวี้กลายเป็นพลังผนึกและปณิธานผนึกไปแล้ว พระองค์สิ้นชีวิตไปเมื่อหกพันปีที่แล้ว
ขณะที่เย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าหลบหนีออกมานอกวิหารที่สาม เขาพบกับเทวทูตสายลมผู้มีแต่ร่างโปร่งแสง เขาแค่นเสียงเย็นชากับพวกเขา ก่อนที่จะคุกเข่ากับพื้นแสดงความเคารพ นี่เป็นเพราะที่ด้านหลังเย่ว์หยางมีร่างเงาดำสองร่างไล่ตามพวกเขาออกมา เงาร่างดำทางด้านซ้ายปรากฏตัวให้เห็นลักษณะที่แท้จริงของเขา เขามีลักษณะเป็นชายหนุ่มรูปงามผมทอง นัยน์ตาสีฟ้าและผิวสีขาวดุจหิมะสวมชุดขาวยาวสีขาวเหมือนปุยเมฆ
มีรัศมีอยู่บนศีรษะเขากำลังหมุนอยู่โดยรอบ
อักษรรูนโบราณที่ไม่เหมือนใครอยู่บนหน้าผากของเขาระบุสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์
ประกายแสงขาวนับไม่ถ้วนฉายออกจากหลังของเขา และแผ่ออกจนดูเหมือนปีกคู่หนึ่ง มันค่อยๆ คลี่ออกด้านมานอก ปล่อยพลังที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยเมื่อเห็นพลังของเขา
มือของเขาที่ขาวกว่ามือของหญิงสาวถือตรีศูลศักดิ์สิทธิ์ที่ดูงดงามสง่า มีอัญมณีมีค่าฝังอยู่ในนั้น อักษรรูนโบราณและอักษรรูนสวรรค์ถูกสลักไว้บนนั้น และอักษรเหล่านี้ส่องสว่างดุจดวงดาว
เบื้องล่างชุดขาว เป็นเท้าที่เปล่าเปลือย อย่างไรก็ตาม เท้าของเขาไม่ได้แปดเปื้อนแม้แต่น้อยหลังจากย่างเท้าเข้ามาบนพื้นวิหารที่สาม
เมื่อเขาก้าวย่างในแต่ละครา จะปรากฏแสงสว่างอยู่บนพื้นและทำความสะอาดบนพื้นที่เท้าของเขาจะเหยียบย่างก้าวไป
นี่คือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของแดนสวรรค์ผู้คืนชีพขึ้น เขาไม่สนใจบริวารของเขาเทวทูตสายลมที่กำลังแสดงความเคารพต้อนรับเขา แต่กลับมองเย่ว์หยางและยิ้มให้เล็กน้อย เขาค่อยๆ พูดกับเย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าด้วยน้ำเสียงชาวสวรรค์ที่ไพเราะของเขา “อย่ากลัวเลย นักรบหนุ่มน้อยชาวมนุษย์ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แม้ว่าการฆ่าเจ้าเหมือนขยี้มดแมลงก็ตามที ข้าไม่สนใจจะทำร้ายชีวิตที่อ่อนแอ วิถีเช่นนั้นจึงจะเหมาะกับสถานะของข้า แค่ตอบคำถามข้ามาสามข้อ และข้าจะยอมให้เจ้าจากไป”
“ดู… นี่คือคำตอบของข้า!” เย่ว์หยางชูนิ้วกลางขึ้น นี่คือคำตอบของเขา