===============
เสวี่ยอู๋เสียและคนอื่นๆ ขะมักเขม้นฝึกฝนอยู่ในโลกคัมภีร์เป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่ละนางมีระดับพลังเพิ่มขึ้นที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น นอกจากนางเซียนหงส์ฟ้า
เดิมทีนางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 10 แต่ด้วยวิธีผสานร่างกับเย่ว์หยาง ระดับพลังปราณก่อกำเนิดของนางตกมาอยู่ที่ระดับ 9 อย่างอัศจรรย์
เมื่อนางลดระดับลง ความแข็งแกร่งของนางไม่ได้ลดตามมาด้วย แต่กลับเพิ่มมากขึ้น
นี่หมายความว่า ถ้านางยกระดับขึ้นไปอยู่ในระดับ 10 อีกครั้ง นางจะเข้าถึงขอบเขตใหม่ทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะฝึกผสานร่างเพียงระยะเวลาสั้นๆ และนางเซียนหงส์ฟ้าก็ยังอยู่ไกลจากระดับความแข็งแกร่งที่นางคาดหวัง แต่ถ้านักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงอิจฉานางเซียนหงส์ฟ้าแทบตายแน่ นางเซียนหงส์ฟ้าแอบปลื้มในใจ นางคิดว่าคงเป็นเรื่องดีกว่าถ้านางลดระดับไปอยู่ในระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 หรือระดับ 7 จากนั้นนางก็จะมีพลังน่ากลัวยิ่งขึ้นอีกครั้งและยกระดับอีกครั้ง
แน่นอนว่าการหวนกลับไปฝึกใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้เพียงชั่วข้ามคืน
ถ้าเย่ว์หยางไม่ช่วยนาง การหวนฝึกใหม่ของนางคงไม่ได้ผลเท่ากับกระบวนการดับแล้วเกิดใหม่แน่นอน!
เดิมทีนางเซียนหงส์ฟ้าก็แข็งแกร่งและมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฝึกผสานกายกับเย่ว์หยาง
ยิ่งกว่านั้น นอกจากหญิงงามอู๋เหินและเจ้าเมืองโล่วฮัวแล้ว นางยังเป็นคู่หูสนิทที่สุดในการฝึกผสานกายกับเย่ว์หยาง ระหว่างการฝึกของพวกเขา นอกจากสัมพันธ์ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว นางพยายามวางตัวและปฏิบัติกับเขาเหมือนกับว่าเป็นสามีและภรรยากัน
ถ้าพวกสาวๆ ไม่ได้แอบตรวจสอบพวกเขา บางทีเย่ว์หยางคงจับนางปล้ำจนได้
น่าเสียดายที่เสวี่ยอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าเย่ว์หยางต้องทำตัวให้เป็นคนดีแต่เพียงภายนอกและจำต้องข่มความปรารถนาในหัวใจลง เขาไม่ได้พยายามจะเล่นลูกไม้แต่อย่างใด แต่เขาอาจใช้มือลามกและถือเอาโอกาสทำกำไรจากเรือนร่างนางเซียนหงส์ฟ้าอยู่ตลอด แต่ก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร เมื่อมาถึงจุดนี้ ถ้าพวกเขาไม่อยู่ในระหว่างฝึกฝน นางเซียนหงส์ฟ้าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่ได้ฝึกฝน นางจะจงใจส่งเสียงครางยั่วยวนใจ เย่ว์หยางหนังหนาหน้าทนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดอะไรกับเรื่องนี้ แม้ในขณะที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ เฝ้ามองอย่างตั้งใจ เย่ว์หยางก็ยังไม่ยอมชักมือกลับง่ายๆ แน่นอนว่า ใบหน้าของเขายังคงประดับไปด้วยสีหน้าจริงใจ เหมือนกับตนเองเป็นสุภาพบุรุษเสียเต็มประดาผู้ไม่เคยถือโอกาสเอาเปรียบกับสาวอื่นๆ
ความจริง ไม่เพียงนางเซียนหงส์ฟ้าเท่านั้น, แม้แต่สาวนางอื่นๆ ทุกคนที่คุ้นเคยกับวิธีการค่อนข้างไปทางลามกของเย่ว์หยางกันแล้ว
มีเพียงเย่ว์หวี่ที่ใส่ใจกับสถานะของนางในฐานะที่เป็นพี่สาวของเขา นางไม่ยอมให้เย่ว์หยางแตะต้องนาง
นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า การฝึกผสานร่างนั้นเป็นทักษะที่คู่รักหรือคู่แต่งงานสามารถฝึกได้ ดังนั้นนางไม่ได้ปฏิเสธจริงจังในตอนแรก ทำเป็นเหมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลย อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางเซียนหงส์ฟ้ามักขอให้เย่ว์หยางฝึกในที่เปิดเผยและทำเกือบทุกอย่าง นางเริ่มจะไม่อนุญาตให้เย่ว์หยางแตะต้องมือนาง อย่าว่าแต่ร่างกายนางเลย
เพราะเหตุนี้ เย่ว์หวี่จึงก้าวหน้าช้ามากเมื่อเทียบกับสาวอื่นๆ
เย่ว์ปิงจะแตกต่างจากคนอื่นๆ นางไม่มีความคิดเป็นอื่นในใจแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นางไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับวิธีที่พี่ชายใช้ฝึกนาง ตรงกันข้ามนางรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนฝึกแบบนั้นกับพี่ชายนาง นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรี และไม่เคยคิดอะไรทำนองนี้กับพี่ชายนางมาก่อน ดังนั้น นางจึงเป็นหนึ่งในคู่หูที่เข้ากันได้ดีที่สุดเมื่อฝึกกับเย่ว์หยาง นางมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะฝึกเข้ากันได้ดีกับพี่ชายนาง เพราะเมื่อพวกเขาฝึกกัน นางจะปล่อยกายให้พี่ชายนาง นางจะเคลื่อนไหวสบายๆ รับกับการโคจรปราณก่อกำเนิด ไม่ได้มีความคิดอะไรอื่น นอกจากจะว่านอนสอนง่ายแล้ว เย่ว์ปิงเป็นคนที่เย่ว์หยางทุ่มเทความสามารถฝึกให้นางมากที่สุด นางมักจะได้สิทธิ์ก่อน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ตาม ตอนแรก เย่ว์หยางต้องการช่วยให้นางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่หลังจากได้รับคำแนะนำของเทพธิดากระบี่ฟ้า เย่ว์หยางจึงได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของพลังปราณก่อกำเนิด ดังนั้น เขาจึงไม่รีบเร่งให้เย่ว์ปิงบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิด เขาตัดสินใจสร้างรากฐานให้นางช้าๆ แต่มั่นคง ยิ่งเขาสร้างรากฐานให้นางได้ลึกเพียงใด ก็จะเป็นการดีต่อความก้าวหน้าของนางในอนาคตเท่านั้น
เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็เหมือนกัน พวกนางสามารถบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดได้ทุกเมื่อ แต่พวกนางกลับย้อนฝึกใหม่แทน พวกนางไม่รีบร้อนเข้าถึงขอบเขตแดนปราณก่อกำเนิดแม้แต่น้อย
เจ้าเมืองโล่วฮัวผู้เตรียมบรรลุปราณก่อกำเนิดระดับ 2 ก็ยังคงฝึกพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 1
พวกสาวๆ ยังไม่ยกระดับ แต่พลังของพวกนางกลับทวีมากขึ้น
นางเซียนหงส์ฟ้าค่อนข้างแปลกใจต่อระดับความก้าวหน้าของพวกนาง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เผ่าพันธุ์มนุษย์คงจะมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับต่ำ แต่เป็นพลังปราณก่อกำเนิดที่สุดกร้าวแกร่งภายในเวลาไม่ถึงสิบปี
การเปลี่ยนแปลงความแข็งแกร่งของพวกนางอย่างสมบูรณ์เหนือล้ำกว่าวิธีฝึกอื่นๆ ที่ผ่านมา
ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานและความก้าวหน้าที่การฝึกผสานกายที่นำมาใช้ฝึกนั้นเร็วกว่าการฝึกของคนอื่นๆ ถึงร้อยเท่า นางเซียนหงส์ฟ้ารู้สึกว่าระดับชั้นล่างของหอทงเทียนหรือพันธมิตรปราณก่อกำเนิดในหอทงเทียนชั้นที่ 6 และที่เหนือขึ้นไปคงจะไม่แข็งแกร่งพอให้เย่ว์หยาง เจ้าเด็กผิดธรรมดานี้ให้ฝึกฝีมือเสียแล้ว มีแต่ที่ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าฟ้าและกว้างกว่าโลกถึงจะพอเหมาะกับเขา
นอกจากเย่ว์ปิงแล้ว อี้หนานก็ยังคงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ก่อนนั้น เย่ว์หยางไม่สามารถช่วยนางได้มากนักในการฝึกสภาวจิตของนาง
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางในตอนนี้เชี่ยวชาญความหมายที่แท้จริงของปราณก่อกำเนิดหลังจากผ่านสภาวะดับแล้วเกิดใหม่ เขาก็เข้าใจสภาวะพลังจิตมากขึ้น ดังนั้นอี้หนานจึงได้รับความรู้มากขึ้น นางไม่จำเป็นต้องฝึกช้าๆ นางแค่ก้าวตามรอยและฝึกตามอย่างเย่ว์หยางเท่านั้น
วันหนึ่ง หลังจากเสวี่ยอู๋เสียฝึกเสร็จ นางถามองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาควรจะสู้ในวิหารเทพของจักรพรรดิอวี้ต่อไป
เย่ว์หยางยังคงคิดเรื่องนี้อย่างสงบ เขารู้สึกว่าสภาพเขาในปัจจุบันนี้แข็งแกร่งพอที่จะออกไปสู้กับหมิงรี่ฮ่าว
นางเซียนหงส์ฟ้าตกลงด้วยความยินดี นางคิดว่าจะร่วมมือกับเย่ว์หยางซุ่มโจมตีศัตรูของพวกเขา เป้าหมายของพวกเขาคือหมิงรี่ฮ่าว เพราะผู้ที่ทำร้ายนางบาดเจ็บในวันนั้นก็คือหมิงรี่ฮ่าว
วิหารเทพจักรพรรดิอวี้
“ในที่สุดเราก็ออกมาจนได้…” หลังจากออกมานอกโลกคัมภีร์แล้ว เย่ว์หยางพบว่าเต่ามังกรเข้าสู่สภาวะจำศีลไปแล้ว มีอักษรรูนสวรรค์อยู่บนหลังกระดองของเขา เมื่อเย่ว์หยางสังเกตดูใกล้ๆ ถึงกับสะดุ้งตกใจ
โชคดีที่ผู้เฒ่าเต่ามังกรไม่ได้ใช้ระเบิดพลีชีพวิญญาณจริงๆ มิฉะนั้นเขาคงเป็นหนี้ชีวิตผู้เฒ่าเต่าเป็นแน่
เย่ว์หยางกลับไปที่โถงวิหารที่หนึ่งและพบว่าแผ่นแก้วผลึก ที่นักรบแดนสวรรค์ถูกผนึกไว้ยังเปล่งแสงอยู่ในความมืด บางส่วนก็หายไป
เพิ่งเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
ขณะที่เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้น ดาวสีทองก็เลื่อนลงมาจากฟ้า
ผู้มาถึงหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยางสบายๆ เขาคือหมิงรี่ฮ่าว ยักษ์ทองสูงสิบเมตรนั่นเอง
“เจ้ามาก็ดีแล้ว มาสู้กันอีกครั้ง!” เย่ว์หยางผู้ผ่านการดับแล้วเกิดใหม่มีความมั่นใจว่าสามารถสู้กับหมิงรี่ฮ่าวได้ บางทีเขายังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่เขาคงไม่พ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดเหมือนวันนั้นอีกครั้งแน่นอน ยังมีนางเซียนหงส์ฟ้าผู้สามารถลอบทำร้ายเขาได้ บางทีเจ้าผู้นี้อาจจะพ่ายแพ้ได้จริง ถ้าเขาไม่มีสหายคอยช่วยเขา พวกเขาอาจจะฆ่าเจ้าผู้นี้ได้ทันที
“รอเดี๋ยว..” อย่างไรก็ตาม หมิงรี่ฮ่าวโบกมือ “ข้าไม่ต้องการสู้กับเจ้าแล้ว”
“เอ๋?” เย่ว์หยางงุนงง เขาไม่ต้องการสู้หรือ? หมายความว่าเขาต้องการยอมแพ้หรือ?
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะสู้กันเองต่อไป เจ้าไม่ใช่ลูกหลาน ไม่ใช่ทั้งทายาทของจักรพรรดอวี้ ส่วนข้าก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับจักรพรรดิอวี้ ข้าแค่ถูกสหายหลอกใช้ ข้าแค่คิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เตรียมการรุกรานดินแดนสวรรค์ ก็เลยเห็นพ้องด้วยกับการลงมากำจัดศัตรู ในเวลานั้นข้ายังอายุน้อยมาก แต่ครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่ ข้ารักความเป็นธรรมจนเข้ากระดูก เมื่อข้าลงมาจากแดนสวรรค์และได้ต่อสู้กับจักรพรรดิอวี้ ข้าต่อสู้ถวายชีวิตแม้ว่าข้าจะไม่รู้จักเขาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ข้าได้คิดแล้ว ว่าในตอนนั้นข้าช่างเขลาเสียจริง หกพันปีที่ผ่านมานี้ ข้าได้คิดอะไรอีกมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าพบเจ้า ข้าก็ยังได้คิดต่อ ทำไมข้าถึงยังจะทำผิดพลาดเหมือนเมื่อหกพันปีที่แล้วต่อไปอีก? ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยคิดรุกรานแดนสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ทำไมข้าถึงต้องสู้กับพวกเขาด้วยเล่า?” คำพูดของหมิงรี่ฮ่าวทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจ เจ้าผู้นี้กินยาผิดซองหรือเปล่า?
“ท่านหมายความว่าท่านจะไม่สู้อีกต่อไปใช่ไหม? ท่านจะยอมให้เราได้คทาเทพของจักรพรรดิอวี้ไปแบบนั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าท่านไม่รู้ว่าเรามาที่นี่เพื่อเอาคทาเทพของจักรพรรดิอวี้กระนั้นหรือ?” เย่ว์หยางคิดว่า เขาจะค้นหาดูว่าเจ้าผู้นี้วางแผนใดอยู่กันแน่
“แน่นอนว่าข้ารู้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าต้องการได้รับคทาเทพจักรพรรดิอวี้ มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ประการแรก ทันทีที่เจ้าได้คทามา มันจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าเลย เพราะเจ้าไม่ใช่เชื้อสายของจักรพรรดิอวี้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สิทธิ์รับสมบัติที่เป็นมรดกของเขา ประการที่สอง เจ้าเองก็รู้ว่าคทาเทพจักรพรรดิอวี้และผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ถูกใช้เพื่อผนึกสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ใช่ไหม? ทันทีที่เจ้าแตะต้องมัน พวกเขาจะออกมาทันที ต่อให้พวกเขาจะยังไม่ออกมา แต่ก็ยังมีนักรบปราณก่อกำเนิดระดับ 10 อีกสองคน เทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้า เจ้าจะผ่านวิหารที่สามเข้าไปได้อย่างไร?” หมิงรี่ฮ่าวส่ายศีรษะช้าๆ
“ถ้าท่านคิดว่าเราไม่สามารถทำได้ ทำไมท่านถึงตามหาพวกเรา?” เย่ว์หยางไม่คิดว่าเจ้าผู้นี้มาหาเขาเพราะเขาไม่มีอะไรที่ดีกว่าจะทำ
“ขอให้ร่วมมือกัน” คำตอบของหมิงรี่ฮ่าวง่ายดายมาก
“ร่วมมือกัน? นี่ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า?” สีหน้าของเย่ว์หยางเหมือนกับถูกเขย่าอย่างแรง
ร่วมมือกันระหว่างมนุษย์กับเสือเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาน่ะหรือ? เหลวไหล, เว้นแต่มนุษย์โง่ๆ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยอมเชื่อเสือ
ความจริงที่ว่าหมิงรี่ฮ่าวเสนอขอความร่วมมือนั้นเกินกว่าที่เย่ว์หยางคาดไว้จริงๆ อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางไม่ได้ปฏิเสธเขาทันที แต่เขาตัดสินใจรับฟังเรื่องที่เสือกินคนพูดเสียก่อน
เย่ว์หยางเป็นคนที่มั่นใจเต็มร้อยว่า ไม่ว่าหมิงรี่ฮ่าวจะพูดอย่างไรก็ตาม เขาก็จะไม่มีทางเชื่อ
อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตามความสงสัยของเขามีอิทธิพลมากกว่า เขาต้องการฟังเหตุผลที่เจ้าผู้นี้ขอความช่วยเหลือจากเขา
เกี่ยวกับการโน้มน้าวเย่ว์หยาง หมิงรี่ฮ่าวดูเหมือนจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ก่อนที่เจ้าจะมานั้น สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ต้องการเวลาอีกเพียงร้อยปีก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำลายผนึกของเขาได้ เพราะเรามาจากสามกลุ่มที่แตกต่างกัน นอกจากคนของพวกเขาเอง, กลุ่มคนอย่างพวกข้าซึ่งมาจากฝ่ายที่สามอาจถูกใช้เป็นเครื่องบูชายัญเพื่อให้พวกเขาฟื้นฟูความแข็งแกร่ง”
เย่ว์หยางได้ยินแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้, โปรดให้ข้าได้เป็นตัวแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพวกท่านที่จะต้องพบเจอเรื่องโชคร้ายในอนาคต”
คำพูดของเย่ว์หยางทำให้หมิงรี่ฮ่าวสะดุ้งจนแทบพูดไม่ออก โชคดีที่เขาใจเย็นพอ ขณะที่เขายังคงอธิบายต่อไป “ความจริงไม่ใช่เพียงแต่เราเท่านั้น แม้แต่พวกเจ้าก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ สองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์รู้สึกถึงความคุกคามจากการปรากฏตัวของพวกเจ้าได้ ในช่วงที่เขายังหลับใหลอยู่นี้ พวกเขาสั่งให้เทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้าให้ย้ายนักรบแดนสวรรค์ทั้งหมดผู้ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ เพราะพวกเขายังอยู่ในช่วงหลับใหลอยู่ในวิหารที่สาม จากนั้น พวกเขาก็จะดูดพลังงานของพวกเขาทุกคนด้วยมุกดูดวิญญาณ เจ้าไม่รู้หรือว่านักรบแดนสวรรค์หลายตนตายไปในช่วงเวลาสั้นๆ หนึ่งเดือนมานี้? ดูซะ มีแผ่นผลึกแก้วมากมายที่ไม่มีแสงอีกต่อไป นั่นหมายความว่าชีวิตที่ถูกผนึกอยู่ภายในแผ่นแก้วผลึกหายไปแล้ว”
เย่ว์หยางพยักหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เรื่องการกระทำที่ป่าเถื่อนของสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ เราเหล่ามนุษย์ไม่พอใจยิ่งนักและเราขอประณามการกระทำเช่นนี้อย่างแข็งขัน!”
หมิงรี่ฮ่าวแทบอยากเอาหัวกระแทกพื้น เขารู้สึกปวดหัวขณะโบกมือ “เจ้าจริงจังกว่านี้ได้ไหม? ถ้าสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ตื่นขึ้น ข้าอาจจะไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าจะต้องตายแน่นอน ต่อให้เจ้าซ่อนตัวอยู่ในโลกคัมภีร์และวิหารเทพจักรอวี้จะถูกทำลายก็ตาม พวกเจ้าก็จะถูกผนึกอยู่ภายใน ไม่สามารถออกมาที่นี่ได้ตลอดกาล
“เนื่องจากท่านย่อมปลอดภัยดี อย่างนั้นทำไมท่านถึงได้กังวลห่วงใยชีวิตพวกเราด้วยเล่า?” เย่ว์หยางถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพราะข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง…” สีหน้าของหมิงรี่ฮ่าวหม่นหมองลงเล็กน้อย “นางยังคงหลับอยู่ แม้ว่านางยังไม่ถูกดูดพลัง แต่บางทีนางคงทนอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก่อนที่นางจะสูญหายไป”
“น้องสาวท่านชื่อหมิงรี่ฮัวหรือเปล่า?” เย่ว์หยางตกใจ เขาคิดว่าการถูกส่งตัวไปอีกโลกหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าจะได้พบคนที่หน้าคล้ายกันในโลกนี้
(หมิงรี่ฮัวเป็นฉายาที่คนจีนเรียกดาราเอวีญี่ปุ่นคนหนึ่งนามคิราระ อาสุกะ)
“……นางชื่อว่าหมิงเย่ว์กวง!” หมิงรี่ฮ่าวสามารถบอกได้จากการมองดูสีหน้าของเจ้าเด็กบ้านี่ว่าชื่อหมิงรี่ฮัวคงไม่ได้มีความหมายที่ดี อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะฉลาดเพียงใด เขาไม่มีทางคิดออกว่า หมิงรี่ฮัวเป็นดาราหนังโป๊ที่โดดเด่นจากเกาะแห่งหนึ่ง นอกจากดาราที่โดดเด่นอย่างมาเรีย โอซาวา, ยู อาโออิ, คาเอเดะ มัทสึชิมาและคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเย่ว์หยางรู้เรื่องของหมิงรี่ฮัว นักรบหญิงอกคัพเอฟดี
“อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เนื่องจากนักรบสาวอกคัพเอฟตกที่นั่งลำบาก ในฐานะสุภาพบุรุษ ข้าจะไม่ยอมนั่งนิ่งดูดายแน่” เย่ว์หยางตัดสินใจร่วมมือกับหมิงรี่ฮ่าว เพื่อเห็นแก่หมิงรี่ฮัว เอ๊ย.. หมิงเย่ว์กวงสาวงามในตำนาน!
“ส่วนเรื่องเทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้า ข้าสามารถสู้ได้เพียงหนึ่งในพวกเขา ข้าจะปล่อยอีกคนหนึ่งให้พวกเจ้ารับมือ พวกเจ้าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ และจะบอกจุดอ่อนของเทวทูตสายลมและเทวทูตสายฟ้ากับเจ้า ถ้าเราทำได้สำเร็จ ข้าและน้องสาวจะวางมือจากนักรบแดนสวรรค์และจะไปจากที่นี่ตลอดไป ทั้งจะไม่ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้น ข้าจะช่วยพวกเจ้าต่ออายุผนึกของสองผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ต่อไปอีก มีเพียงน้องสาวข้าที่รู้วิธีทำเช่นนั้น เพราะนางคือเทพนารีจากแดนสวรรค์!” หลังจากเขาพูดจบ หมิงรี่ฮ่าวไม่ให้โอกาสเย่ว์หยางได้กล่าวปฏิเสธ เขากลายร่างเป็นดาวทองและพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าทันที
ในที่สุด เขาก็หายไปโดยปราศจากร่องรอย
สีหน้าของเย่ว์หยางกลายเป็นหม่นหมองทันทีที่เขาจากไป สถานการณ์เช่นนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก
พวกเขาควรทำยังไงต่อไป? ควรจะร่วมมือกับหมิงรี่ฮ่าวจริงๆ หรือ? พวกเขาอาจจะพบจุดจบถูกกินทั้งเป็นโดยไม่เหลือกระดูกสักชิ้นด้วยฝีมือเจ้าผู้นี้ซึ่งน่ากลัวกว่าเสือกินคนเสียอีก อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกับเจ้านั่นอาจเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ ก็ได้
เมื่อเย่ว์หยางกำลังคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ปรากฏเงาสายหนึ่งขึ้นในวิหารที่หนึ่งทันที
มันขยับเข้ามาใกล้ อย่างเงียบๆ
***********