===============
เย่ว์หยางพยายามลุกขึ้น แล้วฝืนให้ยืนอยู่ได้เพราะมึนงงจากการใช้พลังปราณมากเกินไป รู้สึกว่าไม่มีพลังปราณเหลืออยู่ในตัวเขาเลย เขายื่นมือออกไปกอดเสี่ยวเหวินหลีที่หน้าซีดยืนโคลงเคลงอยู่บนพื้น ตาของเธอหรี่ลงเพราะความอ่อนเพลีย เธอค่อยๆ พริ้มตาลงขณะที่แขนทั้ง 6 กอดเย่ว์หยางแน่น ในที่สุด เธอก็กลายเป็นลูกกลมเรืองแสงสีแดงเข้าไปในตัวของเย่ว์หยาง
ถ้าเธอโตขึ้นอีกนิด อาจจะสู้กับจอมปีศาจได้ไม่ยากเย็น แต่ตอนนี้เธอยังเป็นเด็กเล็กอยู่
สามารถตัดแขนจอมปีศาจได้นั่นคือเต็มขีดจำกัดความสามารถของเย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีแล้ว
“เด็กดี! พักเสียเถอะนะ”
เย่ว์หยางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้รับรู้ว่าเสี่ยวเหวินหลีนอนหลับแล้ว
แม้ว่าเสี่ยวเหวินหลีคืออสูรผู้พิทักษ์ของเขาและไม่มีทางตายจริงๆ เย่ว์หยางกลับถือว่าแม่หนูน้อยผู้นี้คือลูกสาวตนโดยไม่รู้ตัว เย่ว์หยางไม่อาจทนเห็นเธอบาดเจ็บ ตอนนี้เขารู้ว่าเธอปลอดภัยและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาระหนักอึ้งในใจของเขาถูกยกออกไปแล้ว เมื่อกลับเข้าไปที่โล่ห์แสงแดงของคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองอีกครั้ง เย่ว์หยางเห็นนางโจรตางามยังคงหลับสนิท ระหว่างที่ได้รับการปกป้องจากโล่ห์แสง นางไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงเลย
มีอยู่หลายครั้งที่เย่ว์หยางคิดจะถอดหน้ากากนางโจรเพื่อดูหน้าของนาง แต่ก็ยกเลิกในที่สุด บางอย่างในโลกนี้จะงดงามมากกว่าถ้าปล่อยให้อยู่ในความลึกลับต่อไป ถ้าท่านเจาะรูที่ประตูกระดาษโดยพลการ ท่านอาจจะสูญเสียสิ่งที่หวังในอนาคตไปแทนก็ได้
เย่ว์หยางรู้ว่านางโจรตางามเป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาไม่ได้รู้ว่านางไม่ได้มีแต่เพียงคัมภีร์อัญเชิญระดับเงินเท่านั้น นางยังเป็นนักสู้ชั้นยอดฝีมือระดับ 4 ต้องใช้คนและทรัพย์สินแค่ไหนท่านถึงจะยกระดับได้ถึงแม่นางคนหนึ่งนี้? เย่ว์หยางคงคิดไม่ออก อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนว่านางไม่ได้มาจากตระกูลธรรมดา และแน่นอนที่สุดนางไม่ได้เป็นโจรอย่างที่เห็น
แต่งตัวเองเป็นโจร บางทีนางคงมีเรื่องลำบากใจของตนเอง
ถ้านางเป็นโจรน้อยจริงๆ อย่างนั้นก็ยังดีสำหรับเขาที่ใช้เวลากับนางอย่างอิสระ แต่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านางมาจากหมู่บ้านภมรบุปผา หมู่บ้านภมรบุปผามีความสัมพันธ์กับราชสำนัก ถ้าเขาต้องทำอะไรเกินเลยไป เขาคงไม่สามารถเข้าไปพัวพันการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับราชสำนัก ดังนั้นเขาไม่ควรตามพัวพันกับแม่นางนี้อย่างลึกซึ้งเกินไป
เขาถอนหายใจช้าๆ และนึกถึงต้นดอกหนามได้
เมื่อเปิดเขาเปิดคัมภีร์ชั้นทองแดงที่มีระดับปลีกย่อยเพิ่มขึ้นมา เย่ว์หยางพบว่าเขาได้รับประสบการณ์จากการเรียกคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองแดงออกมาเช่นกัน
อย่างตอนที่เมื่อเขาเอาชนะหยานฉือและเถี่ยขวง เขาไม่ได้คะแนนประสบการณ์แม้แต่คะแนนเดียว
ตอนนี้ มีคำไม่กี่บรรทัดปรากฏบนหน้าคัมภีร์ของเขา
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านใช้ทักษะชั้นผู้ฝึกหัดระดับ 1 เอาชนะอสูรอัญเชิญของคู่ต่อสู้ของท่านได้ทั้งหมด ท่านได้แสดงความสามารถต่อสู้พิเศษในศึกครั้งนี้ ท่านจึงได้รับการประเมิน 4 ดาว (โดดเด่น) และรับคะแนนประสบการณ์ต่อสู้ 16 คะแนน
ในศึกเดียวกันนี้ ท่านเอาชนะยอดฝีมือระดับ 5 ขั้นเริ่มต้น ท่านได้รับการประเมิน 5 ดาว (สมบูรณ์แบบ) และรับอีก 25 คะแนน
ท่านปกป้องสหายศึกของท่านได้สำเร็จ ดังนั้นจึงได้รับคะแนนประสบการณ์เพิ่มอีก 5
สุดท้ายนี้ ในการรบที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะ ท่านก็เอาชนะและทำร้ายจ้าวปีศาจระดับ 8 จนบาดเจ็บ ท่านได้รับชัยชนะที่น่าอัศจรรย์ในโลกนี้ จึงได้รับการประเมิน 7 ดาว (อัศจรรย์) และรับคะแนนประสบการณ์รบ 49 คะแนน แม้ในขณะต่อสู้ท่ามกลางการต่อสู้ทำลายล้าง ท่านก็มีส่วน ปกป้องสหายศึกของท่าน ท่านได้รับคะแนนประสบการณ์อีก 7 คะแนน ประสบการณ์รบของคัมภีร์อัญเชิญสีทองแดงมากถึง 102 คะแนน คัมภีร์ชั้นทองแดงจะยกระดับโดยอัตโนมัติจากขั้นเริ่มต้นไปเป็นระดับกลาง ตามกฎแต่ปางบรรพ์ เทพเจ้าจะมอบสัตว์อสูรที่มีความสามารถพิเศษแก่ท่าน ณ บัดนี้…
พลิกไปอีกหน้า เราเห็นเงาปีศาจ อสูรผู้พิทักษ์ ได้รับทักษะมาจริงๆ ด้วย…ครอบงำ
ครอบงำ – เงาปีศาจสามารถชิงร่างของสัตว์อสูรใดๆ ก็ได้แล้วครอบงำเหมือนกับว่าเป็นร่างตนเอง เป้าหมายต้องไม่ใช่เพศเดียวกับเจ้าของเงาปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ใช้ทักษะครอบงำ เป้าหมายต้องมีชีวิต อัตราความสำเร็จในการใช้ทักษะครอบงำขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและจิตตานุภาพของเป้าหมาย
“อะไรกันนี่? ทักษะครอบงำ มีข้อจำกัดมากเกินไปมั้ง?” เย่ว์หยางเผลอพูดออกไปเล็กน้อย
ด้วยข้อจำกัดและความต้องการที่มากมาย คงเป็นทักษะที่ไร้ประโยชน์กระมัง?
ถ้าเย่ว์หยางสามารถเลือกด้วยตัวเองได้ เขาจะขอให้เพิ่มทักษะให้เสี่ยวเหวินหลีแน่นอน แม้ว่าเงาปีศาจจะเป็นอสูรพิทักษ์ที่ไม่เลว แต่ก็มีข้อจำกัดในตัวมันเอง
เมื่อขีดจำกัดเวลามาถึง หลังจากผ่านไป 10 วัน เงาที่ได้ครอบงำก็จะหายตามไปกับเงาปีศาจ เขาอาจจำเป็นต้องใช้ทักษะครอบงำอีกครั้งกับสัตว์อสูรที่เหมือนกัน หากว่าเขาต้องการใช้เงาของมัน ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก มันยากที่จะสู้กับสัตว์อสูร และตอนนี้สัตว์ต้องเป็นตัวเมีย ยิ่งไปกว่านั้นการครอบงำ ทำให้ไม่พอจะฆ่ามันได้ง่าย นี่มันยากเกินไปแล้ว
สัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง, มีชีวิตและเป็นนักสู้ ซึ่งสัตว์อสูรเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบๆ ดูร่างตนเองถูกสัตว์อสูรอื่นครอบงำหรือ?
แน่นอนว่ามันคงพยายามตอบโต้ มีเพียงคำเดียวที่จะอธิบายทักษะครอบงำนี้ ก็คือ “ยาก”
เย่ว์หยางรู้สึกว่าทักษะเช่นนี้ไร้ประโยชน์จริงๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร เย่ว์หยางรับเอาไว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“มอ… มอ….”
กระทิงเถื่อนชั้นทองแดงที่มีบาดแผลและรอยแตกไปทั่วตัวโผล่ออกมาจากกลุ่มเศษชิ้นส่วนยักษ์ศิลาที่ล้มลงแล้ว มันฝืนใจยืน มันพยายามยืนให้ตรง มันยังมีชีวิตหลังจากถูกโจมตีหนักขนาดนั้น พลังชีวิตของมันทำให้เย่ว์หยางทึ่งอย่างมาก
ความคิดแว่บผ่านเข้ามาในใจเย่ว์หยาง ดูเหมือนว่ากระทิงถึกตัวนี้จะเป็นตัวเมีย เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะใช้ทักษะครอบงำ
พอสังเกตดีๆ จึงแน่ใจว่ามันเป็นโคตัวเมียแน่
“ขอโทษด้วยนะ แม่กระทิงดุตัวนี้ ข้าขอยืมตัวเจ้าได้ไหม? ” เย่ว์หยางเดินตรงไปที่หน้าของกระทิงถึกทองแดงและถามในลักษณะมีมารยาท คำตอบของกระทิงทองแดงก็คือผงกหัวเตรียมเข้าขวิดเย่ว์หยาง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะขาหลังของมันบาดเจ็บรุนแรง มันคงจะทะยานเข้าขวิดเจ้าเด็กหน้าด้านนี้และย่ำซ้ำจนตาย
เงาปีศาจปรากฏออกมาจากตัวเย่ว์หยางและอ้าแขนเข้ากอดกระทิงเถื่อนทองแดงทันที
ทันใดนั้น กระทิงเถื่อนทองแดงพยายามโดดไปรอบๆ อย่างเจ็บปวด ร่างขนาดยักษ์ของมันบิดและหมุน ทันใดนั้นมันปลิวขึ้นไปกลางอากาศและตกกระแทกพื้นอย่างแรง จนเกิดแผ่นดินไหวย่อมๆ พร้อมกับการตกลงมา กระทิงเถื่อนร้องอย่างน่าสังเวช
ระหว่างดำเนินการครอบงำ เย่ว์หยางไม่สามารถช่วยกระบวนการทั้งหมดได้
เขาได้แต่ดูเงาปีศาจและกระทิงเถื่อนทองแดงสู้กันและกันอยู่ เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าการครอบงำครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ เกี่ยวกับผลลัพธ์ในตอนท้าย ถ้าการครอบงำทำได้สำเร็จ เขาคงไม่ได้ต้องการกระทิงเถื่อนเลย แต่ต้องการจะทดลองทักษะใหม่ เขาต้องการตรวจสอบทักษะครอบครองนี้ว่าใช้งานได้ผลดีหรือไม่ และใช้มันได้อย่างไร
“มออออ, มอออออ”
จากนั้นไม่นาน จู่ๆ เลือดก็พุ่งออกมาจากทวารของกระทิงเถื่อนทองแดง มันดูหวาดกลัวสุดขีด
ขณะที่มันถูกเงาปีศาจแย่งร่าง วิญญาณของมันค่อยๆ หายไป ในที่สุดเงาปีศาจก็ชิงร่างมันมาได้สำเร็จ ร่างของกระทิงเถื่อนทองแดงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทันที ขณะที่เย่ว์หยางจ้องมองจนปากอ้าตาค้าง กระทิงเถื่อนทองแดงเปลี่ยนเป็นยักษ์สตรีสูง 3 เมตร จุดที่น่าเสียดายคือมีเกราะหนังโคคลุมทับหน้าอกนาง กีบเท้าโคก่อนหน้านั้นกลายเป็นแขนมนุษย์ แต่มีกล้ามเป็นมัด หนา ตรงขาหลังของโคแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนขณะที่นางยังยืนตรงได้ เขาทั้ง 2 ที่เย่ว์หยางหักไปแล้ว ตอนกลับมาปรากฏเหนือหน้าผากของนางยักษ์ มันโค้งขึ้นไป ดูน่าเกรงขาม
หางวัวยาว คงเหลืออยู่
เมื่อเห็นสัตว์อสูรที่เก้าส่วนเป็นมนุษย์ และอีกหนึ่งส่วนเป็นวัว คางของเย่ว์หยางแทบจะติดกับพื้น นี่… นี่คือผลของการครอบครองร่างหรือ?
“อวาตาร์ใช่ไหม?” เย่ว์หยางเห็นว่านางยักษ์ดูคล้ายกับตัวละครในหนังเรื่องอวาตาร์ แต่มันล่ำสันมากกว่า 10 เท่าได้มั้ง ยักษ์ในอวาตาร์ผอมเพรียวหุ่นดี แต่กระทิงเถื่อนนี้รูปทรงหนาบึ้กอย่างกะตุ่มน้ำ ร่างนางสูงแปดฟุต แต่ก็หนาแปดฟุตด้วย
พลิกคัมภีร์อัญเชิญไปหน้าที่ 2 เย่ว์หยางพบว่ามีเงาที่ดูพิเศษไม่ซ้ำกันกับเงาปีศาจ
โคถึกเงา : สัตว์อสูรรูปมนุษย์ ชั้นทองแดงระดับ 3 สัตว์อสูรครึ่งมนุษย์ อสูรผู้พิทักษ์ มีนิสัยดื้อรั้น ทักษะเจ้าของเดิม พลังเท้าและเนตรประหาร
พอเย่ว์หยางเห็นเช่นนี้แล้ว ยิ่งอ้าปากกว้างขึ้นไปอีก จนแทบยัดกำปั้นเข้าไปได้ทั้งหมด
“พระเจ้าช่วย….”
***********************