ตอนที่ 359 มาตรฐานชายงาม
ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยางคือกลุ่มคนที่งดงามและมนุษย์อสูร
มีทอเรนสองตน (มนุษย์หัววัว) คิวบัวร์สี่ตน (มนุษย์หัวหมูป่า) และเอลฟ์ทองอีกสาม ในกลุ่มนี้พวกที่งามก็นับว่างดงามมาก ขณะที่พวกมนุษย์อสูรกลับอัปลักษณ์มากเช่นกัน
(ในเรื่องนี้ผู้แต่งเอาคาแรคเตอร์จากเกมวอร์คราฟท์มาใช้ค่อนข้างมาก)
คนที่ตะโกนเรียกเย่ว์หยางคือสาวชาวทอเรนสูงสามเมตร เย่ว์หยางคิดว่าเมื่อก่อนที่โคเงาอาหมันจะวิวัฒนาการ นางนับว่าอัปลักษณ์มากแล้ว ทว่าเมื่อนำมาเทียบกับสาวน้อยทอเรนนี้แล้ว อาหมันในตอนนั้นกลายเป็นสาวงามไปเลย และคงจะดีถ้ามีเพียงแต่สาวน้อยทอเรนที่อัปลักษณ์ แต่สาวน้อยคิวบัวร์ที่มีเขี้ยวงอกยาวจากขากรรไกรล่างยังอัปลักษณ์น่ากลัวยิ่งกว่า ร่างของพวกนางอ้วนเตี้ย แต่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
แต่เดิมที เมื่อพวกเขายืนด้วยกัน ก็เป็นภาพที่น่าตกใจอยู่แล้ว
ตอนนี้พวกที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาก็คือเอลฟ์ทองสามคนซึ่งรูปลักษณ์ที่งดงามมาก ความต่างกันระหว่างความอัปลักษณ์กับความงดงามเป็นภาพที่ตัดกันรุนแรง
เย่ว์หยางคิดว่าเขาค่อนข้างมีพลังใจที่เข้มแข็งแล้ว แต่เมื่อเขาหันมามอง เขารู้สึกว่ายากจะทำใจรับได้
เป็นภาพที่ขัดแย้งกันจนน่าตระหนก
ในเอลฟ์ทองทั้งสามคนที่อายุน้อยที่สุดดูเหมือนเพิ่งจะรู้เดียงสา พูดตรงๆ นางก็คือสาววัยรุ่นอกแบนนั่นเอง ผมของนางสีเขียวดูมีชีวิตชีวา สวมชุดเอลฟท์สีเขียวขับเน้นทรงให้เห็นเอวอ้อนแอ้นและขาเรียวงาม นางสร้างความประทับใจแรกพบให้เย่ว์หยางเหมือนกับดูกวางน้อยในป่า, อ่อนช้อยทว่าสง่างาม ใบหน้างามสง่าไร้สิ่งที่จะเป็นข้อตำหนิ คิ้วโก่งเรียวยาวทำให้นางดูเหมือนคนเจ้าปัญญาและประกายแววตาสีเขียวของนางมองดูเหมือนมรกตคู่หนึ่ง ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางปรากฏรอยยิ้มซุกซนอยู่ตลอดเวลา เท่าที่มองสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่านางฉลาด แต่ชอบหาเรื่องยุ่งใส่ตัว เป็นตัวก่อกวนน้อยที่ไม่ธรรมดาเลย
อีกคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของนาง ร่างของเขาสูงสง่า ผมสีม่วงยาวประบ่า ลักษณะที่หล่อเหลาของเขาดูไม่ด้อยไปกว่าองค์ชายเทียนหลัวเลย
เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ความสง่างามของเย่ว์หยางด้อยกว่าเขาเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นฝ่ายชนะแน่นอน ถ้าเปรียบเทียบในแง่ของความเป็นชายชาติทหาร
แน่นอนว่า พอเทียบลักษณะกับเผ่าเอลฟ์ทอง เผ่าที่มีบุรุษหล่อเหลาและสตรีงดงาม เผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมด้อยกว่าแน่นอน
เอลฟ์ทองเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง เป็นเผ่าพันธุ์ที่งดงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในเผ่าพันธุ์เอลฟ์ต่างๆ ถ้ามนุษย์อย่างเย่ว์หยาง, เสวี่ยทันหลาง, เหยียนพั่วจวิน, องค์ชายเทียนหลัวและบุรุษสุดหล่อในทวีปมังกรทะยานถูกนำไปเปรียบเทียบความหล่อกับพวกเขา อย่างมากก็มีความงดงามเหมือนเอลฟ์ทั่วๆ ไปเท่านั้น
ที่ยืนอยู่ข้างๆ เอลฟ์ทองหนุ่มเป็นเอลฟ์สาวที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าสาวเอลฟ์คนแรกมาก ความงามของนางได้มาตรฐานสาวทรงเสน่ห์อย่างแน่นอน อาจถึงระดับงามล่มเมืองด้วยซ้ำ เย่ว์หยางเคยเห็นหญิงงามมามาก อย่างเช่นเสวี่ยอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัว, หญิงงามอู๋เหินและอื่นๆ ที่มีความงามเป็นแบบฉบับของตนเอง พวกนางงดงามมากเมื่อเทียบกับสาวงามโดยทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับสาวเอลฟ์ทองเหล่านี้แล้ว พวกนางไม่อาจเปรียบกันได้เลยจริงๆ เย่ว์หยางข่มความคิดที่ว่าดีแต่ไม่มีอะไรไว้ มาตรฐานความงามของหญิงเอลฟ์ทองเหล่านี้ค่อนข้างจะผอมไปเล็กน้อย ถ้าอกของพวกนางถ้ามีรูปมีทรงมากกว่านี้ พวกนางอาจจะสวยมากก็ได้
แน่นอนว่า ความต้องการจะเห็นอกสาวเอลฟ์ให้ได้นั้นไม่ใช่เป็นแค่ฝันธรรมดา แต่เป็นการละเมอเพ้อฝันยามกลางวันแสกๆ
พลังความแข็งแกร่งของเอลฟ์โดยทั่วไปนั้นน่าทึ่ง ทั้งที่ดูงดงาม เอวบาง ขาเรียวยาวผิวงามไร้ที่ติอย่างนั้น
อกใหญ่แล้วไงเล่า? แค่สาวๆ คิวบัวร์ที่อยู่ข้างเอลฟ์ทองสาวก็มีกันแล้ว พวกนางอกใหญ่ตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
หนึ่งในสี่สาวคิวบัวร์เดินออกมา
อกที่งดงามแข็งแรงของพวกนางสามารถทำให้บุรุษตัวโตหายใจไม่ออกเสียมากกว่า
สาวเอลฟ์ทองผู้ดูเป็นผู้ใหญ่สวมชุดยาวสีม่วงอ่อนขลิบด้วยด้ายทอง ในมือนางถือไม้เท้าสีเขียวมีอัญญมณีสีน้ำเงินที่มีค่าประดับอยู่ยอดบนไม้เท้า เย่ว์หยางไม่ได้สังเกตนางอย่างใส่ใจมากนัก เขามีภรรยาอยู่ที่บ้าน นางมีความสามารถที่โดดเด่นไม่ด้อยไปกว่าสาวเอลฟ์ทองเลย อีกประการหนึ่ง สาวเอลฟ์ทองที่ดูเป็นผู้ใหญ่นี้ ดูเหมือนจะเป็นคนรักของหนุ่มเอลฟ์ผู้หล่อเหลานั้น นางมีเจ้าของแล้ว
“ภารกิจต้องการคนสิบคน เรายังขาดคนอีกหนึ่ง ถ้าท่านมาร่วมด้วย เราจะให้พลอยแดงล้ำค่าเป็นรางวัลตอบแทน ถ้าท่านต้องการแลกเป็นทอง เราก็สามารถทำเช่นนั้นได้” เมื่อเอลฟ์หนุ่มผู้หล่อเหลาเห็นว่าเย่ว์หยางกำลังสังเกตดูพวกเขาทั้งสามคนและดวงตาเปลี่ยนไปมา เขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้มีความประพฤติที่ดี ถ้าเป็นบุรุษอื่นมองดูน้องสาวและภรรยาของเขาอย่างนี้แล้ว บางทีพวกเขาก็น้ำลายไหลไม่อาจควบคุมตนเองได้ หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว เขาตัดสินใจอธิบายให้เย่ว์หยางฟังอย่างสุภาพและเสนอรางวัลอีกด้วย
“ทำไมพวกท่านถึงเลือกข้าเล่า?” เย่ว์หยางรู้สึกประหลาดใจ ลานแห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทำไมพวกเขาถึงเลือกผู้มาใหม่อย่างเขา?
“เราไม่ยอมให้คนที่มีแรงจูงใจแฝงเร้นเข้าร่วมกับเราอย่างแน่นอน เจ้าสามารถเข้าร่วมช่วงระยะหนึ่งก็ได้ เราจะไม่รบกวนเวลาของเจ้ามากนัก เมื่อเราเสร็จภารกิจ เจ้าก็สามารถแยกทางจากไปได้” สาวทอเรนตบไหล่เย่ว์หยางแรง จนร่างของเขาเกือบทรุดกับพื้น
“นี่พวกท่านจะไปทลายคุกที่ไหนกันนี่? ข้าเป็นช่างหุ่นกลระดับผู้น้อยเอง ข้าจะไปด้วยได้หรือ?” เย่ว์หยางรู้สึกว่าถามข้อมูลให้ชัดเจนจะดีกว่า
“คุกอะไรของเจ้า?” ทุกคนมองหน้าเขาด้วยสีหน้าฉงน
“ก็อย่างเช่นที่ๆ พวกท่านจะไปไงเล่า ป่าหยกเขียวใช่ไหม? หัวหน้าสัตว์ประหลาดที่นั่นเป็นแบบไหน? ข้าหมายถึง ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ๆ แบบไหน? เช่นเดียวกับอสูรเฝ้าสมบัติหรือสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งหรือเปล่า?” เมื่อเย่ว์หยางถามเช่นนี้ เขาพบว่าพวกเขากำลังมองมาที่เขาเหมือนมนุษย์เห็นมนุษย์ต่างดาว
“หยุดพล่ามเรื่องเทพนิยายบ้าๆ ของเจ้าได้แล้ว เรื่องไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” สาวทอเรนตบหลังของเย่ว์หยางอีกป้าบ โชคดีที่เย่ว์หยางหลบได้ทัน
“พวกเจ้าหมายความว่า ไม่ได้ไปล่าสัตว์ประหลาด? พวกเจ้าไม่ได้ฝึกฝนเพื่อยกระดับพลัง? พวกเจ้าไม่ได้ตามหาสมบัติ?” เย่ว์หยางรู้สึกว่าบริษัทเกมอีกโลกหนึ่งนี้เขี้ยวลากดินจริงๆ พวกเขาจะเล่นเกมที่ไม่ได้สมบัติตอบแทนเลยได้อย่างไร?
“เรากำลังจะไปเก็บสมุนไพร!” เส้นเลือดดำเส้นใหญ่เริ่มปรากฏอยู่บนหน้าผากสาวทอเรน
“เจ้าผู้นี้ดูเหมือนคนปัญญาอ่อน นำเขาไปด้วยจะไม่มีปัญหาหรือ?” หนึ่งในสาวคิวบัวร์พูดกับสาวคิวบัวร์อีกคนหนึ่ง
“ยิ่งโง่ก็ยิ่งดี คนฉลาดมักจะอันตราย อย่างไรก็ตาม ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เจ้าเล่ห์ คนโง่อย่างเขาหาได้ยากจริงๆ” บทสนทนาของสาวคิวบัวร์กระทบกระเทือนความภูมิใจเย่ว์หยางจริงๆ
ตั้งแต่เขามาถึงโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินมีคนบอกว่าเขาโง่
ยิ่งกว่านั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีบางคนพูดว่าลักษณะของเขาไม่น่าดู สวรรค์โปรด ชั้นหกหอทงเทียนนี้เป็นที่ไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย
เย่ว์หยางคิดว่าเขาอาจจะมาผิดที่ก็ได้ เขายังไม่ได้เริ่มต้นการเดินทางอย่างสบายๆ ก็ถูกเยาะเย้ยถากถางเสียแล้ว แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ยังดีที่พวกเขายังไม่รู้ความจริง มิฉะนั้นอาจจะไม่น่าสนใจก็ได้ ทันใดนั้นเย่ว์หยางแกล้งทำเป็นเหมือนว่าข้านี่โง่ แต่รวย อาจถูกรังแกได้ง่ายๆ เย่ว์หยางจะแกล้งทำเป็นเหมือนเศรษฐีบ้านนอกรายใหม่
มีทอเรนชายคนหนึ่งที่ไม่ได้พูดเลยตั้งแต่แรก ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ทันใดนั้นเขาก็แสดงท่าทีผู้นำและโบกมืออย่างกล้าหาญ “พวกเจ้าจะพูดมากกันไปใย? ไปกันได้แล้ว!”
ด้วยเหตุฉะนี้เอง คนที่รวยแต่โง่อย่างเย่ว์หยางจึงถูกลากไปกลับกลุ่มคนงามและชาวอสูร ไม่มีผู้ใดใส่ใจกับเงื่อนไขของคนใหม่ผู้นี้
การดำรงคงอยู่ของเขาก็แค่สักว่าสมาชิกคนที่สิบของกลุ่มคนงามและชาวอสูร เพราะความต้องการพื้นฐานที่ได้รับอนุญาตให้เข้าป่าหยกเขียวได้นั้น จะต้องรวมกลุ่มให้ได้สิบคนเสียก่อน ทีมที่รับภารกิจ ถ้ามีเพียงคนเดียว ต่อให้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด เขาก็ไม่มีทางได้รับภารกิจนี้
สาวคิวบัวร์ทั้งสี่สวมชุดเกราะหนักและในมือแต่ละคนถือกระบองเขี้ยวสุนัขป่า พวกนางยังคงแบกโล่เหล็กกลมไว้ที่หลังอีกด้วย
ดูเหมือนพวกนางจะเป็นคนขนสัมภาระในกลุ่มนี้
ชาวทอเรนอีกสองคน หนึ่งหญิง หนึ่งชายแบกขวานยักษ์ไว้บนหลัง พวกเขาน่าจะรับหน้าที่เป็นผู้จู่โจมหลัก
สาวเอลฟ์ที่อายุน้อยเป็นขมังธนู นางสะพายคันธนูที่สร้างจากไม้เลื้อยไว้บนหลัง พี่ชายนางเป็นจอมเวทหรือนักสู้ที่ใช้เวท เป็นสมาชิกที่ใช้พลังจิตคนสำคัญของทีม เอลฟ์สาวที่ดูเป็นผู้ใหญ่และงดงามเกินบรรยายไม่จำเป็นต้องพูด นางคงเป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มและเป็นผู้วิเศษหญิงอย่างมิต้องสงสัย
เย่ว์หยางยังคงเดินไปฝันกลางวันไป
ถ้าอย่างนั้น เขาจะเล่นบทอะไรในกลุ่มนี้ดี? ผู้อัญเชิญหุ่นกล? แต่ว่าเขาเป็นตัวปลอมไม่ใช่หรือ? ถ้าเย่ว์หยางเป็นนักอัญเชิญหุ่นกลจริง อย่างนั้นภูตอัจฉริยะเย่ว์กงล่ะ เป็นอะไร?
นักดาบ?
ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะมีเพลิงอมฤต แต่เขาก็ไม่สามารถชุบชีวิตได้
ผู้สันโดษ? แม้ว่าเขามีต้นดอกหนาม, ฮุยไท่หลางและอสูรอื่นๆ เขาก็ไม่ใช่ผู้สันโดษ, สำหรับอัศวินก็ลืมไปได้เลย ไม่มีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนั้น
หรือว่าเขาจะเป็นขโมยดี?
เย่ว์หยางคิดเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาได้ข้อสรุปที่น่าตกใจ ตามปกติเขาก็ใช้วิธีและทัศนคติที่หน้าด้านและเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว บทสรุปที่ลงตัวที่สุดก็คือ..โจรน้อย อย่าว่าแต่เป็นโจรก็ยังนับว่าดี เขาสามารถโจมตีอย่างคาดไม่ถึงได้ เย่ว์หยางยังคงฝันกลางวัน ขณะที่สาวทอเรนตบหลังเขาจนหัวใจแทบกระดอนออกจากปาก
“เจ้ากำลังพึมพำเรื่องอะไร? เจ้าไม่พอใจจริงๆ หรือเปล่า?” สาวชาวทอเรนจ้องหน้าเขาจริงจัง
“ม่ายหรอก, ข้ามิกล้า!” เย่ว์หยางโบกมือเป็นพัลวัน แสดงว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมและยอมแพ้ เขาเป็นเหมือนประชาชนที่อ่อนน้อมของกษัตริย์ทรราช ไม่ว่าจะโดนรังแกแค่ไหนก็ไม่ด่าและโต้ตอบ
“ถ้าเจ้ากังวลเรื่องอันตราย หลังจากรับภารกิจครั้งต่อไป จะแยกตัวจากกลุ่มที่ป่าหยกเขียวและเทเลพอร์ตกลับมาก็ได้ เรายินดีจะให้ม้วนเทเลพอร์ตเจ้าเป็นการตอบแทน” เอลฟ์สาวใจดีคิดว่าเย่ว์หยางกลัว ดังนั้นนางใช้เสียงอ่อนโยนปลอบโยนเขา นางทำตัวเป็นเหมือนพี่สาวปลอบโยนน้องชาย ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกหดหู่
“เฮ้, ขี้ขลาดจัง, เจ้ารู้ไหมว่าข้ากล้าพอจะเริ่มรับภารกิจในหอทงเทียนชั้นหกมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว? ไม่เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ยังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่เลย” สาวเอลฟ์ผู้ซุกซนหันหน้ามาทางเย่ว์หยาง
“เจ้าเริ่มรับภารกิจตั้งแต่สองปีที่แล้วหรือ? สหายน้อย ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด?” เย่ว์หยางมึนงง สองปีที่แล้วแม่เด็กแก่แดดนี่มิเรียนอยู่ชั้นประถมสามหรือ?
“ฟังให้ดีนะ ข้ามิใช่สหายน้อย อีกห้าปีแปดเดือน ข้าจะมีอายุร้อยหกสิบปี ข้าโตแล้ว เจ้าเข้าใจไหม?” คำพูดของสาวน้อยเอลฟ์แทบจะทำให้เย่ว์หยางหัวทิ่มกับพื้น เฮ้อ.. ว่ากันถึงเรื่องอายุของเอลฟ์ทองที่มีอายุสามพันปีไปก็คงไม่มีความหมาย
“เจ้ามาจากไหน?” เอลฟ์หนุ่มรูปงามส่งยิ้มให้เย่ว์หยาง เห็นได้ชัดว่าเอลฟ์พี่ชายของนางเริ่มรู้สึกไม่ดี ดังนั้นเขาจึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อคุย
“ทวีปมังกรทะยาน” เย่ว์หยางรู้ว่าในสายตาของคนเหล่านี้ ทวีปมังกรทะยานก็คือดินแดนต่างด้าวที่เล็กมาก
“ข้ารู้ว่าจื่อจุน หนึ่งในโลกหล้าก็มาจากทวีปมังกรทะยาน” เมื่อสาวเอลฟ์อายุเยาว์พูดถึงจื่อจุน น้ำเสียงของนางให้ความเทิดทูน
เย่ว์หยางสังเกตได้บางอย่าง ไม่แต่เพียงนางเท่านั้น ทุกคนในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพวกทอเรน, คิวบัวร์หรือเอลฟ์ทอง ดูเหมือนสีหน้าพวกเขาจะให้ความเคารพนับถือยามเมื่อเอ่ยถึงจื่อจุน ดูเหมือนทุกคนในหอทงเทียนชั้นหกจะมีความเคารพนับถือจริงๆ จื่อจุนมีผู้เคารพนับถือจากทุกเผ่าพันธุ์
จากนั้นสาวเอลฟ์ซุกซนพูดต่อ “ข้าก็ต้องการเป็นจื่อจุนให้ได้เมื่อข้าเติบโตขึ้น!”
เอลฟ์ชายผู้งามสง่าต้องรีบปรามนางทันที “อย่าดูหมิ่นจื่อจุนนะ ในโลกนี้มีจื่อจุนเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เอลฟ์สาวซุกซนตกใจสะดุ้งจนเผลอแลบลิ้นออกมา ซึ่งนางรู้ตัวดีว่าเผลอพูดผิดไป จากนั้นนางเอียงศีรษะมองมาทางเย่ว์หยาง “ท่านรู้จักจื่อจุนไหม?”
เย่ว์หยางรีบส่ายหน้า
สาวคิวบัวร์ทั้งสี่หัวเราะลั่น หนึ่งในนั้นหัวเราะจนชั้นไขมันที่คอกระเพื่อม “แน่นอนว่าเขารู้จักจื่อจุน แต่ปัญหาใหญ่ก็คือจื่อจุนรู้จักเขาไหม? มนุษย์อ่อนแออย่างเขา ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเขาเคยได้ยินเรื่องราวของจื่อจุนมาบ้างหรือไม่”
“แน่นอนว่า ข้าได้ยินเรื่องราวของจื่อจุนมาก่อน” เย่ว์หยางตอบราบเรียบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคงต้องการให้ข้าขำจนตายหรือ?” ถึงคราวนี้สาวทอเรนรวมทั้งสาวเอลฟ์ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้
“เด็กน้อย คอยอยู่ข้างๆ ข้าไว้นะ ข้าจะคุ้มกันให้เจ้า ป่าหยกเขียวอาจเป็นที่อันตรายสำหรับเจ้าก็ได้ แต่ข้าไปที่นั่นมาสามครั้งแล้ว ดังนั้นข้าคุ้นเคยที่นั่นมากกว่าใครๆ ตราบใดที่เจ้ายังคอยตามข้าต่อไป รับรองได้ว่าเจ้าจะปลอดภัย” สาวทอเรนตบไหล่เย่ว์หยาง การกระทำของนางทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก โชคดีที่เขารู้ว่ามาตรฐานความงามของเผ่าทอเรนแตกต่างจากมนุษย์ มิฉะนั้นเขาคงสงสัยจริงๆ ว่าสาวทอเรนนี้คงจะชอบเขาเข้าแล้ว
ชาวทอเรนก็เหมือนมนุษย์มีเขา ยิ่งกว่านั้นร่างของเขาอดทนและมีขนปกคลุม
หางยาวหนาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในบรรดาเผ่าทอเรน บุรุษที่ไม่สามารถใช้หางหวดได้เหมือนแส้ถือว่าไม่ใช่ชายงามแม้แต่น้อย
สุดท้าย ถ้าบุรุษชาวทอเรนที่มีความหล่อมาก จะต้องเจาะจมูกหรือหูด้วย
สำหรับแผลเป็น ยิ่งมากก็ยิ่งดีแน่นอน
ว่ากันตามลักษณะของเย่ว์หยาง ในสายตาชาวทอเรนแล้ว เขาอัปลักษณ์แน่นอน ตามมาตรฐานชาวคิวบัวร์ หากบุรุษไม่มีเขี้ยวหน้าที่โง้งใหญ่ แผงขนคอที่ใหญ่ย่อมไม่เป็นที่นิยมแน่นอน
ดังนั้น โดยสรุป ตามมาตรฐานชายงามของพวกเขา ในสายตาของสาวชาวทอเรนและสาวคิวบัวร์ทั้งสี่ เจ้าอ้วนไห่น่าจะไดมาตรฐานชายงามมากกว่าเย่ว์หยาง
*************