ตอนที่ 382 ยกระดับดาบจันทร์เสี้ยวแพลตตินัม
หลังจากรับมอบเพชรสายฟ้าที่มีมูลค่ามหาศาล เย่ว์หยางทำการผลักดันเรื่องสามเรื่องที่สร้างชื่อให้เขาอย่างมากที่สุด
เรื่องแรก เขาสั่งให้ทำเครื่องแบบมาตรฐานสำหรับคนงาน
แม้ว่าเครื่องแบบจะไม่มีราคามากนั้น และเงินค่าเครื่องแบบเป็นพันนั้น อาจไม่เท่าราคาค่าชุดเกราะมังกรบินของเย่ว์หยางชุดเดียว แต่ก็เป็นเครื่องแบบที่ได้รับการยอมรับและเหมือนเป็นรางวัลสำหรับคนงาน และสำหรับคนงานเหมืองที่มีความสามารถ พวกเขาจะได้ชุดที่มีลายขลิบทอง พวกทาสทุกคนต่างร้องไห้ เมื่อพวกเขาได้รับเครื่องแบบสีแดงขลิบลายทอง เย่ว์หยางเป็นเจ้านายคนแรกในประวัติศาสตร์ป้อมสายฟ้าที่ทำเครื่องแบบให้ทาสของเขา
เรื่องที่สอง เย่ว์หยางออกคำสั่งให้ตั้งชื่อทาสทุกคน
นี่ก็นับเป็นครั้งแรกเช่นกัน
มีทาสเป็นจำนวนมากที่ไม่มีชื่อ แน่นอนพวกเขามีแต่ชื่อเล่น หรือชื่อที่เรียกเป็นอย่างอื่น แต่พวกเขาไม่เคยมีชื่อที่แท้จริง
เมื่อพ่อบ้านเหยียนเจิ้งประกาศออกไปว่า ท่านไตตันเจ้านายผู้ใจดีอนุญาตให้ทุกคนมีชื่อเป็นของตนเอง และขอให้พวกเขามาลงทะเบียนเอาไว้ด้วยเมื่อพวกเขามีชื่อแล้ว พวกทาสทุกคนต่างเนื้อตัวสั่นด้วยความยินดี
แม้ว่าพวกเขาจะยังจำชื่อตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นชื่อปรากฏอยู่ในสมุดบัญชีของเหยียนเจิ้ง พวกเขารู้สึกว่าเหมือนกับได้เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ในความเป็นจริง เจ้านายของทาสจะมองว่าทาสเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ขุดเจาะเหมืองและไม่ใส่ใจต่อความเป็นอยู่ของพวกเขานัก แม้ว่าพวกเขาจะมีชื่อในตอนแรกที่ถูกจับมาก็ตาม แต่พวกเขาจะลืมเลือนทุกอย่างหลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงในการขุดเจาะเหมืองทุกวัน จนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อเย่ว์หยางอนุญาตให้พวกเขามีชื่อเองอีกครั้ง ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า เจ้านายของพวกเขาให้รางวัลพวกเขาไม่ใช่แต่เพียงชื่อเท่านั้น แต่เป็นสถานะที่เสมอภาคกับมนุษย์อื่น
ด้วยสถานะนี้อาจทำให้พวกเขาแตกต่างกัน
แค่เพียงชื่อๆ เดียว ก็ทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง มิใช่เครื่องมือขุดเจาะเหมืองแร่ที่มีสถานะเหมือนกับมดตัวหนึ่ง เป็นคนที่ถูกโลกทอดทิ้ง
มีอยู่หลายคนที่ไม่เคยมีชื่อกับเขาเลย ดังนั้นพ่อบ้านเหยียนเจิ้งจึงต้องช่วยตั้งชื่อให้พวกเขา
พวกเขาจะได้รับหมายเลขประจำตัวในขณะเดียวกัน
ถ้าเป็นอิสรชนอื่นๆ พวกเขาคงจะรู้สึกว่าเป็นรูปแบบที่น่าละอายอดสู เพราะหมายเลขจะถูกเย็บแนบกับเครื่องแบบพวกเขาเหมือนกับการประทับตราลาหรือม้า และอาจบ่งบอกว่าเป็นเครื่องหมายของทาสที่มีเจ้านาย
แต่พวกทาสกลับชอบมันมาก
สิ่งที่พวกเขาหวั่นเกรงที่สุดในตอนนี้ก็คือเย่ว์หยาง เจ้านายใจดีของพวกเขาจะปล่อยพวกเขาให้อยู่กันเองตามลำพัง พวกเขากลัวว่าพวกเขาจะถูกเจ้านายลอยแพและกลายเป็นคนงานเหมืองที่ไม่มีความสำคัญอยู่ในเมืองใต้ดินอีกครั้ง
เรื่องที่สาม เย่ว์หยางตั้งชื่อให้ทาสชราและมอบอสูรหุ่นกลให้หนึ่งตัว
ทาสชราได้นามว่า “พิพพิน”
แน่นอนว่านี่เป็นชื่อของกษัตริย์ชาวแฟรงค์ที่เย่ว์หยางนำมาใช้ตั้งชื่อ แต่คนในโลกนี้ไม่รู้จัก
อสูรหุ่นกลได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยเย่ว์หยาง แม้ว่าเย่ว์หยางจะสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่เย่ว์หยางถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างอสูรหุ่นกล แม้ว่าจะเขาจะสร้างอย่างง่ายๆ แต่เขาก็สร้างให้เป็นอสูรหุ่นกลชั้นทองแดงระดับ 2 แต่มันมิได้มีความสามารถทางด้านโจมตีต่อสู้ และสามารถใช้งานได้เพียงขนส่งสลับกับการขุดเหมือง รางวัลเช่นนี้เป็นข่าวกระจายออกไปทำให้ทุกคนที่ทราบข่าวต่างแซ่ซ้องสรรเสริญเย่ว์หยางและรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ไม่จำเป็นต้องประกาศหรืออธิบายมากเกินไป ทาสของเย่ว์หยางทั้งหมดต่างก็สำนึกได้ในที่สุด ตราบใดที่พวกเขาทำงานหนัก พวกเขาจะชนะได้รับความโปรดปรานจากเจ้านายและได้รางวัลในที่สุด ทุกคนหวังว่าพวกเขาอาจเป็นเหมือนผู้เฒ่าพิพพินที่ได้รับมอบชื่อและได้รับหุ่นกลเครื่องมือจากเจ้านายเป็นการเฉพาะ
ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไร แต่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อเป้าหมายนี้
รางวัลที่ไม่เหมือนใคร
เขาจะได้คุยได้ว่ามันคือสิ่งที่นำเกียรติยศสูงสุดมาให้พวกเขา
สิ่งที่ตื่นเต้นและเป็นแรงจูงใจพวกทาสได้มากที่สุดก็คือ เมื่อพ่อบ้านเหยียนเจิ้งประกาศว่า สำหรับคนที่มีส่วนร่วมสำคัญ พวกเขาจะได้รับโอกาสให้ได้พบเจ้านายเป็นการส่วนตัว และจะได้รับการเสนอชื่อเพียงปีละ 10 คนเท่านั้น อาจเป็นได้ว่าเจ้านายจะตั้งชื่อให้ หรือได้รับสัตว์อสูร และโอกาสได้พบเจ้านายของพวกเขา จะกลายเป็นสิ่งที่ทาสร้องขอกันมากที่สุด
ขณะที่พวกทาสกำลังทำงานอย่างจริงจังเพื่อต่อสู้ให้ได้เกียรติยศนี้ พวกที่หนีไปก่อนได้แต่เสียใจอยู่ลึกๆ
ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่าไตตัน เจ้านายคนใหม่ของพวกเขาไม่เพียงไว้ชีวิตพวกทาสที่ลุกฮือเท่านั้น เขายังปฏิบัติต่อทาสอย่างไม่เห็นแก่ตัวอีกด้วย
ค่าจ้าง, รางวัล, เครื่องแบบและความน่าเชื่อถืออื่นๆ ทำให้หลายๆ คนต้องอิจฉา
แม้แต่ยามลาดตระเวนในเมืองใต้ดินยังมิอาจปกปิดความอิจฉาไว้ได้ เมื่อพวกเขาสนทนากันเรื่องความเปลี่ยนแปลงในเหมืองทิศตะวันตก ไม่เพียงแต่ทาสเท่านั้น
ใครเล่าจะไม่ต้องการเจ้านายอย่างเย่ว์หยาง?
ดูอย่างเจ้ากบอ้วนสิ ในอดีตเขาเป็นแค่คนที่น่าสงสาร มีฐานะต้อยต่ำ แต่เดี๋ยวนี้กลับเดินเชิดหน้าด้วยความลำพอง แม้แต่หัวหน้ายามระดับสูง เปากู่ พอเห็นจั๊ดด์ เขาจะปฏิบัติกับจั๊ดด์อย่างสุภาพ “ท่านไวเออร์” ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็น “เจ้าอ้วน” หรือ “เจ้ากบโง่” แค่นั้นก็สุภาพมากพอแล้ว
นักสู้ในสนามต่อสู้ก็ทำตัวเหมือนเด็กว่าง่ายในตอนนี้
นัยว่าไตตันจะคอยตรวจสอบพวกเขาทุกวันหลายๆ ครั้ง ดังนั้นพวกเขาต้องการจะมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะต้องทำตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของเจ้านาย… ผลก็คือ พวกนักสู้ที่ชอบทะเลาะกันวันละหลายครั้ง จะกอดกันไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่ต่อสู้ของพวกเขา พวกเขาจะยิ้มให้กันอย่างจริงใจและจับมือกันและกันแสดงความกลมเกลียวของพวกเขา
ทุกคนหวังว่าสหายนักสู้ของพวกเขาจะไม่ทำความผิดพลาดใดๆ ระหว่างช่วงคุมความประพฤติ ถ้าพวกเขาไม่พยายามผ่านมันไปให้ได้ก็จะไม่มีอะไร
คนที่รับเงินของเย่ว์หยางและจากไป จะถูกล้อเลียนว่าโง่
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจกลับความเสียใจนี้ได้ พวกที่หนีไปทำงานกับคนอื่นก็ใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าเย่ว์หยางจะไล่ตามฆ่าพวกเขาทุกคน
ไตตันปฏิบัติต่อบริวารของเขาเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกไล่ต้อน ขณะที่เขามีความสามารถฆ่านักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ถึงสองคน เอ้อเมิ่งและเหนียนหู่ ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หยางจะทำด้วยตนเองในตอนนี้หรือไม่? แค่สั่งเพียงคำเดียว นักสู้ของเขาทุกคนจะวิ่งลุยเข้ามาเพื่อแสดงฝีมืออวดเย่ว์หยาง คนที่มีชื่อเสียงที่สุดในนครใต้ดินไม่ใช่เจ้าเมืองหม่าหลงที่เป็นอสูรดึกดำบรรพ์ แต่เป็นท่านไตตัน ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าไตตันเป็นใคร อย่างนั้นเขาคงต้องตาบอด หูหนวก และอาจจะถูกคนอื่นทุบตีได้
“เจ้าเมืองหม่าหลงส่งทูตมาที่นี่..” จั๊ดด์รายงานเย่ว์หยางเหมือนกับที่พิพพินทำ เพราะเขาทำให้เย่ว์หยางประทับใจได้ คนอื่นก็เลยรู้สึกว่าเย่ว์หยางเป็นผู้นำที่ชอบฟังวิธีการพูดแบบนั้น
“เจ้าไปรับหน้าเขา อย่าเพิ่งกวนใจข้า” เย่ว์หยางกำลังคิดว่าเขาจะจัดการกับเพชรสายฟ้าอย่างไรดี
เพชรสายฟ้านับว่าเป็นเครื่องมือที่ดีใช้ในการผสานเข้ากับเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ได้ ถ้าเขาจะมอบให้เสวี่ยอู๋เสีย ก็น่าจะช่วยนางได้มาก
แต่เสวี่ยอู๋เสียไม่อยู่ ยิ่งกว่านั้นจื้อจุนยังมีสมบัติดีๆ อีกมากมายดีกว่าเพชรสายฟ้า ดังนั้นเย่ว์หยางตัดสินใจเก็บไว้ใช้งานเอง ที่สำคัญที่สุดมันใช้ยกระดับอาวุธของเขาได้
ทั้งดาบจันทร์เสี้ยวและดาบฮุยจินทั้งคู่สามารถผสานเข้ากับเพชรสายฟ้าได้
พอใช้เพชรสายฟ้า เย่ว์หยางจะได้เครื่องมือสร้างอาวุธสายฟ้านอกจากพลังหยินน้ำแข็งและพลังหยางเพลิง ถ้าเขาใช้มันกับฝ่ายตรงข้าม อาจทำให้ศัตรูต้องเจ็บตัวกันนานแม้จะหลีกเลี่ยงความตายได้ในที่สุด สำหรับดาบจันทร์เสี้ยวของเย่ว์หยางเป็นเพียงอาวุธระดับทอง มันสามารถใช้ได้ในหอทงเทียนชั้นที่หก แต่ถ้าต้องการสู้ในระดับสูงต่อไป อาจถูกมองว่าเป็นอาวุธที่ด้อยกำลังก็ได้ ดาบฮุยจินของเขาตอนนี้เป็นอาวุธระดับแพลตตินัม และเพราะมีดวงวิญญาณสถิตอยู่สองดวง มันยังจะยกระดับได้จนถึงชั้นเพชรในอนาคต นอกจากนี้ วิญญาณสองดวงที่อยู่ภายในดาบวิเศษฮุยจินเป็นวิญญาณชั้นเลิศ แม้ว่าจะยังเป็นเพียงระดับแพลตตินัม แต่มันก็เป็นอาวุธชั้นแพลตตินัมที่ดีที่สุด แทบจะอยู่ในมาตรฐานอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพชรสายฟ้าดูเหมือนยังอ่อนแอไปนิด หากจะเอามาผสานกับดาบฮุยจิน ขณะที่มันไม่ใช่พลังวิญญาณ เย่ว์หยางมักต้องการเพิ่มพลังวิญญาณใหม่ให้กับดาบฮุยจินของเขาเพื่อสร้างสมดุลให้กับพลังของดาบฮุยจิน
แต่ถ้าเขาผสนเพชรสายฟ้าเข้ากับดาบจันทร์เสี้ยว ก็จะอาจจะสูญเสียเพชรสายฟ้าที่เป็นของคุณภาพสูง อาจใช้เวลาเป็นล้านปีถึงจะเกิดเพชรสายฟ้าตามธรรมชาติเม็ดหนึ่งได้
หลังจากผสานแล้ว เขาจะได้อาวุธระดับแพลตตินัมเป็นอย่างมาก และมันยากจะยกระดับขึ้นไปจนถึงเป็นอาวุธชั้นเพชรได้ มีทางเดียวที่จะยกระดับมันได้ ถ้าเย่ว์หยางใช้มือจับวิญญาณนักรบในตำนานมาฝังลงในดาบจันทร์เสี้ยวได้สำเร็จ ทำให้อาวุธของเขามีญาณรับรู้
“ไม่เป็นไร, ยังจะมีสมบัติดีๆ ในครั้งต่อไป” เย่ว์หยางตัดสินใจยกระดับดาบจันทร์เสี้ยวของเขา แล้วค่อยหาสมบัติดีๆ เมื่อไปถึงแดนสวรรค์ในครั้งต่อไป
การมีอักษรรูนโบราณว่า “แข็งแกร่งตลอดกาล” และอักษรรูนสวรรค์ “แช่แข็ง” และ “คม” แม้แต่คนแคระช่างเหล็ก ก็ยังไม่สามารถหล่อดาบจันทร์เสี้ยวได้ ประสาอะไรกับผู้เชี่ยวชาญอาวุธธรรมดา ถ้าเขาต้องการจะฝังเพชรสายฟ้าลงในดาบ ก็คงทำไม่ได้ เว้นแต่ไฟอมฤตของเย่ว์หยาง
หลังจากใช้เวลานาน ขณะที่เย่ว์หยางอ่อนเพลียเพราะความเหนื่อยล้า ในที่สุดเขาจึงฝังเพชรสายฟ้าลงในดาบจันทร์เสี้ยวได้สำเร็จ
ประกายสายฟ้าแล่บแปลบปลาบอยู่บนดาบจันทร์เสี้ยว
มีเสียงเปรี๊ยะอยู่ตลอด
อากาศรอบๆ ตัวดาบก็หนาวเย็นมากกว่าแต่ก่อน และความคมของมันดูเหมือนว่าสามารถผ่ามิติได้
เพลิงอมฤตในมือของเย่ว์หยางหยุดใช้แล้วและดาบจันทร์เสี้ยวเริ่มส่งเสียงหึ่ง.. เหมือนกับว่ามันรับรู้ได้และฉลองการยกระดับของมัน
ดาบจันทร์เสี้ยวยกระดับเป็นอาวุธชั้นแพลตตินัมได้สำเร็จ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือระดับแพลตตินัมธรรมดา แต่ดูแล้วว่าเป็นอาวุธชั้นแพลตตินัมระดับสูงในหมู่อาวุธแพลตตินัมด้วยกันเอง แม้ว่ายังมิอาจเทียบได้กับดาบฮุยจินที่มีวิญญาณสองดวง แต่ก็ยังสามารถพัฒนาได้บ้างอีกเช่นกัน สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางยังงงอยู่ก็คือ เขาไม่เข้าใจว่าจะทำให้อาวุธมีวิญญาณได้อย่างไร เขามิอาจใช้ปราณก่อกำเนิดค้นหาเหตุผลได้ ขณะที่เขาเกรงว่าทักษะแฝงเร้นกลืนกินของเขาจะทำลายความรับรู้ขั้นต้นในดาบจันทร์เสี้ยว
เขาตัดสินใจปล่อยให้ญาณรับรู้ของดาบที่น้อยนิดนี้กล้าแข็งมากสักหน่อยแล้วจึงค่อยๆ สืบสวนดู
คราวหน้าเขาควรจะถามจื้อจุนเมื่อมีโอกาส
เย่ว์หยางมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธที่มีวิญญาณบางส่วนจากมารดาของสหายผู้น่าสงสาร แต่เขาไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธที่มีวิญญาณนั้น อาจเป็นเพราะแยกแยะองค์ความรู้ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เย่ว์หยางมิได้รับความรู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูลนี้เลย
“วืดดด!”
เย่ว์หยางเงื้อดาบจันทร์เสี้ยว ที่เขายกระดับเป็นอาวุธแพลตตินัม ขณะที่เขาต้องการจะทดสอบพลังของมัน
จากนั้นฟันใส่ผนังอย่างไม่ตั้งใจ
มีดฟันใส่เนื้อหินที่ทนทานได้อย่างง่ายดายเหมือนกับว่ามันสร้างจากเต้าหู้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือเมื่อเย่ว์หยางรั้งดาบกลับมา เขาตระหนักได้ว่าผนังหนาทะลุลึกถึงสิบเมตรจากพลังดาบและปราณก่อกำเนิดของเขา ประกายไฟฟ้ายังแล่บแปลบปลาบและกระทบใส่ค้างคาวที่บินโฉบอยู่ห่าง 30 เมตรจนมันตาย
แม้แต่ค้างคาวก็ตายอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีทั้งที่ร่างมันยังค้างอยู่ในอากาศ
จากนั้นเศษเถ้าของมันก็สลายกระจายไปในอากาศ
จั๊ดด์ได้ยินเสียงบางอย่าง เขาคิดว่ามีนักฆ่าจึงวิ่งเข้ามาทันที ที่ทางเข้า จั๊ดด์ได้เห็นดาบจันทร์เสี้ยวที่เยียบเย็นซึ่งมีประกายสายฟ้าเปล่งออกอยู่ในมือของเย่ว์หยาง เขาวิตกกังวลและมองดูผนังที่ถูกฟันเป็นทางยาวมีรอยแยกแคบๆ เขาถึงกับขาสั่นทรุดลงไปกองกับพื้น
“หาคนมาซ่อมผนังด้วยนะ” เย่ว์หยางสั่งงานสบายๆ
“ขอรับ” จากนั้นจั๊ดด์ถึงได้รู้สึกตัวและรีบตอบรับเสียงดังลั่น
หลังจากเย่ว์หยางออกไป เขากลืนน้ำลายเอื๊อกขณะที่ยันตัวเองลุกขึ้นแล้วลูบรอยแยกบนผนัง เขายังคงสับสนเล็กน้อย ขณะที่จั๊ดด์ไม่รู้ว่ายังคงมีพลังไฟฟ้าเหลืออยู่ในรอยแยกเล็กน้อย มันช็อตใส่เขาจนจั๊ดด์ร้องหาแม่ลั่น ก่อนจะสะบัดมือออกมา ราวกับว่ามือของเขาถูกสัตว์ประหลาดกัด
พอตกกลางคืน หลังจากจั๊ดด์ได้รับคำสั่งให้หาคนมาซ่อมรอยแยกบนผนัง เขาจึงออกไปพบเย่ว์หยาง “นายท่าน! มีสาวลูกครึ่งเอลฟ์นางหนึ่งอยู่ที่นี่ โปรดตรวจสอบให้ดี” เขาพูดพลางโค้งคำนับ
เย่ว์หยางผงะเล็กน้อย สงสัยว่าเจ้านี้เอาจริงๆ หรือ?
ก่อนนั้นเขาแค่หาข้ออ้างเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาแกล้งวางตัวเป็นเจ้านายหรือไม่ ถ้าเขาไม่ต้องการรับสาวลูกครึ่งเอลฟ์ไว้ คนอื่นอาจคิดว่าเขาไร้ความสามารถ และนั่นจะทำให้เขาไม่เป็นที่น่าประทับใจ
เย่ว์หยางโบกมือ “ก็ได้, ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว, อ้อเดี๋ยวนะ พรุ่งนี้เจ้าไปกับข้าเพื่อร่วมงานประมูล..”
พอได้ยินว่ามีโอกาส จั๊ดด์โค้งคำนับอย่างตื่นเต้น “ได้เลย นายท่าน”
ปกติเย่ว์หยางมักจะกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์ แต่วันนี้ เขาคิดว่าจะเข้าไปที่ห้องนอนก่อน
อาจมีทาสสาวลูกครึ่งเอลฟ์รออยู่ที่นั่น
จะดูซิว่านางเหมือนอะไร แน่นอนว่า เย่ว์หยางแค่เพียงสงสัย และคงไม่มีทางยอมรับว่าเขาเข้าไปเนื่องจากลักษณะ หน้าเด็กอกโตของสาวลูกครึ่งเอลฟ์นั่นเอง
*************