ตอนที่ 404 สัญชาตญาณ ความยับยั้งชั่งใจ
ตำหนักเพลิง
การพบสมบัติในตำหนักเพลิงอย่างแก่นเวทเพลิงปฐพีขนาดมหึมา มันใหญ่มากถึงขนาดที่คนธรรมดายังโอบรอบไม่ได้ สัญชาตญาณแรกของภูตเพลิงปฐพีก็คืออยากกินพลังไฟที่อยู่ข้างใน
เพราะพลังที่แผ่ออกมาจากแก่นเวทเพลิงปฐพีสามารถให้กำเนิดองครักษ์พิทักษ์ตำหนักเพลิงระดับจ้าวอสูรได้ถึงสองตน
นอกจากนี้ ยังเป็นสาเหตุให้มีอสูรเพลิงมากมายในที่นี้ และทำให้ปีศาจเพลิงที่ถือกำเนิดที่นี่มีความแข็งแกร่งมาก
อสูรและปีศาจทุกตัวตนเหล่านี้เกิดจากพลังของแก่นเวทเพลิงปฐพี ถ้าภูตเพลิงปฐพีสามารถดูดกลืนพลังไฟได้ทั้งหมด นางจะสามารถยกระดับความสามารถได้ทั้งหมด หรือมีระดับที่สูงกว่านั้น ภูตเพลิงปฐพีที่ยังด้อยปัญญา และทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณกำลังเผชิญกับความท้าทาย ความท้าทายเช่นนี้เป็นเพราะเย่ว์หยางได้ลอบวางไว้เพื่อทดสอบ เขาพบสมบัติในตำหนักเพลิงแล้ว แต่กลับไม่เก็บไปด้วยเหมือนปกติที่เคยทำ เย่ว์หยางออกจากตำหนักเพลิงไปก่อนที่การต่อสู้จะจบลง เหมือนกับว่าเขาไม่เคยพบเห็นสมบัติ… หลังจากการต่อสู้จบลง ฮุยไท่หลางกลืนผลึกเวทของจ้าวเพลิงนรกก่อนที่ภูตเพลิงปฐพีจะได้ไป ปล่อยให้นางดูดซับพลังเพลิงในปริมาณที่น้อยมาก ดังนั้น นี่จึงทำให้นางรู้สึกเสียเปรียบ เพราะข้อจำกัดเรื่องปัญญาของนาง
ดังนั้น ตอนนี้ เมื่อนางหาสมบัติในตำหนักเพลิง แก่นเวทเพลิงปฐพีพบ สัญชาตญาณนางคือต้องการกินทันที
แต่ฮุยไท่หลางจะไม่ทำเช่นนั้น
มันรู้ว่าการเผลอกินสมบัติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้านายเป็นข้อห้าม และเจ้านายของมันเกลียดการกระทำเช่นนี้ที่สุด
เย่ว์หยางยอมปล่อยให้ฮุยไท่หลางแข่งขันกับภูตเพลิงปฐพี โดยมีผลึกเวทของจ้าวเพลิงนรกเป็นรางวัลในการต่อสู้ กฎง่ายๆ ก็คือแต่ละตนจะได้กินพลังของคู่ต่อสู้ระดับจ้าวอสูรที่พวกเขาเผชิญหน้าด้วยกันทีละหนึ่งตน
อย่างไรก็ตาม เรื่องสมบัติ ฮุยไท่หลางจะขออนุญาตจากเจ้านายมันก่อนที่มันจะกินสมบัติเหล่านั้น ต่อให้เป็นของที่ช่วยให้มันยกระดับก็ตาม มิฉะนั้น เย่ว์หยางจะต้องโกรธแน่นอน ฮุยไท่หลางฉลาดมากและเคร่งครัดในวินัยสูง ดังนั้นมันพยายามสื่อสารกับภูตเพลิงปฐพีที่กำลังสูบกินพลังเพลิง ด้วยภาษาสัตว์อย่างเช่นการหอนของสุนัขป่า, ร้องแมวเหมียว, เห่าแบบสุนัขบ้านและทำเสียงมังกรคำราม
“….” ภูตเพลิงปฐพีไม่สามารถพูดได้เลย ทั้งยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าฮุยไท่หลางกำลังจะบอกอะไร
แต่นางสามารถเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในภาษาของฮุยไท่หลาง
ฮุยไท่หลางพยายามจะบอกว่าแก่นเวทเพลิงปฐพีไม่อาจกินได้
นางไม่อาจเข้าใจได้ เนื่องจากนางมิได้มีปัญญาเพียงพอที่จะทำเช่นนั้น ทั้งหมดที่นางสามารถทำได้คือปล่อยไปตามสัญชาตญาณทางธรรมชาติของนาง เพราะแก่นเวทเพลิงปฐพีสำหรับนางเป็นเหมือนขนมหวานสำหรับเด็ก
นี่คือความท้าทายที่เย่ว์หยางมีต่อนาง
ความท้าทายในการทดสอบปัญญาและความยับยั้งชั่งใจของนาง
ปกติมนุษย์จะมีทั้งไอคิวและอีคิวทั้งสองอย่าง ไอคิวจะเป็นตัวกำหนดมนุษย์คนหนึ่งว่าฉลาดหรือไม่ คนไอคิวสูงกว่าก็ย่อมฉลาดกว่า ส่วนอีคิวเป็นตัวกำหนดชะตาและเส้นทางอาชีพของคน เพราะสิ่งที่ยากที่สุดก็คือเรื่องยับยั้งชั่งใจตนเอง ถ้าคนมีอีคิวต่ำมีความยับยั้งชั่งใจน้อย อย่างนั้นเขาอาจเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง ยิ่งถ้าเขามีไอคิวสูง ตัวอย่างเช่น คนฉลาดบางคนที่มีชื่อในสถาบันศึกษาก็อาจฆ่าตัวตายได้หลังจากล้มเหลวในการสร้างความสัมพันธ์ บางคนมีตำแหน่งสูงก็อาจตัดสินใจที่นำเรื่องเศร้ามาให้เพราะอารมณ์, อำนาจและเงิน ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องพบความสูญเสียล่มจม
ทั้งหมดนี้เป็นผลมากจากอีคิวต่ำและความยับยั้งชั่งใจตนเองต่ำ
แม้ว่าคนที่มีไอคิวสูงมีความโดดเด่นรอบด้าน แต่ความยับยั้งชั่งใจตนเองต่ำ ก็คงไม่สามารถต่อต้านการทดสอบนี้ได้
อาจจะพูดได้ว่าความแตกต่างกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับเดรัจฉาน ก็คือความเหนือกว่ากันในเรื่องของไอคิวและอีคิวนั่นเอง ตามปกติไอคิวและอีคิวนั้นจะเชื่อมถึงกัน ผู้ที่มีอีคิวก็มักจะมีอีคิวสูง และคนแบบนี้มักจะมีความรู้มีหลักการทางด้านศีลธรรม เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาจะรับมืออย่างแข็งขันและอดกลั้นไม่ยอมจำนนต่อความเย้ายวนได้ง่าย แต่ในอีกแง่หนึ่ง คนที่มีไอคิวสูง ไม่แน่ว่าจะต้องมีอีคิวสูงเสมอไป
เดรัจฉานโดยทั่วไปจะมีอีคิวเกือบศูนย์ นอกจากพวกที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์อย่างเช่นสุนัขเฝ้าบ้านที่ซื่อสัตย์ ม้าศึกที่ต่อสู้ในสนามรบกับเจ้านาย และเหยี่ยวที่ฝึกดีแล้ว สัตว์เหล่านี้จะมีความสามารถตามธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นและประสบความสำเร็จหลายอย่างที่สัตว์อื่นๆ ไม่อาจมีได้เนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น ไม่ทำร้ายเจ้านายของมันเมื่อพวกมันหิว ไม่ทอดทิ้งเจ้านายของมันในสถานการณ์ที่อันตราย และสู้กับคู่ต่อสู้พร้อมกับเจ้านายแม้พวกมันจะกลัวก็ตาม
เพราะอีคิว พวกมันจึงสามารถสร้างสายใยสัมพันธ์กับเจ้านายของพวกมันได้และสามารถกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของเจ้านายพวกมัน
เป้าหมายอสูรศักดิ์ของทวีปมังกรทะยานในการวิวัฒนาการให้มีรูปเหมือนมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่แค่การมีรูปร่างเหมือนมนุษย์เท่านั้น แต่พวกมันมีวัตถุประสงค์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับมนุษย์ มีความฉลาด มีความยับยั้งชั่งใจตนเองมากขึ้นและมีความสามารถใช้ความรู้ได้มากขึ้น
มนุษย์จะมีคุณธรรมได้ และนี่เป็นผลของการยับยั้งชั่งใจตนเอง
หากปราศจากคุณธรรมอันเป็นผลมาจากความยับยั้งชั่งใจแล้ว เขาก็จะทำตามสัญชาตญาณโดยมีความยับยั้งชั่งใจเล็กน้อย คนพวกนี้มีอีคิวต่ำและพวกเขาจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนทั่วไป
วลีที่ใช้กันบ่อยๆ ว่า “เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน” จะอธิบายถึงความฉลาดอย่างเดียวของคนพวกนี้ได้
สัตว์ที่ไม่มีคุณธรรม พวกมันจะไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และหลายอย่างที่พวกมันทำมาทั้งชีวิตล้วนเกิดจากสัญชาตญาณ เว้นแต่เพียงไม่กี่ราย
เรื่องนี้มีอุทาหรณ์ในทวีปมังกรทะยานและในหอทงเทียนมากมาย
ถ้าสัตว์อสูรต้องการวิวัฒนาการจนกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ อย่างนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือมันต้องมีรูปเป็นมนุษย์
พวกเขาต้องได้รับสติปัญญา ความสามารถในการจำแนกความผิดและถูก และมีอีคิวและความยับยั้งชั่งใจตนเอง ทั้งหมดเพียงเท่านี้จะเป็นพื้นฐานให้สัตว์อสูร จากนั้นก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ไว เปลี่ยนทักษะของพวกเขาด้วยสัญชาตญาณ เปลี่ยนบุคลิกของสัตว์อสูรด้วยคุณธรรม และแทนความสับสนด้วยการจัดระเบียบความคิด และถ้าพวกเขายังสามารถพัฒนาได้ต่อ พวกเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนมนุษย์ ที่สามารถเรียนรู้ทักษะระดับสูงขึ้นและสามารถเข้าใจบางอย่างได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น ทำสัญญากับสัตว์อสูรหรือคัมภีร์ และจากนั้นก็เริ่มกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เย่ว์หยางจงใจทิ้งแก่นเวทเพลิงปฐพีไว้เป็นเครื่องทดสอบและท้าทาย
เขาไม่ได้สนใจเรื่องสมบัติมากนัก แต่ให้ความสนใจพัฒนาการของภูตเพลิงปฐพีมากกว่า
ในอดีต, ภูตเพลิงปฐพีจะไม่สามารถต่อต้านความเรียกร้องทางสัญชาตญาณของนางได้และคงกินสมบัติไปแล้ว
แต่หลังจากนางวิวัฒนาการจากภูตควันไฟเป็นภูตเพลิงปฐพีแล้ว นางมีพัฒนาการที่อ่อนไหว แม้ว่าจะเบาบางมาก แต่เย่ว์หยางรู้สึกว่ายังคุ้มค่ากับการลอง เมื่อได้การฝึกฝนอย่างเข้มงวด สัตว์อสูรจะสามารถขยายความรู้สึกที่ไวนั้นได้ ก็เหมือนวิธีที่เย่ว์หยางใช้ฝึกฮุยไท่หลางในอดีต เขาแนะนำฮุยไท่หลางให้ค่อยๆ พัฒนาความยับยั้งชั่งใจตนเองและเปลี่ยนสัญชาตญาณด้วยความมุ่งมั่น เย่ว์หยางทำได้สำเร็จ ขณะที่ฮุยไท่หลางมีความยับยั้งชั่งใจมากและมีพัฒนาการทางสติปัญญาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะยังไม่ฉลาดพอๆ กับมนุษย์ แต่ความยับยั้งชั่งใจของมันเหนือกว่ามนุษย์และอสูรศักดิ์สิทธิ์มากมายเสียแล้ว แน่นอนว่ามันจึงสามารถทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากเย่ว์หยาง
นางพญากระหายเลือดหงและนางพญาดอกหนามมงกุฎทองตั่วตั่ว ฉลาดกว่าฮุยไท่หลางอย่างปฏิเสธไม่ได้ พวกนางยังคงคล้ายกับมนุษย์มากยิ่งกว่า แต่พวกนางเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ยังมิได้เป็นอสูรในตำนาน
มีเหตุผลมากมายสำหรับเรื่องนั้น แต่คงไม่ใช่เนื่องจากเย่ว์หยางไม่ทำสัญญากับพวกนางด้วยคัมภีร์เหมือนอย่างตอนนี้
ที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นเพราะความยับยั้งชั่งใจของพวกนางยังไม่บริบูรณ์พร้อม แน่นอนว่าฮุยไท่หลางยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจที่สมบูรณ์เช่นกัน ขณะที่มันเปลี่ยนจากตัวตะกละกลายเป็นจอมเกียจคร้าน แต่มันจะจัดลำดับความสำคัญถึงสิ่งที่เจ้านายต้องการให้มันทำและดำเนินการตามนั้น นี่คือสาเหตุที่เย่ว์หยางทำให้มันเป็นอสูรในตำนานได้รวดเร็ว
ว่ากันตามตรง มันมีความผูกพันกับเย่ว์หยางมากขึ้นและพวกเขาก็มักคิดไปในทำนองเดียวกัน ดังนั้นเย่ว์หยางจึงสร้างผลกระทบให้กับมันมาก
นี่คือพลังของฮุยไท่หลาง
ที่คล้ายกับฮุยไท่หลางก็คือโคเงาอาหมัน แต่กำลังสติปัญญาของนางยังห่างจากฮุยไท่หลางที่ฉลาดเกินบรรยายอยู่มาก
ภูตเพลิงปฐพีหยุดกินพลังของสมบัติและมองดูฮุยไท่หลาง
“อะฮู้ววว!” ฮุยไท่หลางต้องการบอกนางมากว่านางต้องเอาสมบัติไปให้เจ้านายของพวกเขา นางจะกินสมบัติได้ต่อเมื่อเย่ว์หยางยินดีมอบสมบัติให้นาง มิฉะนั้นเย่ว์หยางจะโกรธ สิ่งที่นางกำลังทำเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลามาก ฮุยไท่หลางพูดเป็นเวลานาน แต่ภูตเพลิงปฐพีก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ขณะที่สติปัญญาของนางยังไม่มี
“….” ตอนนี้ภูตเพลิงปฐพีจะทำตัวเหมือนกับเด็กที่เห็นขนมหวาน หากไม่มีผู้ใหญ่คอยกำกับดูแล นางจะไม่แอบกินขนมหวานหรือ?
และนี่คือความท้าทายของเย่ว์หยางที่มีต่อนาง
ถ้าภูตเพลิงปฐพีสามารถควบคุมตนเองได้ แม้ว่านางจะใช้ความพยายามก็ตาม นั่นถือได้ว่าเป็นพัฒนาการ
ถ้านางไม่ตระหนักว่าการกระทำของนางผิด อย่างนั้นนางก็แค่ทำได้ตามสัญชาตญาณ แต่ไอคิวกับอีคิวจะไม่พัฒนา
ผลปัญญามีประสิทธิผลให้สัตว์อสูรมีความรู้สึกไวและมีความฉลาดขึ้น นั่นเป็นเรื่องแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทำไมสัตว์อสูรบางตัวซึ่งกินผลปัญญาไปเป็นร้อยผลและมีไอคิวและความสามารถในระดับสูง จึงไม่สามารถยกระดับกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เล่า? เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนั้นง่ายมาก สัตว์อสูรเหล่านี้มีแต่ไอคิวที่สูง แต่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ พวกมันมักยอมแพ้ต่อสัญชาตญาณ ดังนั้น พวกมันก็ยังคงจะเหลือแต่ความเป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีทางยกระดับเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสถานะสูงส่งได้
“โฮ่ง!” พอเห็นว่าภูตเพลิงปฐพียังคงแอบดูดกลืนพลังจากแก่นเวทเพลิงปฐพีอีก ฮุยไท่หลางอุทานด้วยความผิดหวัง
ฮุยไท่หลางคิดจะจู่โจมและแย่งแก่นเวทเพลิงปฐพีเอามาจากการครอบครองของนาง เพื่อป้องกันมิให้นางทำเช่นนั้น
แต่อีคิวระดับสูงของมัน ห้ามมิให้มันทำเช่นนั้น
มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกผิดหวังลึกๆ ความรู้สึกซับซ้อนที่มีเพียงสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์จะรู้สึกได้ แน่นอน ความยับยั้งชั่งใจที่ห้ามมันมิให้จู่โจม เป็นสัญญาณที่ดีของการพัฒนาเติบโตเช่นกัน ฮุยไท่หลางวิวัฒนาการโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เรื่องพลังของมัน แต่เป็นในแง่ระดับสติปัญญาที่มากขึ้น
มันไม่ได้แสดงแต่เพียงผิวเผิน แต่ฮุยไท่หลางแทบจะใกล้เคียงความเป็นมนุษย์แล้ว
มันผ่านการพัฒนามาหลายอย่าง ฮุยไท่หลางยิ่งฉลาดและแข็งแกร่งขึ้น
ภูตเพลิงปฐพีหันมามองดูอีก นางเห็นว่าฮุยท่าหลางแสดงท่าทีจริงจังดูไม่มีความสุข มันทำให้นางสับสน
เป็นเรื่องสับสนโดยเฉพาะเมื่อนางเห็นว่าฮุยไท่หลางไม่สนใจนาง และค่อยๆ ปล่อยนาง จนทำให้นางมีความรู้สึกที่แปลก เนื่องจากนางยังด้อยปัญญา นางไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือเพราะสติปัญญาของนาง แต่นางยังถือแก่นเวทเพลิงปฐพีไว้ในมือเหมือนกับเป็นสมบัติมีค่าและตามฮุยไท่หลางไปเหมือนเด็กน้อยต้องการแบ่งขนมให้กับเพื่อนๆ ของนาง แม้ว่านางต้องการจะกินลงไปทั้งหมด แต่นางก็ยังยินดีจะแบ่งปัน
“เมี้ยวว” ฮุยไท่หลางสั่นศีรษะแสดงให้เห็นว่ามันไม่ต้องการและยังคงไปต่อ
“???” ภูตเพลิงปฐพีสับสนมาก นางไม่แน่ใจว่าทำไมบางคนถึงปฏิเสธของดีๆ แบบนี้
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง อะฮู้ววววว!” ฮุยไท่หลางต้องการบอกนางมากว่านางต้องเอาไปให้เจ้านาย แต่เมื่อมันเห็นนางนอนลงและกินแก่นเวทเพลิงปฐพีอีก ฮุยไท่หลางรู้ว่าการทำเช่นนั้นเปลืองความพยายาม นางเป็นแค่อสูรที่โง่ ฮุยไท่หลางรู้สึกผิดหวัง ขณะที่มันยังรู้สึกว่าโคเงายังรู้วิธีต่อสู้เพื่อให้ได้สมบัติพร้อมกับเขา ยังฉลาดกว่าอสูรโง่ผู้นี้
ภูตเพลิงปฐพีกำลังกินพลังไฟอย่างมิอาจอดใจได้ หันศีรษะไปมองฮุยไท่หลาง
การกระทำของสหายของนางทำให้นางสับสนมาก ทำไมฮุยไท่หลางต้องทิ้งนาง? ทำไมฮุยไท่หลางไม่ต้องการแบ่งสมบัติกับนาง นางไม่เข้าใจเหตุผล
โดยไม่เต็มใจ ภูตเพลิงปฐพีตัดสินใจตามฮุยไท่หลางไป แน่นอนว่านางไม่ยินดีสละทิ้งแก่นเวทเพลิงปฐพี ดังนั้นนางจึงกอดไว้แน่น ขณะตามหลังฮุยไท่หลางไป ก็ดูดกินแก่นเวทไปตลอดทาง
เมื่อฮุยไท่หลางเห็นประตูเทเลพอร์ต มันรีบพานางไปพบเย่ว์หยางทันที
แม้ว่านางจะโง่มาก แต่ความโง่ของนางมิใช่ว่าจะเยียวยาไม่ได้ บางทีเย่ว์หยางคงมีหนทาง
ดังนั้นอสูรทั้งสองจึงเดินทางตามหาเจ้านายของพวกมัน สิ่งที่พวกมันไม่รู้ก็คือ นี่คือผลที่เย่ว์หยางหวังไว้มากที่สุด การฝึกแบบนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับวิวัฒนาการในอนาคต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในที่นี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของพวกมัน
สัญชาตญาณอสูรของพวกมันจะถึงจุดเปลี่ยนตรงนี้ และมีแนวโน้มกลายเป็นอสูรที่มีเหตุผลมากขึ้น
นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นจะพึงมี
ทันทีที่สัตว์อสูรรู้จักเหตุผล มันจะอยู่ไม่ไกลความเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ในทำนองเดียวกัน ถ้ามนุษย์สูญเสียเหตุผล อย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น
***************