ตอนที่ 432 จริงแสนจริง
หลังจากออกมาจากสวนน้อย เจ้าเมืองเวินฟงก็ยังไม่หยุดเดิน
เขายังคงเดินต่อไปจนกระทั่งถึงประตูทางเข้าบ้านพัก
หลิ่วเย่คิด นี่จะไม่เป็นการเกินเลยไปหน่อยหรือ ระยะขนาดนี้ อย่าว่าแต่เสียงปลุกผู้อาวุโสจิ้งหูเลย ต่อให้เสือต่อสู้กันก็ยังได้ยินไม่ถึง ปกติหลิ่วเย่คิดว่าเจ้าเมืองเวินฟงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ต้องการให้เป็นความลับ ดังนั้นนางจึงไม่คิดให้ลึกซึ้งเกินไป อาจารย์หนิงไห่กลับตรงกันข้ามยังคงถามเย่ว์หวี่เรื่องผู้อาวุโสจิ้งหูต่อไป ขณะนั้นเขาแสดงสีหน้าว่ามีความสุขและแสดงความรู้สึกเศร้าด้วยเช่นกัน การแสดงออกที่เปลี่ยนไปมาตลอดเวลาทำให้เย่ว์หยางลอบชอบใจ
เกี่ยวแม่นางไฉ่อี นางยังคงติดตามด้านหลังอย่างสงบ เหมือนกับว่ากำลังคุมตัวนักโทษ
เจ้าเมืองเวินฟงสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เขาลอบถอนหายใจที่สวรรค์ยังช่วยเหลือเขา
เขาปรบมือและยิ้มแปลกๆ ด้วยความภูมิใจ “เอาล่ะ, ตรงนี้ก็ได้”
หลิ่วเย่พูดอย่างร่าเริงก่อน “ข้ารู้สึกว่าเราควรเตรียมของขวัญไว้ก่อน เย่ว์หวี่ควรจะพาอาจารย์หนิงไห่เข้าไปข้างในเงียบๆ และนั่งข้างเตียงของผู้อาวุโสจิ้งหู ด้วยวิธีนี้ เมื่อผู้อาวุโสจิ้งหูลืมตา นางก็จะพบอาจารย์หนิงไห่ทันที ข้านึกภาพได้เลยว่าใบหน้านางต้องตื่นเต้น สำหรับพวกเรา พวกเราจะเข้าไปสมทบในเวลาที่เหมาะสมและให้ของขวัญฉลองที่พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง…”
เย่ว์หยางปรบมือ “ความคิดดี, ความคิดยอดเยี่ยม
เย่ว์หวี่พยักหน้าแสดงว่าวิธีนี้พอใช้ได้
สีหน้าของเจ้าเมืองเวินฟงเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว เขาพูดเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่พวกเจ้าสองคนยังเชื่อฟังไม่หายไปไหน ไฉ่อีฆ่าเจ้าโง่ทั้งสองคนนี้ทันที หนิงไห่! จับเย่ว์หวี่แล้วไปจากที่นี่ทันที”
เขาพูดขณะที่ล้วงม้วนสีทองออกมา
เมื่อเขาเปิดออก แสงสีทองพุ่งออกกระจายเป็นม่านแสงขนาดยักษ์ ลำแสงขยายสูงขึ้นไปถึงสิบกิโลเมตรกักทุกคนไว้ภายในและแยกพวกเขาจากภายนอก
“นี่คือม่านกักกันหรือ? ม่านแสงนี้เคยถูกใช้โดยมือสังหารที่เข้ามาลอบสังหารจักรพรรดิเทียนหลัวองค์ที่ 19” หลิ่วเย่พูด นางนึกไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ พอนางได้ยินคำพูดของเจ้าเมืองเวินฟง นางถึงกับพูดไม่ออก
“คนร้าย!” เย่ว์หยางกระโดดผางและชี้หน้าเจ้าเมืองเวินฟงแล้วตะโกน “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเป็นคนร้าย”
การแสดงสมัครเล่นนี้ทำให้เย่ว์หวี่เหลือบตามองเย่ว์หยาง
เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะเล่นอีกหรือ?
ข้าไม่รู้จะทำยังไงดีกับเจ้าต่อไป!
เมื่อหลิ่วเย่ได้ยินเย่ว์หยางตะโกน นางถึงกับตัวสั่น
นางมีอาการสนองตอบทันทีและมองดูสีหน้าของเจ้าเมืองเวินฟงและอาจารย์หนิงไห่ นางพบว่าพวกเขากำลังจ้องมองเย่ว์หวี่และเข้าใจได้ทันทีว่าเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสจิ้งหู แต่เป็นเย่ว์หวี่ศิษย์ของนาง เพียงชั่วขณะ นางก็จำสถานะของเย่ว์หวี่ได้ นางคือคุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ว์และตระกูลเย่ว์คือกองกำลังที่แข็งแกร่งของต้าเซี่ย การจับคุณหนูรองก็เพื่อเอาไปเป็นตัวประกันอย่างมิต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือความจริงที่ว่า ราชาเฮยอวี้ได้ประกาศสงครามกับต้าเซี่ยและอาณาจักรสือจินก็เป็นพันธมิตรกับราชาเฮยอวี้ด้วย
ดังนั้นเหตุการณ์จึงเป็นเช่นนี้
หลังจากหลิ่วเย่รู้ตัว นางสังเกตว่านางได้ทำเรื่องโง่เขลาลงไป
ศัตรูใช้ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจของนางวางแผนล่อลวงนางและใช้นางอย่างไร้ยางอาย
“โง่จนเกินเยียวยาจริงๆ..” ทันทีที่เจ้าเมืองเวินฟงยกมือ แม่นางไฉ่อีผู้เหินห่างก็พุ่งเข้าหาเย่ว์หยางทันที เหมือนกับว่าต้องการให้เย่ว์หยางตาย
“เจ้าไม่ใช่เจ้าเมืองเวินฟง นักสู้ระดับหกก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับเจ้า” หลิ่วเย่ยังคงพบว่าอาจารย์หนิงไห่สูญเสียลักษณะของอาจารย์ไปแล้ว ตอนนี้ หนิงไห่กลายเป็นผู้รับใช้เจ้าเมืองเวินฟงไปแล้ว หลิ่วเย่ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น หนิงไห่เป็นนักสู้ระดับแปด ในตอนนี้ยังเป็นผู้ติดตามของเจ้าเมืองเวินฟง เขามีความแข็งแกร่งระดับใดกันแน่?
“เวินฟงก็เป็นแค่ตัวแทนของข้า มนุษย์ผู้โง่เขลา นัยน์ตาเจ้าจะหลอกเจ้าเสมอ อย่าเชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็น!” เจ้าเมืองเวินฟงค่อยๆ เปลี่ยนรูป หลังจาก 2-3 วินาที เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดน่าเกลียดมีเขาและมีแขนหกข้าง
สิ่งที่น่าเกลียดที่สุดก็คือใบหน้าของเขา นอกจากมีตาแตกต่างกันหลายขนาดแล้ว ยังมีปากอีกมาก
ปากเหล่านั้นเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ เมื่อคนอื่นมองเห็น ความอยากอาหารของพวกเขาจะหายเป็นปลิดทิ้ง
เย่ว์หวี่ขมวดคิ้วของนาง
นางยืนอยู่ข้างหลังเย่ว์หยางตามสัญชาตญาณ ปกติ ความเคลื่อนไหวนี้จะสร้างความสงสัยให้คู่ต่อสู้ แต่หนิงไห่รู้สึกว่าเป็นเพียงสัญชาตญาณของสตรีที่ไปหลบซ่อนอยู่ด้านหลังบุรุษในเวลาอันตราย
เขาไม่เคยนึกภาพออกเลยว่าเย่ว์หวี่ซ่อนตัวอยู่หลังเย่ว์หยางเพราะเย่ว์หยางคือน้องชายที่นางเชื่อใจที่สุด ดังนั้นนางจึงทำอย่างนี้โดยไม่รู้ตัว
ถ้าว่ากันตามพลัง เวินฟงตัวปลอมยังแข็งแกร่งกว่าอาจารย์หนิงไห่มากมายนัก
นี่เป็นเพราะเขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งแล้ว
สัญลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้อยู่บนหน้าท้องของเขา สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายของกองกำลังนรกดำ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสัตว์ประหลาดระดับปราณก่อกำเนิดผู้มาจากต่างทวีป พระเจ้าย่อมรู้ว่าเขาถูกนำตัวมาที่นี่โดยนักสู้จากอาณาจักรสือจินผ่านมาตามทางผ่านโบราณ สำหรับอาจารย์หนิงไห่ เขาเป็นมนุษย์แน่นอน แต่เย่ว์หยางกล้าระบุว่าเขาไม่ใช่นักรบของทวีปมังกรทะยาน
ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเป็นนักสู้ระดับแปดที่จำเย่ว์หยางไม่ได้ เป็นไปได้หรือว่าจะมีนักรบเร้นกายจากทวีปมังกรทะยานที่เขาไม่รู้จัก?
ไม่รู้จักเย่ว์หยางก็นับเป็นเรื่องดี เมื่อเย่ว์หยางคุยโวเรื่องประวัติศาสตร์ของสถาบันฉางจิงเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เขาพูดล้วนเป็นเรื่องโกหก เป็นไปได้อย่างไรที่ยอดฝีมือจะไม่เข้าใจความรู้ทั่วไปเหล่านี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวลือเกี่ยวกับผู้อาวุโสจิ้งหู เมื่อเย่ว์หยางเล่าให้เขาฟังเรื่องข่าวลือเหล่านี้โดยไม่เอ่ยถึงชื่อ เขาก็เพียงแต่ทำเป็นเฉยและไม่ทราบว่าเย่ว์หยางกำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องผู้อาวุโสจิ้งหู เย่ว์หยางยังคงเก็บเกี่ยวข้อมูลมาตลอดทางและพบว่าอาจารย์หนิงไห่โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่นักรบของทวีปมังกรทะยาน แต่มาจากที่อื่น หัวใจของเขาผ่อนคลายสิ้นเชิง เพราะข้อมูลที่ศัตรูเลียบเคียงถามนั้นไม่มากมีแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
ถ้าพวกเขาใช้ข้อมูลอย่างนี้เพื่อทำความเข้าใจการทำงานภายในของต้าเซี่ย ก็คงจะลำบากมาก
ความจริง เมื่อพวกเขาสอบถามหลิ่วเย่ เด็กสาวแบบนี้ ก็คงรู้แล้วว่านอกจากเด็กผู้หญิงที่มีจิตใจงามและไร้เดียงสาอย่างนี้ พวกเขาคงไม่สามารถหลอกใครได้
“….” เย่ว์หวี่ลอบกระตุกอะไรบางอย่างที่ด้านหลังเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางผงกหัวและเตรียมตัวเคลื่อนไหว
ขณะที่เย่ว์หยางและเย่ว์หวี่เตรียมตัวโจมตี ทันใดนั้นหลิ่วเย่ก็วิ่งเข้ามาขวางทางไฉ่อีไว้ “ข้าจะไม่พูดเรื่องที่พวกเจ้าหลอกใช้ข้า แต่ถ้าพวกเจ้าต้องการจับเย่ว์หวี่ ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
พอได้ยินเช่นนี้ เย่ว์หยางอดตบไหล่นางเบาๆ ไม่ได้ “เฮ้, เฮ้, เจ้าจะเอาอย่างนี้จริงๆ เหรอ?”
“ทำไม่ได้ ก็ต้องทำ เจ้ารีบหนีไปเสียเถอะ ใช้ม้วนเทเลพอร์ตนี้ซะ” สีหน้าหลิ่วเย่หนักแน่นผิดธรรมดา นางเรียกคัมภีร์แพลตตินัมออกมาและกางม่านพลังปกป้อง
“หาที่ตาย!”
ต่อหน้านักสู้ปราณก่อกำเนิด ม่านพลังปกป้องจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน?
ยิ่งกว่านั้น ไฉ่อี ก็มีความแข็งแกร่งเช่นกัน
สำหรับหนิงไห่ เขาไม่ใช่กำลังหลักอยู่แล้ว
เย่ว์หยางล้วงเหรียญทองออกมาเหรียญหนึ่งและทำแกล้งโง่พูดว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เนื่องจากข้าแค่ผ่านทางมา ข้าคืนทองนี่ให้แล้วข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น”
หนิงไห่เผยรอยยิ้มใจดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ประกายตาที่อันตรายซ่อนอยู่ในส่วนลึกดวงตา รังสีฆ่าฟันของเขาฉายผ่านออกมาด้วยดาบในรอยยิ้ม เขาพูดว่า “สายเกินไปแล้ว แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะเป็นเด็กดีที่น่ารักก็ตาม นอกจากนี้ข้ายังชอบพวกเจ้าด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่รู้ความลับก็ควรจะเก็บความลับให้คงอยู่ต่อไป เจ้าก็รู้อยู่แล้ว นอกจากตาย ไม่มีทางอื่นรักษาความลับได้ ฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้สิ ข้าเชื่อว่าเป็นหนทางเลือกที่ดีที่สุดที่เจ้าทำได้ มิฉะนั้นเจ้าคงจะเสียใจแน่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ถ้าเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือเรา ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะปรารถนาถึงความตาย นักเรียนทั้งสองคน ถ้าเกิดชาติหน้า เจ้าจะต้องไม่โง่และไร้เดียงสาอย่างนี้อีก ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ ในโลกนี้ไม่มีใครเชื่อใจกันหรอก!”
พอได้ยินเช่นนี้หลิ่วเย่กัดริมฝีปาก
เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากปากนาง
นางรวบกำปั้นด้วยความเจ็บปวด ในใจนางรู้สึกผิดที่ทำผิดพลาด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันทำให้นางไม่สามารถจมลึกอยู่กับความสำนึกผิดได้
ตอนนี้ นางต้องสู้
หลิ่วเย่ยืนกรานตัดสินใจใช้พลังของนางทั้งหมดแก้ไขความผิดพลาดของนาง
“ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะปกป้องเจ้า ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด, ข้าผิดพลาดที่เชื่อถือศัตรู…” หลิ่วเย่ขออภัยเย่ว์หวี่อย่างจริงใจ ฝ่ายเย่ว์หวี่ก็โบกมือแสดงว่าไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเย่ว์หยางแค่นเสียงเหมือนกับว่าไม่ยอมยกโทษให้นาง สีหน้าของหลิ่วเย่หม่นหมอง แต่นางกัดฟันแน่นและเรียกกวางเงินออกมา นางลดเสียงและลอบบอกเย่ว์หวี่ว่า “รีบขี่กวางเงินของข้าไป, มันจะนำท่านออกไปจากที่นี่”
“แล้วข้าเล่า?” เย่ว์หยางหูไวยังอุตส่าห์ได้ยินเช่นกัน
“เจ้าอยู่กับข้าขัดขวางศัตรูไว้” หลิ่วเย่ตัดสินใจครั้งสำคัญแทนเย่ว์หยาง
“ทำไมล่ะ?” ข้าไม่ต้องการอยู่รอความตายที่นี่แน่นอน เรียกกวางเงินให้ข้าขี่หนีไปอีกตัวนึงเถอะ ข้ากลัวมากเลยนะ” เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นกลัวตาย
“ขออภัย, ข้ามีกวางเงินเพียงตัวเดียว” หลิ่วเย่ตบไหล่เย่ว์หยางเบาๆ และปลอบโยนเขาเสียงนุ่มนวล “ศิษย์น้อง, เจ้าต้องกล้าหาญให้มากเข้าไว้ ที่สำคัญ เจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง”
“เป็นลูกผู้ชาย ต้องเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ด้วยเหรอ…” เย่ว์หยางหลบมุมนั่งขีดเขี่ยเขียนวงกลม
การกระทำเช่นนี้ทำให้หลิ่วเย่ยิ่งรู้สึกผิด
นางต้องการกระตุ้นเขา แต่นางไม่รู้จะพูดยังไง
ทุกอย่างเป็นความผิดของนาง
เดิมทีศิษย์น้องว่านซื่อทงก็แค่ผ่านมา ถ้านางไม่เรียกเขา ชีวิตของเขาคงไม่พังทลายแน่
ถ้านางรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่ถามทางเขาแน่นอน
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินกว่าจะเสียใจ
หลิ่วเย่ปาดน้ำตาที่หางตาเบาๆ และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าขอโทษ ข้าจะตายต่อหน้าเจ้า นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าทำได้”
“ฝันไปเถอะ ไม่ว่ายังไง พวกเจ้าก็ไม่สามารถหลบไปจากที่นี่ได้” อาจารย์หนิงไห่ยกมือและพุ่มหนามงอกออกมาจากพื้น ต้นหนามเหล่านี้ส่ายไปมาเหมือนกับมีชีวิต
แม้แต่ผีเสื้อตัวหนึ่งก็ถูกมันจับได้ทันที
แม้พวกเขาต้องการจะหลบไปจากพุ่มหนาม ถ้าไม่มีพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
แม้แต่หนิงไห่ก็ยังรู้สึกว่าการจับเย่ว์หวี่พร้อมกับสามคนเป็นการโอ้อวดเกินไป ด้วยพลังของอีกฝ่ายหนึ่ง แค่พลังของเขาก็เพียงพอแล้ว
“ข้าได้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรอบคอบแล้ว ไม่มีใครปรากฏตัวแน่ และทุกอย่างปลอดภัย, จู่โจม!” ขณะที่ปีศาจนักสู้ปราณก่อกำเนิดพูด เขายิงแมลงพิษสำรวจบริเวณ หลังจากแมลงพิษกลับมา เขาก็ได้รับการยืนยันในที่สุดว่า ทุกอย่างปลอดภัย ผู้อาวุโสจิ้งหูไม่ทันสังเกตถึงอันตราย และไม่มีนักเรียนปรากฏโดยรอบ ถือเป็นโอกาสดีที่สุดในการลักพาคน
“กรรร!” ไฉ่อีทำตามสัญญาณของเวินฟงตัวปลอมและกระโจนใส่อย่างมีอารมณ์
นางยกมือและจู่โจมใส่ม่านพลังปกป้องของหลิ่วเย่เป็นพายุบุแคม
ม่านพลังปกป้องสั่นสะเทือนภายใต้การจู่โจมของนาง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนางแทบไม่เจ็บปวดอะไรจากการโจมตีอย่างดุเดือดต่อเนื่อง
การหดตัวและระเบิดของมือนางทำให้หนังและเลือดเปรอะไปทั่ว
หนังมือของนางถลอกปอกเปิกจนเห็นกระดูก แต่นางก็ยังจู่โจมต่อเนื่องโดยไม่ลดความเร็วและพลังแต่อย่างใด มีแต่จะเพิ่มพลังหนักหน่วงยิ่งขึ้น
“อ๊าาาา!” หลิ่วเย่หวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นการโจมตีอย่างป่าเถื่อนเช่นนี้
อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่บุรุษก็คงไม่ทำเช่นนี้
นี่ไม่ใช่การโจมตี แต่นี่เป็นการทำร้ายตัวเอง
พลังและความเร็วเพิ่มขึ้น ขณะที่กำปั้นทุบลง ม่านพลังปกป้องลดพลังลงอย่างรวดเร็วและใกล้จะแตกทำลายได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้ ไม่มีหนังติดอยู่ที่กำปั้นของไฉ่อีอีกต่อไป ปรากฏเป็นโครงสร้างแขนกลคู่หนึ่ง หลิ่วเย่และเย่ว์หวี่ประหลาดใจ เพราะกระทั่งบัดนี้พวกนางตระหนักได้ว่าไฉ่อีผู้บ้าคลั่งเป็นแค่หุ่นกลหญิง
เย่ว์หยางเบะปาก
แม้เขาไม่ต้องใช้พลังตาทิพย์ เย่ว์หยางก็รู้ว่าไฉ่อีนั้นไม่ใช่มนุษย์ เพราะทักษะมหาละลวยของเขาใช้กับนางไม่ได้
นอกจากหลิ่วเย่ผู้มีทักษะแฝงเร้นแปลกประหลาด เย่ว์หยางรู้สึกว่าไม่มีสตรีคนที่สองที่มีภูมิป้องกันทักษะมหาละลวยของเขา ที่สำคัญทักษะนี้ยังมีอิทธิพลต่อนางมารเคราะห์ฟ้า ยิ่งกว่านั้นภูมิป้องกันของหลิ่วเย่ยังแตกต่างจากไฉ่อี อิทธิพลของเขาที่มีต่อหลิ่วเย่มีน้อยมาก และนางยังชมรอยยิ้มของเย่ว์หยางก่อนนั้น นี่พิสูจน์ว่านางได้รับอิทธิพลจากทักษะนี้ เพียงแต่ไม่มากพอ
เย่ว์หยางมีสองเหตุผลที่เล่นตามบทของคู่ต่อสู้ ประการแรก เพื่อทำความเข้าใจศัตรูของเขา ประการที่สองเพื่อทำความเข้าใจว่าไฉ่อีสร้างมาได้อย่างไร
บางที การสร้างไฉ่อีจะช่วยให้เขาบรรลุปณิธานข้อที่สามของเย่ว์กงก็เป็นได้
“มันจบแล้ว…” ทันทีที่ม่านพลังปกป้องหายไป หลิ่วเย่รีบผลักเย่ว์หวี่ขึ้นบนหลังกวางเงิน จากนั้นนางตระโกนและผลักเย่ว์หยางลงและขวางตัวเขาไว้ “เสียใจด้วย นี่เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ชาติหน้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้าแน่นอน”
ในตอนสุดท้าย นางยังคงต้องการชดเชยความผิดพลาด แม้ว่านางรู้ว่าความพยายามของนางไร้ประโยชน์
ม่านพลังปกป้องหายไปและกวางเงินพุ่งออกไป ในท่ามกลางพุ่มหนามนับไม่ถ้วน มันพุ่งออกไปอย่างราบรื่น แม้แต่ม่านพลังกักกันก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าของมันได้
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หวี่ไม่ได้อยู่บนหลังของมันแต่กลับอยู่ข้างๆ หลิ่วเย่แทน หมัดเหล็กของหุ่นไฉ่อีโจมตีใส่นาง หลิ่วเย่หมุนตัวมาและเห็นภาพนี้ นางร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่!”
นางไม่เคยรู้ตัวว่าศิษย์น้องที่นางกดทับอยู่ข้างล่างได้หายตัวไปแล้ว
*************