===============
พอพวกเขาแยกย้ายกันไปดำเนินการ เย่คง หลี่เชีย หลี่เกอไปที่หุบเขายู่หลงพร้อมกับเย่ว์หยาง อย่างเร่งรีบหลังจากออกจากประตูลัดจากเมืองเฉินซี
หุบเขายู่หลงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมังกรแต่อย่างใด
มันเป็นหุบเขาที่อันตราย มีสันเขาสูงแหลมคมดุจมีด คดเคี้ยวเป็นระยะทางเกินกว่า 50 กิโลเมตร
กำแพงหินนับไม่ถ้วนมีปลายหินแหลมคมด้วยหินและหน้าผารูปทรงประหลาด ทำให้เป็นไปไม่ได้สำหรับนักรบที่จะเดินทางผ่านยอดสูงสุดของหุบเขาได้ พร้อมกันนั้น ยังมีอินทรีศิลาระดับ 3 นับไม่ถ้วนอาศัยอยู่บนยอดเขา การใช้สัตว์อสูรบินผ่านสันเขาเป็นเพียงพฤติกรรมรนหาที่ตาย
ฐานของหุบเขาเป็นทางผ่านทางเดียว
อย่างไรก็ตาม บนภาคพื้นดินมีหนอนยักษ์ปีศาจอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก คาดว่ามีมากกว่าหมื่นตัว หนอนปีศาจประหลาดเหล่านี้มีเกินกว่าพันสายพันธุ์ แม้ว่าพวกมันอาจถูกเข้าใจว่าไม่แข็งแกร่ง แต่พวกมันก็ยังสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้มากจนน่าแปลกใจโดยใช้ภูมิประเทศพิเศษของหุบเขายู่หลง ไม่มีใครสามารถกำจัดพวกมันได้หมดสิ้น ไม่แต่เพียงแค่นั้น อัตราการขยายพันธุ์ของหนอนปีศาจน่ากลัวมาก ภายใน 10 วัน แม้ว่ามนุษย์นักรบจะกวาดล้างพื้นผิวหุบเขายู่หลงจนสิ้น หนอนปีศาจชุดใหม่ทุกขนาดจะคลานออกมาจากรังหนอนใต้ดินและจากรอยแยกของหินเพื่อเพิ่มอาณาเขตพวกมัน และจะเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยหนอนปีศาจราวกับว่ามันไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น
ไม่มีวิธีกำจัดหนอนปีศาจได้ถาวร สมาคมนักรบตัดสินใจปล่อยที่นี่ไว้เป็นที่ฝึกนักรบด่านที่ 1
“โอว, แย่แล้ว” เมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้าหุบเขายู่หลง เย่ว์หยางเห็นหุบเขาเต็มไปด้วยหนอนปีศาจ
และเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาถึงกับขมวดคิ้ว
แน่นอนว่า ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เขาไม่กลัวหนอนพวกนี้
หนอนปีศาจเหล่านี้น่าขยะแขยงจนถึงขนาดทำให้คนรู้สึกผะอืดผะอม รูปทรงของมันแปลกประหลาดมากและพวกมันมีความก้าวร้าวสูง นี่เป็นเพราะเย่ว์หยางแค่เห็นมันก็อยากอ้วกแล้ว จึงไม่แปลกเลย ไม่ว่าผู้ใดที่เห็นทะเลหนอนแล้ว พวกเขาจะรู้สึกขยะแขยง
เย่คงได้เสนอ 2 วิธีที่จะผ่านหุบเขายู่หลง
วิธีแรก ร่วมกับนักรบคนอื่นทั้งหมดตัดผ่านไปเลย โดยวิธีฉายแสงไฟยาวก็จะขับไล่หนอนที่กลัวไฟแล้วก็ค่อยไปทีละก้าวๆ คนอื่นๆ ก็จะไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดโดยคนข้างหน้า และพยายามไม่ไปกระตุ้นหนอนปีศาจตัวใหญ่ตอนที่กำจัดหนอน 2-3 ตัวที่ขวางทางพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจะไปได้ช้า แต่ผ่านหุบเขายู่หลงไปได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากลุ่มคนร่วมทางด้ว อย่างนั้นพวกเขาก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัยในเวลา 2 วัน
วิธีที่สองเป็นวิธีที่โง่ที่สุด บ้าที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่ไวที่สุด วิธีนี้ก็คือวิ่งตะลุยอย่างเดียว วิ่งผ่านหนอนปีศาจโดยไม่ยอมหยุด
“แม้ว่าวิธีแรกจะปลอดภัยมาก แต่ใช้เวลามากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น การค้างแรมในหุบเขายู่หลงเป็นเรื่องอันตรายที่สุด เราจะต้องหารูไว้หลบซ่อน มิฉะนั้นตอนกลางคืน จะมีหนอนปีศาจมากกว่าตอนกลางวันถึง 10 เท่า หนอนระดับ 3 ที่มีพลังแข็งแกร่งก็อาจไปมาอยู่ในนั้น โอกาสที่เราจะถูกกินมีสูงมาก แม้ว่าวิธีที่ 2 จะดูเหมือนอันตรายมากในตอนแรก แต่การตอบสนองของหนอนปีศาจจะเชื่องช้าในตอนกลางวัน ขณะที่แสงอาทิตย์ทำให้การมองเห็นของมันแย่มาก ถ้าเรากำหนดเป้าเล่นงานที่การรับรู้กลิ่นของมัน เราจะใช้กลิ่นที่รุนแรงดึงดูดพวกมัน จากนั้นก็กวาดล้างหนอนปีศาจที่ขวางทางสัก 2-3 ตัว โอกาสที่จะผ่านไปได้ย่อมจะมีสูง ข้อเสียเดียวของวิธีการนี้ก็คือจำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงมาก หุบเขาระยะทาง 50 กิโลเมตรมีหินระเกะระกะกระจายทั่วหุบเขาจะทำให้เราเปลืองเรี่ยวแรงมาก เราไม่สามารถพักในระหว่างได้ และต้องวิ่งตรงไปอย่างเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มหนอนไล่ตามเราทัน นอกจากนี้ เรายังพลาดหลุมซ่อนตัวที่อยู่ใจกลางหุบเขายู่หลงอีกด้วย มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตในครึ่งระยะทางหลังของหุบเขายู่หลง เพราะเรี่ยวแรงตกลง..”
เย่คงมองดูเย่ว์หยางขณะที่เขาพูด
เขาไม่ได้กังวลถึงสภาพร่างกายเขาที่อดอาหารมาไม่กี่วัน ขณะที่เขาคุ้นเคยกับมันแล้ว เย่คงกังวลถึงคนที่ถูกนินทาว่าขยะอย่างคุณชายสามของตระกูลเย่ว์ว่าจะมีเรี่ยวแรงพอจะวิ่งผ่านหุบเขายู่หลงได้รวดเดียวหรือไม่
หลี่เชียและหลี่เกอมองหน้ากันและกัน พวกเขากังวลถึงปัญหานี้
พวกเขาทั้งคู่เห็นด้วยที่จะให้วิ่งลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวเมื่อมองจากจุดยืนของนักสู้ นี่ทำให้หนอนปีศาจไม่ทันได้มีปฏิกิริยาไวพอจะไล่เขา ทำให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยไม่จำเป็น
ตรงกันข้าม ถ้าพวกเขาเดินไปช้าๆ และยอมให้หนอนปีศาจกลุ่มใหญ่ล้อมพวกเขา มันจะกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่เสียเปรียบสำหรับเขาขึ้นมาแทน คำถามก็คือ ไม่ว่าเย่ว์หยางจะเลือกวิธีที่สอง ในที่สุดเขาก็ยังเป็นลูกค้าและถือทางเลือกสุดท้าย เย่คงเกรงว่าเขาจะอธิบายไม่ชัดพอ จึงเพิ่มเติมว่า “ถ้าเราเลือกวิธีแรก อย่างนั้นเราก็จะต้องเตรียมเครื่องมือที่จำเป็น เราคงต้องหากลุ่มที่ต้องการผ่านไปหุบเขายู่หลงและร่วมด้วยช่วยกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเลือกวิธีที่สอง เราสามารถเริ่มได้ทันทีขณะที่หนอนปีศาจจะอ่อนแอที่สุดในตอนบ่าย แต่ตอนนี้เราพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว วิ่งไปหุบเขายู่หลงไวที่สุดก็ 5 ชั่วโมง เราต้องไปไวกว่านั้น มิฉะนั้นเมื่อท้องฟ้ามืด เราจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
เย่ว์หยางรู้สึกว่า แม้ว่าเจ้าเด็กที่น่าสงสารได้เรียนรู้วิทยายุทธจะวิ่งบนถนนในภูเขานี้ได้ถึง 50 กิโลเมตร เขาก็คงไม่มีปัญหา ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาในปัจจุบันนี้
เขาตัดสินใจดำเนินการด้วยวิธีที่สอง
เย่คงรีบพยักหน้ากล่าวว่า ” เนื่องจากข้าเคยเรียนรู้วิธีส่งข่าวในครอบครัวข้า จึงไม่มีปัญหาเรื่องเรี่ยวแรงข้าในยามออกวิ่ง ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วโมงรวบรวมสิ่งที่จำเป็น”
เย่คงกับพี่น้องตระกูลหลี่กลืนน้ำลายอย่างกังวล
แม้ว่าพวกเขาจะหวังให้เย่ว์หยงเลือกวิธีที่สองที่ตรงกับใจพวกเขาในตอนนี้ แต่เย่ว์หยางตัดสินใจเลือกเอง พวกเขารู้สึกว่าคุณชายผู้นี้คล้ายกับเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พี่น้องตระกูลหลี่นอนลงทันทีในที่นั้น พวกเขาเตรียมเรี่ยวแรงให้พร้อมที่สุดภายในครึ่งชั่วโมง
อย่างไรก็ตามเย่คงไม่ได้ทำเช่นนี้ เขาวิ่งไปที่ร้านที่ใกล้ที่สุดและซื้อของที่จำเป็นด้วยค่าจ้างล่วงหน้าที่เย่ว์หยางจ่ายให้ จากเจ้าของร้าน อีก 10 นาทีต่อมา เขานำถุงที่ใส่ของใบใหญ่สะพายใส่หลังมาพร้อมกับข่าวดี เมื่อ 2 วันมาแล้วได้มีกลุ่มที่แข็งแกร่ง 2-3 กลุ่มได้เปิดทางในการทดสอบครั้งนี้ ได้ฆ่าหนอนปีศาจไปเป็นจำนวนมาก ทำให้มีหนอนน้อยกว่าปกติคืบคลานอยู่ในตอนนี้
ในสายตาเย่ว์หยาง แม้ว่าหนอนปีศาจจะน้อยกว่านี้ถึง 10 เท่า แต่ก็มีมากเกินจนนับไม่ไหวอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม หลี่เชียและหลี่เกอมีกำลังใจอย่างมากกับข่าวนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่านี่ช่วยได้ไม่มาก แต่การได้ยินข่าวดีมักจะดีกว่าได้ยินข่าวร้ายเสมอ
“ท่านต้องการปล่อยหมาป่าปีศาจไว้ให้คนดูแลหรือไม่? ไม่ว่ามันจะเชื่องแค่ไหน พอเห็นหนอนปีศาจเต็มหุบเขา บางทีมันอาจหลุบหางวิ่งหนีทิ้งท่านไว้เบื้องหลังก็ได้” เย่คงแนะนำอย่างเงียบๆ ให้เย่ว์หยางเก็บฮุยไท่หลางไว้ที่นี่ขณะโรยผงไล่แมลงบนตัวเอง
“ไม่จำเป็น ข้าจะยอมปล่อยมันหากว่ามันหนีไป อย่างไรก็ตาม นี่คือการทดสอบมัน” เย่ว์หยางโดดถีบฮุยไท่หลางอีก 1 ที
ถ้าฮุยไท่หลางหนีหลังจากได้เห็นหนอนปีศาจ จะเก็บมันไว้เพื่อประโยชน์อะไร?
เย่คงเห็นเย่ว์หยางเตะสัตว์อสูรของเขาอย่างสบายอารมณ์ก็ถึงกับตะลึง เขาไม่เคยเห็นนักรบที่ทำร้ายสัตว์อสูรของตนมาก่อน เขาไม่กลัวว่าเจ้าหมาป่าปีศาจหลังเหล็กจะหนีเขาไปหรือ? อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสีหน้าสบายอารมณ์ของฮุยไท่หลางหลังจากโดนทุบตีแล้ว เขาไม่เคยเห็นสัตว์อสูรที่ไร้ศักดิ์ศรีมากขนาดนี้มาก่อน เป็นไปได้ว่าหมาป่าตัวนี้เกิดมามีนิสัยชอบถูกทรมาน
ขณะที่กลุ่มของเย่ว์หยางเตรียมตะลุยเข้าหุบเขายู่หลง กลุ่มสมาชิกที่จะผ่านเข้าหุบเขาด้วยกันต่างพากันตะลึง
หัวหน้ากลุ่ม 2 กลุ่ม ตะโกนขึ้นก่อนว่า “เฮ้.. พวกเจ้าเตรียมป้อนตัวเองให้เป็นอาหารค่ำของหนอนปีศาจหรือไง?”
ใครบางคนร้องออกมา “บ้า.. 4 คนนั้นบ้าไปแล้ว”
“ตอนนี้บ่ายแล้ว พระอาทิตย์จะตก เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะวิ่งผ่านหุบเขายู่หลงภายใน 5 ชั่วโมง แม้ว่าเจ้าโชคดีไม่พบรังแมงมุมระดับ 3 และนกกินตั๊กแตนตำข้าว หรือฝูงมดดำเหล็กยักษ์ระดับ 2 และตะขาบหน้ากากปีศาจ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะวิ่งผ่านหุบเขายู่หลงรวดเดียว ด้วยระยะทาง 50 กิโลเมตร กับภูมิประเทศที่ซับซ้อน ข้าคาดว่าพวกเจ้าจะเหนื่อยตายเสียก่อนถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ” นักรบ 2-3 คนที่พยายามจะโน้มน้าวพวกเขาด้วยความหวังดี “อยู่ร่วมทีมกับทุกคนร่วมกันฝ่าด่านเปิดทาง นั่นเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่ทำได้แล้ว”
“มีนักรบน้อยกว่าร้อยคนพยายามวิ่งผ่านหุบเขายู่หลง แต่คนที่ทำได้อย่างปลอดภัยเหลือจำนวนไม่ถึง 10 คน เจ้าพวกเจ้าคิดเรื่องนี้ให้ดี” แม้ว่าหัวหน้าผู้คุ้มกันเกราะเงินผู้คอยคุ้มกันปากทางเข้าหุบเขายู่หลงจะแนะนำเย่ว์หยางไม่ให้ใจร้อน
“พวกท่านจะอยู่ก็ได้นะ…”
เย่ว์หยางพูดเพื่อลองดูปฏิกิริยาของเย่คงและคนอื่น
ถ้าเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ลังเล เย่ว์หยางจะจากไปทันทีและจะไม่เชื่อพวกเขาเหมือนเมื่อก่อนอีก แม้ว่าพวกเขาจะเพียงโดนไล่ออก พวกเขาต้องรักษาความซื่อสัตย์ของตนเป็นอย่างน้อย ที่สำคัญคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบหมายภารกิจให้ผู้ที่หนีไปโดยไม่ลังเลยามเผชิญหน้ากับอันตราย โลกนี้มีผู้อ่อนแอและเย่ว์หยางปฏิเสธการคงอยู่ของพวกเขา แต่เขาจะไม่เลือกคนอ่อนแอเป็นสหาย แม้ว่าจะเป็นการชั่วคราวก็ตาม
ปฏิกิริยาของเย่คงและคนอื่นยังยืนกรานความตั้งใจของพวกเขา “ไม่, เรายังไม่ถูกท่านเลิกจ้าง ตราบใดที่ท่านตัดสินใจเอง แม้ว่าเราอาจจะตาย เราก็จะดำเนินการให้”
พี่น้องตระกูลหลี่ไม่พูดอะไร แต่ทัศนคติที่เด็ดเดี่ยวเขาได้แสดงออกมาทั้งหมดแล้ว
พอเห็นกลุ่มของเย่ว์หยางวิ่งตรงเข้าไปในหุบเขายู่หลงแล้ว นักรบเกือบทุกคนส่ายศีรษะ “เจ้าโง่ 4 คนนี้ ตายแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าผู้คุ้มกันเกราะเงินเห็นตรงกันข้าม “ไม่, พวกเขาอาจทำได้สำเร็จ”
กลุ่มคนในที่นั้นไม่เข้าใจ
สำหรับเรื่องนี้ หัวหน้าผู้คุ้มกันเกราะเงินพูดบางอย่างที่คลุมเครือ”ดูในดวงตาพวกเขาคล้ายกับคนที่ประสบความสำเร็จในอดีต พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“โง่บัดซบ, ความมั่นใจไม่ได้ทำให้สำเร็จทุกอย่าง!” พวกนักรบเหงื่อตกหลังจากได้ยินเช่นนี้
“มีความมั่นใจก็ไม่รับประกันความสำเร็จ แต่พวกเจ้าจะล้มเหลวในที่สุด หากว่าพวกเจ้าขาดมันไป” หัวหน้าผู้คุ้มกันย้อนคำพูดของอีกฝ่าย
“เฮอะ! ใครบ้างเล่าที่ไม่รู้วิธีอวดอ้างอุดมคติ?” ไม่มีใครเชื่อว่ากลุ่มของเย่ว์หยางจะข้ามหุบเขายู่หลงได้อย่างปลอดภัย ทุกคนรู้สึกว่า 4 คนนี้จะหมดเรี่ยวแรงตอนวิ่งไปได้ครึ่งทางแล้วล้มลงกับพื้นกลายเป็นอาหารว่างของหนอนปีศาจยักษ์
2 วันต่อมา
หลังจากพวกทหารรับจ้างผ่านการต่อสู้ที่น่าหวาดเสียวมาจนได้ ทุกคนผ่านด่านทดสอบที่หุบเขายู่หลงมาโดยได้บาดเจ็บมากมาย จนมาถึงพื้นที่รอบนอกแดนดาว อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบว่าเย่ว์หยางและพวกที่ใครๆ นึกว่าตายแล้ว กำลังนอนเอกเขนกที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าประตูสมาคมทหารรับจ้าง พวกเขากำลังเพลินกับการดื่มเบียร์มอลท์แช่น้ำแข็ง พอได้เห็นเช่นนั้นทุกคนถึงกับตะลึง “พวกเจ้าไม่ตายหรือนี่?”
“เจ้านึกว่าคนตายยังจะดื่มเบียร์ได้อีกหรือ?” เย่ว์หยางพูด
เกี่ยวกับเรื่องวิ่งผ่านหุบเขายู่หลง พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดว่าเป็นงานที่ยากจะสำเร็จ อาจจะมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตสำหรับเย่คง หลี่เชีย หลี่เกอบ้าง แต่สำหรับเขาในฐานะนักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิด การวิ่งผ่านหุบเขายู่หลง ก็เหมือนกับการเดินผ่านสวนในบ้านตัวเขาเอง ต่างกันแค่ระยะทางและพื้นที่ขรุขระเท่านั้น
เย่ว์หยางตรวจสอบกับสมาคมนักรบเรื่องเย่ว์ปิงทันทีที่เขามาถึงที่นี่
นางปลอดภัย และไม่มีอันตรายต่อชีวิตนาง
ดรุณีนางนี้ได้ไปที่ “วงกตศิลาดำ” ในเขตแดนดาวเพื่อให้สำเร็จภารกิจเข้มข้นของนาง และอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันก่อนที่นางจะกลับออกมา แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เย่ว์หยางโล่งใจ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อมาก
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเข้าร่วมในภารกิจฝึกฝนเข้มข้นครั้งนี้” เย่ว์หยางรู้สึกว่า เวลาผ่านไปหลายวันอย่างนี้มันน่าเบื่อเกินไป ตอนแรกที่พวกเขามาถึง ก็ได้ไปเที่ยวชมสถานที่รอบนอกของแดนดาว และทำความคุ้นเคยด้วยตนเองเกี่ยวกับข้อมูลต่างในระดับชั้นของหอทงเทียนนี้ ไม่มีอะไรทำจนถึงวันที่ 3 ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป เนื่องจากเย่ว์ปิงควรจะกลับมาภายใน 3 วันได้แล้ว เย่ว์หยางจึงเลือกเข้าร่วมในการทดสอบครั้งนี้
“อะไรนะ?” สำหรับเย่คงและอีก 2 คนที่มีประสบการณ์ในชีวิตที่ดีมา 2 วัน รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้
“อะแฮ่ม, อย่างน้อยท่านจำเป็นต้องใช้อสูรที่ได้ทำสัญญาแล้วตนหนึ่งเพื่อมีส่วนร่วมในการทดสอบ ในเขตแดนดาวท่านต้องใช้สัตว์อสูรเพื่อผ่านทดสอบ ต่อให้ท่านรู้จักวิทยายุทธก็ตาม มันก็ใช้ไม่ได้ สัตว์อสูรที่ไม่ได้ทำสัญญาอย่างฮุยไท่หลางนี่ไม่อาจเข้าร่วมได้” เดิมทีเย่คงไม่ตั้งใจจะทำให้เย่ว์หยางขุ่นเคือง แต่ไม่มีทางเลือก เพราะนี่เป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ
“อสูรที่ทำสัญญาน่ะหรือ? ใครว่าข้าไม่มีกันเล่า” เย่ว์หยางโกรธที่พวกเขายังคงคิดว่าเขาเหมือนขยะ
“อสูรที่ท่านทำสัญญาด้วยคือ….” เย่คงไม่ได้ปิดบังความหวังใดๆไว้ ถ้าแม้แต่ฮุยไท่หลาง หมาป่าปีศาจหลังเหล็กชั้นทองแดงยังไม่ได้ทำสัญญาด้วย เขาประเมินว่าสัตว์อสูรที่เย่ว์หยางได้ร่างสัญญาไว้ก็คงน้อยมาก แม้ว่าพวกมันจะได้รับการทำสัญญา ก็คงเป็นพวกอ่อนแออย่างมาก
“ต้นดอกหนาม” ทุกคนแทบล้มเมื่อเย่ว์หยางพูดแบบนี้
“จะใช้ต้นดอกหนามผ่นการทดสอบที่แดนดาวน่ะหรือ? นี่มันยากนะ, พระเจ้าช่วย ให้ข้าวิ่งผ่านหุบเขายู่หลงสัก 10 เที่ยวยังจะดีเสียกว่า” พวกในกลุ่มพากันตีอกชกหัวตัวเองเมื่อได้ยินอย่างนี้
“ความยากคืออะไร? เดี๋ยวนี้ นี่แหละที่เรียกว่ายากล่ะ” เย่คงร้องไห้
******************************