ตอนที่ 443 เสี่ยวเหวินหลีเลื่อนระดับ!
ราชาเฮยอวี้เหวี่ยงอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับค้อนและกระหน่ำใส่อย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาสิบนาที
ไม่มีผลแต่อย่างใด
ในที่สุด เขาเปลี่ยนอาวุธชั้นศักดิ์สิทธิ์เป็นรูปร่างขวานและฟันใส่ม่านพลังสีทองอย่างดุเดือดอีกสิบนาที สุดท้ายก็สูญเสียเรี่ยวแรงและเวลาเปล่า
ม่านพลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายกันได้ด้วยแรงพลังดื้อด้านแต่เพียงอย่างเดียว ต่อให้เป็นพลังโจมตีของราชาเฮยอวี้ก็ตาม ม่านพลังก็ยังไม่ได้รับความเสียหาย เย่ว์หยางลอบหัวเราะเยาะเมื่อเขาเห็นว่าราชาเฮยอวี้ต้องรับมือกับม่านพลังที่น่ากลัวอย่างนั้น ทำตัวเองแท้ๆ ปัญหาก็คือ ทำไมราชาเฮยอวี้ต้องเข้าไปในวังนี้ให้ได้ สมบัติที่ไม่มีอะไรเปรียบได้ชนิดไหนซ่อนอยู่ข้างในจนราชาเฮยอวี้ถึงมุ่งมั่นจะเข้าไปให้ได้? อาจเป็นได้ว่าวังนี้คือนครลอยฟ้าจากแดนสวรรค์จริงๆกระมัง? มันร่วงลงมาระหว่างการต่อสู้ระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์กับจักรพรรดิอวี้หรือไม่?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมผู้เฒ่าเต่ามังกรไม่ได้พูดถึงวังนี้?
ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่น ตั้งแต่ยุคเป็นล้านปีแล้วก่อนยุคโบราณ นครลอยฟ้านี้ร่วงลงมาจากฟ้า ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ราชาเฮยอวี้จึงตรวจพบเข้า….
“เฮอะ!” ราชาเฮยอวี้เปลี่ยนรูปร่างอาวุธชั้นศักดิ์สิทธิ์ถึง 5-6 ครั้งจนหมด เขาโจมตีดุเดือดอย่างไร้ประโยชน์ และคำรามใส่ท้องฟ้าอย่างเหลืออด เนื่องจากเขาไม่มีที่ระบายอารมณ์โกรธของเขา
“โง้..โง่, โง่อะไรอย่างนี้!” เย่ว์หยางที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้นั่งนับมดอย่างอารมณ์ดี
“สักวัน วังหยกฟ้าจะต้องเป็นของข้า! จักรพรรดิอวี้! ข้าเฮยอวี้จะต้องเหนือกว่าเจ้าแน่นอน ข้าจะทำลายม่านพลังนี้แล้วผ่านเข้าไปให้ได้ จะต้องพิชิตวังหยกฟ้าที่แม้แต่เจ้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ ข้าจะต้องได้รับคัมภีร์อัญเชิญระดับเทพและเป็นเจ้าของที่นี่ให้ได้! คัมภีร์อัญเชิญระดับเทพ จะต้องเป็นของข้าเฮยอวี้สักวัน และข้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหอทงเทียนแน่นอน ข้าจะพิชิตสรรพสิ่ง ข้าจะพิชิตโลก” ราชาเฮยอวี้ชูกำปั้นในอากาศและตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งกระทั่งเสียงแหบแห้ง ดูแล้วเหมือนตอนอดอล์ฟ ฮิตเลอร์กล่าวสุนทรพจน์ ในที่สุดไม่มีใครตอบเขา ราชาเฮยอวี้กู่ร้องโวยวายและพริบตาเขาก็คลุ้มคลั่ง ด้วยอาวุธขวานและค้อนระดับศักดิ์สิทธิ์ในมือทั้งสอง เขากระหน่ำใส่ม่านพลังสีทองเพื่อระบายอารมณ์โกรธ
หลังจากนั้นชั่วขณะ เขาก็สูดลมหายใจลึก
เขาค่อยๆ สงบจิตใจลงได้
ปราณของเขาเปลี่ยนไปและกลายเป็นสุขุมลุ่มลึก เหมือนกับว่ากลายเป็นอีกคนหนึ่ง
เขาใช้มือค่อยๆ ลูบคลำม่านพลังสีทอง ใช้เสียงที่นุ่มนวลมากเหมือนกับกำลังพูดกับคนรัก เขากล่าวว่า “ข้ารู้ ตอนนี้เจ้ายังปฏิเสธข้า เพราะข้ายังไม่คู่ควร แต่ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู ข้าจะตอบสนองเจ้าให้ได้ ข้ามีความสามารถพอจะเป็นเจ้าของๆ เจ้า รอข้าก่อนเถอะ ครั้งต่อไป ข้าจะต้องมีพลังมากยิ่งขึ้น!”
หลังจากนั้นราชาเฮยอวี้ก็จากไป
หลังจากนั้นเป็นเวลานานจริงๆ เย่ว์หยางทาบมือที่หน้าอก หวุดหวิดไปแล้ว เขาเกือบตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
วังนี้มีคัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพจริงๆ, โอว..พระเจ้าช่วย นั่นคือสาเหตุที่ราชาเฮยอวี้ถึงได้โมโหเป็นกระทิงถึก เขาโจมตีใส่ม่านพลังด้วยพลังของเขาไม่มียั้ง ข้างในนั้นมีคัมภีร์อัญเชิญเทพอยู่ในนั้นจริงๆ
แม้แต่จักรพรรดิอวี้ก็ยังเข้าไปไม่ได้หรือนี่?
แม้ว่าจักรพรรดิอวี้จะสามารถผนึกสามผู้ยิ่งใหญ่แดนสวรรค์ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ดูเหมือนราชาเฮยอวี้จะสูญเสียพลังเปล่า
ปัญหาก็คือ ถ้าราชาเฮยอวี้ยังไม่อาจเข้าไปได้ แล้วเขาจะเข้าไปได้หรือเปล่า?
ถ้าเขาสามารถเข้าไปได้ คัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพในตำนาน แม้ว่าเขายังไม่สามารถใช้ได้ตาม แต่ฉกชิงกลับเอามาไว้ในโลกคัมภีร์ก็น่าจะดี ตราบเท่าที่ไม่มีคนอื่นได้ไป มีคัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพอยู่เพียงสิบเล่มเท่านั้น ศัตรูผู้ทรงพลังก็จะลดลงไปเสียคนหนึ่ง แม้แต่คัมภีร์อัญเชิญชั้นศักดิ์สิทธิ์หลายๆ คนก็ได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ อย่าว่าแต่คัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพเลย
พอเย่ว์หยางคิดถึงเรื่องนี้แล้ว รู้สึกคันหัวใจยากจะเกา ทำให้เขาอึดอัด
ขณะที่เขาต้องการจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเขารู้สึกหนาวเย็นเสียดแทงไปทั้งร่างกาย
เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่ากำลังถูกจับตามองจากระยะไกล ด้วยความหวาดกลัว เย่ว์หยางรีบซ่อนตัวนอนราบกับพุ่มไม้ เขาซ่อนเสียงเต้นของหัวใจและอำพรางพลังปราณเอาไว้ ทำให้เหมือนกับเป็นความคงอยู่ของก้อนหิน
ราชาเฮยอวี้ปรากฏตัวอีกครั้ง อยู่ในชุดเกราะรบระดับศักดิ์สิทธิ์และถือไม้เท้าอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ เมื่อเวลาผ่านไปเขาเปล่งแสงเป็นวงสีน้ำเงิน
ปรากฏเหมือนกับว่าต้องการจะตรวจสอบอะไรบางอย่าง
เป็นไปได้ไหมว่า เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ?
แสงวงกลมสีฟ้าเริ่มฉายกระจายลงบนพื้น ทุกชีวิตจะปรากฏให้เห็นในรูปจุดสีแดงตัดกับแสงสีฟ้า ขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณ ทุกชีวิตบนพื้นจะปรากฏต่อราชาเฮยอวี้อย่างรวดเร็ว เย่ว์หยางคร่ำครวญอยู่เงียบๆ เจ้าผู้นี้มีแต่อาวุธชั้นศักดิ์ทั้งนั้น ต่อให้ต้องการทำลายเขา ก็ต้องใช้ความสามารถมาก ราชาเฮยอวี้อย่างน้อยก็เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น เขายังแข็งแกร่งกว่านางเซียนหงส์ฟ้าถึงสิบเท่า ทั้งที่นางใช้เปลวเพลิงอมฤตชำระร่างผลัดเอ็นเปลี่ยนไขกระดูกให้นางไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ยังไม่รวมถึงว่าราชาเฮยอวี้อาจซ่อนพลังไว้ก็ได้
ถ้าเขาปลดปล่อยพลังทั้งหมด เย่ว์หยางเชื่อว่าราชาเฮย์อวี้อาจมีพลังระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสองก็เป็นได้ หรืออาจจะสูงกว่านั้น
ถ้าราชาเฮยอวี้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสอง บวกกับอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์อีกหลายอย่าง คงเป็นไปได้ยากที่เย่ว์หยางจะเอาชนะราชาเฮยอวี้ได้ ตอนนี้เขาไม่ควรคิดเลยเถิดไปไกล…. ถ้าเขาสามารถได้รับอุทกแม่พระธรรณี ยกระดับเขาได้อีกชั้นหนึ่ง และร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรพรรดินีราตรีและนางเซียนหงส์ฟ้า อาจจะมีโอกาสบ้างก็ได้
แม้ว่าอุทกแม่พระธรณีจะมีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ถึงเวลา เจี้ยงอิงสาวมังกรไร้เขายังคงกังวลอยู่มาก และได้ส่งข้อความมาให้เย่ว์หยางก่อนหน้านี้
เพื่อยกระดับของอสูรตนหนึ่ง นางไม่สนใจอะไรอื่น
แล้วตอนนี้ที่ทวีปมังกรทะยานถูกรุกรานเล่า?
นางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ที่สมาคมนักรบ เย่ว์หยางได้ตอบไปแล้วว่าในกรณีที่ทวีปมังกรทะยานเกิดสงคราม เขาจะติดตามนางไปเพื่อรับอุทกแม่พระธรณีแน่นอน ในทางกลับกัน นางจะต้องนำกองทัพแมงมุมมาช่วยทวีปมังกรทะยาน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนการของเย่ว์หยาง เงื่อนไขผิวเผินดังกล่าวก็เพื่อขจัดความระแวงของสาวมังกรไร้เขา เจี้ยงอิงไม่รู้เจตนาแฝงของเย่ว์หยางจึงรับปากตกลง
ถ้าเป็นแต่ก่อนนั้นที่เย่ว์หยางยังไม่ได้ยกระดับทักษะลวง เขาคงไม่อาจหลบพ้นการตรวจสอบของราชาเฮยอวี้ได้
โชคดีที่ในปัจจุบันนี้ เย่ว์หยางสามารถทำได้
แน่นอนว่านี่ต้องขึ้นกับความจริงที่ว่าแสงนั้นต้องไม่ส่องมาที่เขาโดยตรง ถ้าแสงส่องมาที่เขา ก็คงเป็นเรื่องลำบากแม้ว่าเขายกระดับความสามารถแล้วก็ตาม
ราชาเฮยอวี้แค่ระมัดระวังไว้ก่อน เขาไม่รู้ว่านอกจากตัวเขาเองแล้ว เย่ว์หยางยังเข้ามาในมิติเร้นลับแห่งนี้
เขาจากไปเป็นครั้งที่สอง ราชาเฮยอวี้สงบมากขึ้น เพราะเขาไม่พบศัตรู
เขาคิดว่าความไม่สบายใจของเขาเป็นแค่เพียงภาพลวงตา
“เฮ้อออ!” เย่ว์หยางผู้หลบหลีกด้วยทักษะลวงถึงกับปาดเหงื่อ เกือบไปแล้วเชียว
เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ราชาเฮยอวี้จะกลับมาอีก เย่ว์หยางไม่กล้าวิ่งทื่อเข้าไปตรวจสอบม่านพลังสีทอง แต่เขากลับเข้าไปพักในโลกภายในคัมภีร์แทน ความเคลื่อนไหวที่ระมัดระวังเช่นนี้ ช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง
ก่อนที่ราชาเฮยอวี้จะจากไป เขาได้ตั้งค่าอักษรรูนเตือนภัยไว้รอบๆ ทันทีที่เย่ว์หยางเข้ามาใกล้ ก็จะเริ่มทำงาน
เนื่องจากเย่ว์หยางกลับเข้าไปพัก อักษรรูนเหล่านี้มีเวลาจำกัดหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะไม่ส่งผลตามธรรมชาติ
พอเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเย่ว์หยาง เจ้าเมืองโล่วฮัวสงสัย “เจ้าพบสมบัติหรือ? ทำไมถึงดีใจนักเล่า?”
เย่ว์หยางไม่ตอบ แต่กระโดดเข้ามาอุ้มเจ้าเมืองโล่วฮัว “ยังเป็นความลับจ้า, ข้าจะเอามาให้ดูตอนที่ได้รับมาจริงๆ คิดถึงข้าไหม โล่วฮัวจ๋า?” มือของเขาเริ่มซุกซนทำให้เจ้าเมืองโล่วฮัวเข่าอ่อน นางกรอกตาไปมาล้อเขาเล่น “ทำอย่างนี้กับข้า ข้าจะเป็นลมอยู่แล้ว อู๋เหิน, มาช่วยข้าเร็ว” เย่ว์หยางหัวเราะลั่น “นางช่วยเจ้าไม่ได้หรอก เมียทั้งสองจ๋า! ช่วยปรนนิบัติผัวด้วยกันทั้งสองคนเลยนะ”
“ตายแล้ว, มีแต่เจ้าที่คิดเรื่องอย่างนี้ได้” เจ้าเมืองโล่วฮัวแทบจะเป็นลมเพราะเขา พอเห็นว่านางไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ นางใช้ฟันงับไหล่คนรักนาง “ใครเค้ากลัวเจ้ากันเล่า อย่านึกว่าจะรังแกข้าได้ง่ายๆ นะ”
จากนั้นศึกรักก็ตามมา
ไฟพิศวาสอบอวลอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
และเป็นไปตามคาด ศึกรักครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพันธมิตรสองนางจนต้องขอความเมตตาเห็นใจ
หลังจากได้พักผ่อนอย่างดี เย่ว์หยางก็พร้อมและมีพลังงานเต็มเปี่ยม
ต่างจากราชาเฮยอวี้ที่ใช้แรงถึกฟาดฟันใส่ม่านพลังสีทอง เขายืนอยู่ต่อหน้าและไตร่ตรองหาวิธีอื่น
มองไกลๆ ม่านพลังสีทองนี้เหมือนจะบางมาก อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบดูใกล้ๆ จึงรู้ว่าหนาถึงหนึ่งเมตร นอกจากนี้แม้แต่ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาก็ยังไม่อาจแทงทะลุได้
เขาจะทำอะไรอื่นได้?
ปราณกระบี่กับพลังเทเลพอร์ต? เย่ว์หยางยิงกระแสพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ และหลังจากเผาผลาญไปได้สามนิ้ว เขาก็หยุดทันที ในทันทีที่เทเลพอร์ต ม่านพลังสีทองเกิดการผันผวนเล็กน้อยส่งผลให้เย่ว์หยางกระเด็นออกไปร้อยเมตรกระแทกเข้ากับพื้น ดังนั้นเองเย่ว์หยางจึงทราบได้ในที่สุด ทำไมราชาเฮยอวี้จึงมักทุบตีม่านพลังด้วยจังหวะที่แปลก? เป็นไปได้ไหมว่าเขาแค่ลองกระแทกเพื่อเปิดม่านพลังที่หนาออก แต่ในขณะเดียวกันต้องชดเชยแรงสะท้อนจากม่านพลังด้วย
ทุกๆ การโจมตีจะมีอยู่สองขั้นตอน โจมตีแล้วจากนั้นจึงชดเชยเพื่อรักษาสมดุลของพลัง
มิฉะนั้น พลังสะท้อนจะรุนแรงมากจริงๆ
เย่ว์หยางเจ็บตัวจากพลังแฝงเร้น เขาไม่จำเป็นต้องใช้ลูกเล่นหรือลูกไม้เลยเพราะภายใต้พลังป้องกันเช่นนี้ ไม่มีช่องโหว่
“สาวกิเลน, ออกมาเร็ว, ข้ามีอะไรดีๆ จะให้เจ้าดู! ลูกพ่อ! บอกพี่ปิงหยินว่ามีคัมภีร์อัญเชิญระดับเทพอยู่ในวังนี้ ถ้านางช่วยให้ข้าได้รับคัมภีร์อัญเชิญนี้ ข้าจะตบรางวัลให้นางอย่างดี” ขณะที่เย่ว์หยางไม่สามารถเข้าไปได้ เขาไม่ได้วิตกเลย เพราะเขารู้จักคนที่สามารถทำได้ ผู้นั้นก็คือสาวกิเลนปิงหยิน ปัญหาก็คือว่าเด็กสาวนางนี้หลับลึกอยู่ในคัมภีร์เทพฤทธิ์ จะเรียกนางออกมาก็ต้องใช้ให้เสี่ยวเหวินหลีนำข่าวดีไปบอกกับสาวกิเลน
“อืน.. อืน!” เสี่ยวเหวินหลีว่าง่ายยิ่งนัก เปลี่ยนเป็นสายรุ้งแล้วหายกลับเข้าไป
ประมาณสิบวินาทีต่อมา ถึงมีปฏิกิริยา
เสียงร้องของหงส์เพลิงดังก้องอยู่ในท้องฟ้า สั่นสะท้านวิญญาณผู้คน
เขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัด
แม้จะใช้จักษุญาณทิพย์ก็มองไม่เห็น
ทันใดนั้น หงส์เพลิงสองพี่น้องบินผ่านทะลุม่านพลังสีทองเข้าไปได้ พวกเธอไวมากจนเย่ว์หยางเห็นแต่สายริบบิ้นทองด้านหลัง
ถ้าราชาเฮยอวี้เห็นภาพอย่างนี้ คงต้องน้ำตาตกแน่นอน
เขาหวดฟาดม่านพลังอยู่ครึ่งชั่วโมงด้วยอาวุธชั้นศักดิ์สิทธิ์จนหมดเรี่ยวแรง แต่ม่านพลังไม่ได้เสียหายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สองพี่น้องหงส์เพลิงใช้เวลาไม่ถึงเศษเสี้ยววินาทีก็ผ่านม่านพลังสีทองเข้าไปในวังที่สง่างามได้ ถ้าราชาเฮยอวี้มาเห็นฉากภาพเช่นนี้ คงเป็นเหตุให้เบื่อจะพิชิตทวีปมังกรทะยาน พิชิตหอทงเทียนก็เป็นได้ และคงจะหาเชือกไปผูกคอตายแทนเสียมากกว่า
ที่ติดตามมาก็คือสาวกิเลนผู้มีกลิ่นกายหอม
พอวิ่งออกมาได้ ใบหน้าน้อยๆ ที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นนอนของนาง ดูน่ารักไม่เบา
ตาของนางเป็นประกายทันทีเมื่อเห็นวัง นางไม่สนใจเย่ว์หยางและวิ่งโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุขเหมือนนางโจรสลัดเห็นสมบัติ
“ฮืม. การป้องกันที่นี่แข็งแกร่งมาก ไม่เป็นไร ข้ายังมีทักษะที่ไม่ซ้ำแบบใคร” เมื่อสาวกิเลนวิ่งไปที่กลางม่านพลังสีทอง ความเร็วของนางตกลงอย่างชัดเจน เหมือนกับว่ายากที่จะวิ่งต่อไปได้ เมื่อนางวิ่งกลับมาขณะที่พึมพำกับตัวเองและมือของนางอยู่ในท่าพิเศษ ร่างของนางสว่างเป็นพิเศษ อาบแสงเจ็ดสี เขาเล็กๆ น่ารักทั้งสองมีประกายไฟ
นางค้อมหัวและวิ่งไปที่ม่านพลังและใช้เขาขวิดใส่ม่านพลัง เข้าไปข้างในได้
เมื่อเย่ว์หยางเห็นภาพนี้แล้ว เย่ว์หยางเต็มไปด้วยความเสียใจ
เขาเสียใจที่แจ้งบอกพวกนาง พวกนางทุกตนเป็นโจรระดับสุดยอด ตอนนี้ที่เขายอมให้พวกนางเข้าไปปล้นวังแห่งนี้ เขาอาจไม่ได้มีส่วนร่วมกินน้ำแกงเลยก็ได้ (หมายความว่าได้ส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ)
สาวกิเลนหัวเราะร่าด้วยความยินดีวิ่งอยู่ภายในวัง
หลังจากนั้นชั่วขณะ นางก็กลับออกมาและปลอบโยนเย่ว์หยางที่กำลังหดหู่ “มีคัมภีร์อัญเชิญชั้นเทพอยู่ในนั้นจริงๆ แต่ถ้าเจ้าคิดจะรับเอามา ขอให้ลืมไปได้เลย เครื่องมือระดับเทพจะเลือกเจ้าของๆ มันเอง ถ้ามันไม่ยอมรับเจ้า ก็คงเปล่าประโยชน์ ต่อให้ข้าเอามาให้เจ้าก็ตาม ข้าพบของน่าทึ่งหลายอย่าง และข้าพนันได้เลยว่ามีสมบัติมากมายในพื้นที่จำกัดเหล่านี้ เมื่อข้าพบอะไรดีๆ ข้าจะให้เจ้าสักชิ้นหรือสองชิ้นนะ, โอ๋..อย่าร้องไห้นะ รอพี่อยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายนะ”
ใครเค้าปลอบโยนกันแบบนั้น?
นี่นางแล่เนื้อเขาและเอาเกลือทาชัดๆ
เมื่อเย่ว์หยางโวยวายใส่นางเตรียมจะหาเรื่องตีก้นนาง นางก็หัวเราะลั่นและวิ่งกลับเข้าไปข้างใน
“เจ้านึกหรือว่าข้าไม่สามารถเข้าไปข้างในโดยไม่มีเจ้า แม่สาวกิเลน?” เย่ว์หยางเอาสมบัติพิเศษของเขาออกมา หนูเบญจธาตุค้นสมบัติ
ขณะที่หนูตัวน้อยเหล่านี้ไม่สามารถใช้ต่อสู้ได้ พวกมันยังเด่นในเรื่องค้นหาสมบัติ
อย่างน้อย พวกมันไม่เคยทำให้เย่ว์หยางผิดหวัง
ทันทีที่เรียกออกมา หนูเบญจธาตุค้นสมบัติก็เริ่มสำรวจรอบๆ ม่านพลังทอง ขณะที่พวกมันไม่สามารถเข้าไปได้ พวกมันจะค้นหาประตูลับ ไม่ต้องใช้เวลา พวกมันหาประตูลับขนาดยักษ์ได้ พูดให้ถูกก็คือ นี่ไม่ใช่ประตู แต่เป็นรูปอักษรรูนที่อยู่บนม่านพลังสีทอง แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่หนูเบญจธาตุค้นสมบัติก็หาได้เจอ
เย่ว์หยางยื่นมือออกไปทำความรู้สึกถึงอักษรรูนอย่างระมัดระวัง
หลังจากอ่านและศึกษาอักษรรูนอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็เข้าใจคร่าวๆ นี่คือประตูลับที่นำเข้าไปข้างใน แต่จะเข้าไปข้างในได้จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน
ก็เป็นเหตุผลเดียวกับโลกคัมภีร์ ปัญหาก็คือถ้าเขาไม่มีอสูรคอยนำเขา ก็คงเปล่าประโยชน์ ต่อให้เขาพบทางเข้าประตูลับ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เขายังไม่ค้นพบวิธีเข้าประตูลับ
“เสี่ยวเหวินหลี ทำไมเจ้าไม่ลองดู ว่าเจ้าเข้าไปได้ไหม” ทันใดนั้นเย่ว์หยางตบหน้าผาก เขาช่างโง่เสียจริง เสี่ยวเหวินหลีเป็นเจ้าของคัมภีร์เพชรมาตั้งแต่เกิด อย่างน้อยเธอก็เป็นอสูรด้วย ขณะที่เธอไม่ทรงพลังเท่ากับอสูรอมตะอย่างสาวกิเลนและสองพี่น้องหงส์เพลิง เธอยังนับว่าแข็งแกร่งมาก น่าจะเข้าไปได้!
“อืน..อืน…” เสี่ยวเหวินหลีเป็นเด็กที่ว่าง่ายที่สุด เธอผงกศีรษะให้เย่ว์หยางอย่างน่ารักและเรียกคัมภีร์เพชรของเธอออกมา
เธอเดินตรงเข้าไปที่ประตูลับบนม่านพลังสีทองด้วยความพยายามอย่างมาก สีหน้าของเธอเคร่งขรึม
เมดูซาศิลา, เงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็ง สี่อสูรพิทักษ์ออกมาช่วยเสี่ยวเหวินหลีกันทุกตน ด้วยพลังของทุกตน พวกเขาชี้ไปที่จุดหนึ่งบนประตูลับ เพื่อช่วยให้เสี่ยวเหวินหลีเดินหน้าได้ ในที่สุด แม้แต่นางพญากระหายเลือดและโคเงาก็ออกมาช่วยถ่ายเทพลังช่วยเสี่ยวเหวินหลี
อย่างไรก็ตาม แม้ได้พลังของทั้งหมดช่วยกัน ก็เพียงแต่ช่วยให้เสี่ยวเหวินหลีเดินหน้าไปได้เพียงสองก้าว
เหลืออีกไม่ถึงครึ่งฟุต
เทียบกับม่านพลังสีทองที่หนาหนึ่งเมตร
เย่ว์หยางเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง และมีความคิดริเริ่มว่า ในสถานการณ์แบบนี้ แผ่พลังขนาดใหญ่ที่สุดของเขาออกมา ยกระดับพลังปราณของเขาจนถึงขีดสุดและยิงปราณกระบี่สุดยอดออกไป
กระบี่สร้างรูขนาดเกือบหนึ่งเมตรอยู่ต่อหน้าเสี่ยวเหวินหลี แม้ว่าเสี่ยวเหวินหลีก็สามารถแปลงร่างเป็นลำแสงและเข้าไปในรูเล็กๆ ได้
จากนั้นเรื่องที่น่ากลัวก็อุบัติขึ้น รูเล็กๆ ที่เขาสร้างบนม่านพลังสีทอง ขยับหนีห่างออกไปเป็นร้อยไมล์และเกิดเป็นพลังป้องกัน เสี่ยวเหวินหลีถูกกักไว้ข้างใน
“โอว, ไม่นะ พระเจ้า” เย่ว์หยางหวาดกลัวทันที เขาห่วงจริงๆ ว่าเสี่ยวเหวินหลีจะถูกบดทับจนตาย ต่อให้อสูรพิทักษ์จะไม่ตายจริงๆ ก็ตาม แต่เขาไม่ต้องการให้เสี่ยวเหวินหลีได้รับความเจ็บปวด เขาวิ่งเข้าไปต้านรับม่านพลังและใช้พลังทั้งหมดช่วยเหลือเธอ แต่ไร้ประโยชน์ เขาถูกม่านพลังสะท้อนใส่กระเด็นไปสิบเมตร
“เธอไม่เป็นไร เธอปลอดภัย อย่าห่วง” นางพญากระหายเลือดปลอบโยนขณะที่นางวิ่งมาช่วยเย่ว์หยางที่หัวใจแทบหยุดเต้นเพราะตกใจ
“หือ?” จากนั้นเย่ว์หยางถึงได้ตระหนักว่าทันทีที่ม่านพลังปิดลง เสี่ยวเหวินหลียังมีคัมภีร์อัญเชิญ
แม้ว่าม่านพลังจะบดใส่คัมภีร์อัญเชิญชั้นเพชร
มีพื้นที่ว่างรอบๆ ประมาณหนึ่งนิ้วเท่านั้น
พื้นที่รอบๆ เสี่ยวเหวินหลี ปกป้องเธอจากกดทับ
เย่ว์หยางไม่เคยเห็นม่านพลังที่เพี้ยนอย่างนั้นมาก่อน อย่าว่าแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับต่ำเลย ต่อให้นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสุดยอดอย่างมารสัมฤทธิ์ฟ้า, บารุธ, ซุ่นเทียนและองค์ชายเงาดำรวมพลังกันทุกคนแล้วบีบอัดกดพลังลงมา ม่านพลังปกป้องก็คงไม่ถูกบีบอัดจากพลังดังกล่าว
มันบีบอัดเหมือนลูกบอลเล็กๆ ที่ล้อมรอบตัวเสี่ยวเหวินหลีไว้
เสี่ยวเหวินหลีหมอบอยู่บนคัมภีร์อัญเชิญชั้นเพชร มือทั้งหกของเธอดันม่านพลังที่อยู่ห่างเพียงนิ้วเดียว
“ลูกพ่อ!, อย่ากลัว, อย่ากลัว ข้าจะไปช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!” เย่ว์หยางเตรียมยิงปราณกระบี่สุดยอดอีกครั้งเพื่อช่วยเสี่ยวเหวินหลี
ไม่ว่าจะเป็นสมบัติชนิดใดก็ตาม ต่อให้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หรือคัมภีร์เทพ ต่อให้เย่ว์หยางได้รับคัมภีร์เหล่านั้นเป็นพันเป็นหมื่น เย่ว์หยางจะไม่มีทางแลกเปลี่ยนกับชีวิตเสี่ยวเหวินหลีเด็ดขาด เธอเป็นสิ่งสำคัญที่เขารักที่สุด เมื่อเขาเห็นเสี่ยวเหวินหลียังคงฝืนยิ้มให้เขา หัวใจเขาแทบสลาย เขาไม่พอใจที่ตัวเองโลภเกินไป ถ้าเขาไม่โลภมาก เสี่ยวเหวินหลีจะไม่ติดอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
เขารู้ชัดว่าทำให้เธอต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหน
ถ้าเขาเลือกได้ เขาจะไม่ยอมทำอย่างนั้นเด็ดขาด
เมื่อเย่ว์หยางเตรียมพร้อมจะยิงปราณกระบี่สุดยอดอีกครั้ง ดวงตาเสี่ยวเหวินหลีพลันเบิกกว้าง
สายตาที่จ้องของเธอเปล่งประกายและยิงแสงออกมา ม่านพลังสีทองถูกตรึงไว้ทันทีหลังจากถูกปราณกระบี่ทะลวงใส่และทักษะแช่แข็งที่คาดไม่ถึงของเธอในเสี้ยววินาที
แม้ว่าว่าจะเป็นช่วงหนึ่งในร้อยวินาที นั่นก็เพียงพอ
เมื่อเย่ว์หยางสงบจิตใจได้และมองดูอีกครั้ง เขาก็ตระหนักได้ว่าเสี่ยวเหวินหลีเปลี่ยนเป็นแสงสายรุ้งและหลบหนีจากม่านพลังทองได้ ไม่ได้อยู่ข้างหน้าเขา แต่เธออยู่อีกฟากหนึ่งของม่านพลัง
เสี่ยวเหวินหลีโบกมือให้เย่ว์หยางอย่างตื่นเต้น เธอทำสำเร็จ
นัยน์ตาทั้งสองของเธอใช้งานหนักเกิน และหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดอยู่บนใบหน้าน้อยๆ ของเธอ
เห็นภาพเช่นนั้นทำให้เย่ว์หยางรู้สึกเจ็บปวดใจ
เขาต้องการจูบลูกน้อยของเขาและไม่จะยอมปล่อยให้เธอทำอย่างนั้นอีก
เมดูซาศิลา, เงือกวายุ, นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็งก็หมดแรง แต่ยังอุตส่าห์ชูมือฉลอง พอเห็นร่างของพวกนางค่อยๆ ปรากฏแสงเรืองเรื่อขึ้นทำให้พวกนางตะโกนอย่างตื่นเต้น เย่ว์หยางมองดูด้วยความดีใจ บนศีรษะของเสี่ยวเหวินหลีมีแสงหลากหลายสีกระพริบอยู่ เหมือนกับสายรุ้งเริงระบำ กระแสคลื่นแสงแผ่กระจายออกไป หลังจากนั้นลำแสงสีทองก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยเฉพาะและทะลุม่านพลังสีทองจางหายไปในท้องฟ้าเบื้องสูง
ในที่สุด หลังจากทะลุผ่านม่านพลังนี้ได้ เสี่ยวเหวินหลีผู้ไม่ได้ยกระดับมานานแล้ว…
ก็ยกระดับได้ในที่สุด
เย่ว์หยางปลาบปลื้มดีใจมาก
แน่นอนว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดจากความพยายาม ก็ต้องมีรางวัล
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คัมภีร์ชั้นศักดิ์สิทธิ์หรือได้สมบัติอะไร แต่ทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่า เพราะเสี่ยวเหวินหลีผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขายกระดับในที่สุด พึงทราบว่าเหตุการณ์เช่นนี้เย่ว์หยางรอให้เกิดขึ้นมานานแล้ว หลังจากศึกที่วังเทพจักรพรรดิอวี้กับสามผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซิวคง, จิ่วเซียว อสูรพิทักษ์ทั้งหมดต่างก็ได้ยกระดับ เสี่ยวเหวินหลียังเป็นอสูรชั้นเพชรระดับสี่ หลังผ่านการต่อสู้มาหลายครา และแม้แต่ศึกที่ยากลำบากกับจักรพรรดิชื่อตี้ผู้ทรงพลัง เสี่ยวเหวินหลีก็ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะยกระดับ
จนกระทั่งวันนี้
ในที่สุดเธอก็พัฒนา ในที่สุดเธอก็ยกระดับ
ไม่ต้องสู้อย่างดุเดือดเหมือนครั้งก่อนๆ แต่กลับเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่เธอปล่อยออกมาชั่วขณะที่ตัดสินความเป็นความตายและทะลุผ่านม่านพลังสีทองซึ่งเกินขีดจำกัดของเธอ
ในที่สุด ก็ยกระดับ
เธอสามารถทะลุผ่านม่านพลังสีทองไปได้ ที่แม้แต่ราชาเฮยอวี้ได้แต่มองอย่างช่วยไม่ได้
เย่ว์หยางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและสูดลมหายใจลึก ต้องทำอย่างนี้เท่านั้นเขาจึงจะข่มความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ในใจเขา
จะมีอะไรในโลกดีกว่าได้เห็นลูกรักได้ยกระดับและเติบโต?
*****************