ตอนที่ 459 ชายชราชุดปอ
เย่ว์หยางและเจี้ยงอิงมองหน้ากันเองแล้วพยักหน้า
นางพญาแมงมุมทั้งสองเพิ่มความระมัดระวังขณะที่พวกนางชักมีดออกมาจากเอวเตรียมพร้อมฆ่าได้ทุกเวลา ความจริงนี่เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณ ถ้าปัญญาของพวกนางสูงมากกว่านี้สักเล็กน้อย พวกนางจะเข้าใจว่า คนที่สามารถซ่อนอำพรางตัวจากการรับรู้ของเย่ว์หยางและเจี้ยงอิงได้ย่อมจะไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น พวกนางไม่สามารถรู้สึกถึงคนผู้นั้นได้
เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะ ต่างจากมารยาทในการเคาะของบริกรในโรงแรม
ยิ่งกว่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นบริกร เพราะคนผู้นั้นสามารถซ่อนอำพรางตัวจากการรับรู้ของเย่ว์หยางและเจี้ยงอิงได้
เย่ว์หยางเปิดประตู
เพียงสิบวินาทีผ่านไป เย่ว์หยางก็เตรียมแผนรับมือไว้เป็นสิบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเปิดประตูออก เขาพบว่าแผนต่างๆ ของเขานั้นใช้ไม่ได้เลย
“เป็นท่านเองหรือ?” เย่ว์หยางประหลาดใจมาก
คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเย่ว์หยางไม่ใช่คนที่เย่ว์หยางไม่รู้จัก ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้คือคนที่เย่ว์หยางรู้จัก แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมาหาถึงที่นี่
เขาคือคนที่เย่ว์หยางพบครั้งแรกเมื่อเข้าไปในสมาคมนักล่าค่าหัว ชายชราชุดปอนั่นเอง (โผล่มาตอนที่ 17 ตอนเดียวจริงๆ เมื่อเย่ว์หยางสมัครเป็นนักฆ่าครั้งแรก แล้วหายไปไม่มีบทบาทอยู่สี่ร้อยกว่าตอน)
ตอนนั้นชายชรากำลังงีบอยู่
เขาดูเหมือนคนแก่ชราที่ตัวผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถ้าเย่ว์หยางไม่มีจักษุญาณทิพย์ เขาคงไม่รู้ว่าเขาก็เป็นนักสู้คนหนึ่ง
และยังคงเป็นชายชราผู้ให้เย่ว์หยางไปทดสอบฝีมือตามแผนที่บุปผาโลหิต
คืนนี้ เขาได้พบชายชราอีกครั้ง
เย่ว์หยางใช้จักษุญาณทิพย์ตรวจสอบดูพบว่า พลังของชายชราลึกซึ้งและหยั่งไม่ถึง เย่ว์หยางไม่สามารถวัดพลังของเขาได้เลย ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ชายชราก็ให้ความรู้สึกต่อเย่ว์หยางเหมือนว่าเป็นมังกรหลับ ตอนนี้ ความรู้สึกนี้ชัดเจนขึ้น ในตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าชายชราผู้นี้ เป็นแค่นักสู้ระดับเจ็ด (ยอดมนุษย์) หรือระดับแปด (จักรพรรดิ) หลังจากนั้น แม้ว่าเย่ว์หยางจะพบนักสู้อื่นจากทวีปมังกรทะยานมากมาย แต่เขาไม่เคยพบความคงอยู่ของชายชราชุดปอเลย ก่อนนั้นเขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องแปลก แต่ว่าพวกฤาษีนักบวชในทวีปมังกรทะยานก็มีนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจมากนัก
จนกระทั่งวันนี้ เย่ว์หยางถึงพบว่าเขาเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
ชายชราผู้นี้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสุดยอดแน่นอน ความรู้สึกที่เย่ว์หยางมีต่อเขา คล้ายกับความลึกลับที่เขามีต่อจักรพรรดินีราตรี เย่ว์หยางประเมินว่า บางทีพวกเขาคงอยู่ในระดับเดียวกัน
สามารถกล่าวได้ว่า แม้ว่านางเซียนหงส์ฟ้าที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับอาวุโส ก็ยังไม่อาจเอาชนะชายชราผู้นี้ได้
“เด็กน้อย! เจ้าจะเอาแต่ยืนเฉยๆ ทำอะไร ทำไมไม่เชิญคนแก่ให้เข้าไปนั่ง?” ชายชราเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าขอทราบนามท่านผู้อาวุโสได้ไหม?” เย่ว์หยางถามด้วยความเคารพ
เมื่อเย่ว์หยางเรียกมนุษย์ปลาตีนว่า “ผู้อาวุโส” ก่อนนั้น หมายถึงว่าเขาเสียดสีกลายๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เมื่อเขาเรียกชายชราว่าผู้อาวุโส นั่นเป็นความรู้สึกจากใจของเขา เย่ว์หยางระลึกนึกถึงการพบกันครั้งแรกของพวกเขาและรู้สึกว่าชายชราผู้นี้รับมือไม่ง่าย เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่ได้ผ่านเห็นเหตุการณ์นั้นมา ยิ่งกว่านั้น เวลานั้น เมื่อเขายกระดับเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ลำแสงยกระดับยิงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และชาวเมืองไป๋ฉือทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มก๊วนขโมยก็น่าจะตื่นตัว
แต่ในที่สุด มันถูกปิดบังไว้
ไม่มีใครรู้อะไร
ไม่มีใครเห็นแสงกำเนิดนักสู้ปราณก่อกำเนิด ตอนนี้เขาจำได้แล้ว เย่ว์หยางตกใจ เป็นไปได้ว่าชายชราผู้นี้ลอบช่วยเหลือเขา?
เจี้ยงอิงยังคงไม่อาจหยั่งถึงพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ และรู้สึกแต่เพียงว่าคนผู้นี้ทรงพลังยิ่งนัก ยังทรงพลังมากกว่าปู่ของนาง นางรีบเชิญเขาให้เข้ามานั่งข้างในด้วยความเคารพ และรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง แม้ว่านางไม่สามารถแยกแยะวัตถุประสงค์เขาได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย ดังนั้นเจี้ยงอิงไม่กล้าล่วงเกินเขา ชายชรารับชามาอย่างใจกว้างและพูดว่า “เด็กน้อย, ภรรยาเจ้าไม่เลวเลย ผู้เยาว์ที่เกียรติผู้อาวุโสนับว่าหายากจริงๆ”
มังกรไร้เขาเจี้ยงอิงเขินอายเมื่อนางได้ยินเช่นนี้
นางมองดูเย่ว์หยาง ตอนแรกนางต้องการจะอธิบายว่านางไม่ได้เป็นภรรยาเขา แต่ในที่สุดนางก็ไม่ได้พูดออกมา
หลังจากนั้น นางมองดูเย่ว์หยางอีกครั้งและเห็นว่าเขาไม่ได้แก้ตัวอะไร ดังนั้นหน้าของนางจึงแดงกว่าเดิม
นางรินชาให้เย่ว์หยางด้วยนิ้วที่สั่นถ้วยหนึ่ง แต่ไม่ได้ส่งให้เขา นางกลับวางข้างหน้าเขาแทนแล้วรีบชักมือกลับ ดูเหมือนว่านางกลัวจะกระทบกับมือเย่ว์หยาง เย่ว์หยางหัวเราะและตบที่นั่งข้างตัวเขา “ที่รัก! มานั่งตรงนี้เถอะ”
เมื่อเจี้ยงอิงได้ยินเช่นนี้ นางปฏิเสธและถลึงตามองเขา
ความหมายของนางก็คือ เขาไม่ควรจะผลักโชคออกไป อย่างไรก็ตาม จริตเอียงอายของสตรีเช่นนี้ทำให้เย่ว์หยางมีความสุข
“ข้าคือ…” ชายชราวางถ้วยชาลงแล้วพูดโดยไม่ใส่ใจ “บางทีเจ้าเคยได้ยินชื่อข้ามาก่อนแล้ว เจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าน่ากลัวมากก็ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นแค่ชายแก่ธรรมดาที่แพร่ข่าวลือไปทั่ว และเกือบทั้งหมดเป็นเท็จ ข้าชื่ออันซี มีข่าวลือว่าอันซีฆ่าคนมาเป็นล้านศพ”
“อะไรนะ?” เย่ว์หยางพูดไม่ออก
“อา” มังกรไร้เขาเจี้ยงอิงยงตกตะลึงและร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยความกลัว เหมือนกับว่านางกลัวตาย
ชื่อนี้หมายถึงอะไร?
หมายถึงความตาย
ข่าวลือว่าอันซีคือนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสิบที่ฆ่านักรบทั้งทวีปด้วยตัวเอง จำนวนคนที่ถูกฆ่ามีเป็นล้าน การกระทำของเขากลายเป็นตำนานในหอทงเทียนและที่ผู้คนได้แต่ดูสถิติของเขาโดยมิอาจทำอะไรได้ ในหอทงเทียนชั้นที่หก เพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้จริงๆ ก็คือจื้อจุน เขาอยู่ในลำดับที่ห้าร่วมกับมารสัมฤทธิ์ฟ้า
ถ้าเป็นเพียงหอทงเทียนชั้นที่หก อันดับอยู่หน้าเขานอกจากจื้อจุนอันดับหนึ่ง ก็มีอันดับสองคือจักรพรรดิสมุทรก้วนหลาน, จักรพรรดิภูตผีไห่เป็นอันดับสาม และจ้าวปีศาจบารุธเป็นอันดับสี่
การจัดอันดับสำหรับหอทงเทียนชั้นเก้านั้นแตกต่างออกไป จื้อจุนและจักรพรรดิสมุทรยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าอันซี อย่างไรก็ตามไห่กับบารุธยังเป็นรองมารสัมฤทธิ์ฟ้า, อันซีและจักรพรรดินีราตรีผู้มีอันดับต่ำกว่าในชั้นที่หก อันซี, มารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดินีราตรีไม่ได้อยู่ในหอทงเทียนชั้นที่หกนาน ดังนั้นจึงมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าไห่และบารุธ ถ้าพลังของพวกเขาเทียบกัน, อันซี, มารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดินีราตรีจะเหนือกว่าไห่และบารุธ นี่คือความจริงโดยเฉพาะสำหรับจักรพรรดินีราตรี เป้าหมายของนางคือไปให้ถึงระดับของจื้อจุนและนางกำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิมังกร, จักรพรรดิฟ้า, จักรพรรดิสมุทรและจักรพรรดิใต้พิภพก็กำลังกดดันอย่างหนัก
ในแง่ของชื่อเสียง อันซีมีชื่อเสียงชั่วร้ายที่สุด และไม่มีใครเหนือกว่า
สถิติฆ่านักรบล้านคนอาจไม่มีใครทำลายได้ ต่อให้เป็นพวกพวกบ้าคลั่งเพิ่มขึ้นก็ตาม
มีข่าวลือเผยแพร่ไปในหอทงเทียนว่า ถ้าท่านสร้างความไม่พอใจให้สุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิด ท่านต้องตายแน่นอน ไม่สามารถแก้ไขกลับกลายได้ สุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้นี้ก็คืออันซี
เย่ว์หยางไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า ชายชราชุดปอจะคืออันซี
ชายชราผู้นี้เป็นคนเดียวกับคนที่สังหารผู้คนมาเป็นล้านหรือ?
น่ากลัวจริง!
“ข้าฆ่าคนมามากมายก็จริง แต่ข้าไม่ได้เป็นฆาตกรบ้าคลั่งอย่างในข่าวลือ ข้าแค่ต้องการล้างแค้น” เมื่อชายชราพูดเช่นนี้ เย่ว์หยางแทบเป็นลม
ฆ่าคนเป็นล้านเพื่อล้างแค้น? เขามีศัตรูอยู่เท่าใดกัน?
ชายชราไม่ได้ให้ความสนใจกับการแสดงออกที่เกินจริงของเย่ว์หยาง เขาพูดช้าๆ “ยังขาดอยู่คนเดียวก่อนที่ข้าจะล้างแค้นได้สำเร็จ”
ประกายความสว่างวูบผ่านในใจเย่ว์หยาง ใครกันสามารถบังคับให้ชายชราผู้นี้ต้องไล่ล่าล้างแค้นเป็นการส่วนตัว? เย่ว์หยางคิดและโพล่งออกมาทันทีที่นึกขึ้นได้ “จักรพรรดิสมุทร!”
ชายชราพยักหน้าพอใจและยกย่อง “ไม่เลว สมองของคนหนุ่มยังนับว่าดี แค่ใบ้คำเดียวก็ไขปริศนาได้แล้ว”
เมื่อเห็นเย่ว์หยางคาดเดาได้ เจี้ยงอิงถึงกับร่าเริงขึ้นมาบ้าง
แม้ว่านางจะไม่สามารถคาดเดาได้ออก เมื่อนางเห็นความฉลาดเป็นเลิศของเย่ว์หยาง นางอดรู้สึกดีใจแทนเขาไม่ได้
“ท่านมาที่นี่เพื่อชวนเราทำงานร่วมกับท่าน.. เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอข้าคาดเดาก่อน.. จักรพรรดิสมุทร มีข่าวว่ามีสมบัติบางอย่างเกิดขึ้นในเหวทะเลลึกของเกาะอัคคีเป็นท่านแพร่ข่าวออกไปใช่ไหม? อย่างนั้น ทำไมท่านถึงต้องการฆ่าจักรพรรดิสมุทรเล่า? ข้าเดาว่า.. เป็นเพราะ… เป็นเพราะอุทกแม่พระธรณีหมื่นปีใช่ไหม? ท่านเตรียมจะให้จักรพรรดิสมุทรรู้เรื่องข่าวนี้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสสังหารเขา” ยิ่งเย่ว์หยางคิดมากเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกว่าเข้าใกล้ความจริงมากเท่านั้น มิน่าเล่า ข่าวเรื่องสมบัติที่เกิดขึ้นในเกาะอัคคีถึงได้แพร่กระจายไป ดูเหมือนว่าตาเฒ่านี่พยายามหาเรื่องลำบากใจให้กับจักรพรรดิสมุทร
“ไม่เลวเลย, เจ้าหนู แม้ว่าเจ้าจะคาดเดาไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ใกล้เคียงมาก” สำหรับการอนุมานด้วยปัญญาของเย่ว์หยาง ชายชรายกย่องอย่างใจกว้าง
“โปรดดื่มชาก่อนเถอะ” เจี้ยงอิงแอบมองเย่ว์หยางและรู้สึกมีความสุขขณะที่รินชาให้ชายชรา
และจากนั้นนางยังคงรินชาให้เย่ว์หยางโดยไม่กลับไปนั่งที่เดิม
นางนั่งข้างๆ เย่ว์หยางโดยไม่รู้ตัว
การกระทำของนางทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยไม่ทันรู้ตัวนางคลายการสงวนเนื้อตัวและความระมัดระวังนั่งอยู่ข้างๆ เย่ว์หยาง นางฟังคำสนทนาระหว่างพวกเขาอย่างระมัดระวังและทุกครั้งที่ชายชราชมเย่ว์หยาง นางจะมีความสุขเหมือนกับว่านางเป็นฝ่ายถูกชมเสียเอง
ชายชราชำเลืองมองดูนาง เหมือนปู่มองดูหลานสาวที่น่ารักและว่าง่าย เต็มไปด้วยความเมตตา
เขารับแก้วชาและพูดพึมพำเบาๆ “ความจริง ข้าเป็นสหายกับปู่แม่หนูคนนี้และเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนนั้นจักรพรรดิสมุทรยังเป็นพวกเดียวกับเรา แต่ในที่สุด จักรพรรดิสมุทรทรยศเรา กลุ่มเราเกินกว่าพันคนถูกกำจัดเกือบหมด ตอนนั้นกลุ่มนักผจญภัยหมัดเหล็กเหนียวแน่นที่สุดในหอทงเทียนได้ล่มสลายลงภายในคืนเดียว ผู้บัญชาการและหัวหน้ากลุ่มตายในการต่อสู้ทั้งหมด มีเพียงกลุ่มที่เหลือก็คือปู่ของแม่หนูผู้นี้ ผู้เฒ่าไร้เขา, ข้า, จักรพรรดิสมุทรก้วนหลานและคนสุดท้ายก็คือสหายที่น่าเชื่อถือของก้วนหลานนามไท่หู ผู้เฒ่าไร้เขาได้รับบาดเจ็บหนักและตายไปในที่สุด ไท่หูได้รับบาดเจ็บหนักและกลับไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ข้าสันนิษฐานว่าจักรพรรดิสมุทรก้วนหลานก็คงเป็นคนฆ่าเขา ดังนั้นเป้าหมายของข้าจึงอยู่ที่จักรพรรดิสมุทรก้วนหลาน เมื่อข้าฆ่าเขาได้ ความฝันของข้าจะได้เติมเต็มเสียที”
เจี้ยงอิงตะลึง อันซีคือสหายของปู่นางหรือนี่?
นางไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงได้ยังไง?
ชายชรายิ้มเหมือนมองเห็นความคิดเจี้ยงอิง “ปู่ของเจ้าแก่กว่าข้ามาก เขาแก่คราวลุง ส่วนข้ายังเป็นเด็กคนหนึ่ง ในตอนนั้น ข้าไม่ได้เรียกว่าอันซี ชื่อเดิมข้าตอนนั้นเรียกว่าซ่าเสิน และปู่ของเจ้าก็เคยเรียกข้าว่า เจ้าขี้ขลาดซ่าเสิน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี้ยงอิงนึกออกทันทีว่าปู่ของนางพูดถึงชื่อหลายชื่อ ในบรรดาชื่อเหล่านั้น มีชื่อเจ้าขี้ขลาดซ่าเสินรวมอยู่ด้วย
ในปีสุดท้ายของปู่นาง เขาพูดถึงชื่อนี้หลายครั้ง
เป็นธรรมดาที่รวมถึงความทุกข์ระทมของการหักหลังและการทำลายล้างกลุ่ม นี่คือเรื่องที่เสียใจที่สุดของปู่นาง
เป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้เจี้ยงอิงรู้ข่าวอุทกแม่พระธรณีหมื่นปี มิฉะนั้น นางคงไม่ชักชวนเย่ว์หยางมาร่วมค้นหาสมบัติแน่นอน
“เราจะฆ่าจักรพรรดิสมุทรได้ยังไง?” เย่ว์หยางถามถึงวัตถุประสงค์ใหญ่
เย่ว์หยางยืนยันแล้วว่าชายชราไม่ได้มาที่นี่เพื่ออุทกแม่พระธรณีหมื่นปี ชายชราต้องการเพียงล้างแค้นและฆ่าจักรพรรดิสมุทร เนื่องจากเขาตั้งใจจะกำจัดจักรพรรดิสมุทร เย่ว์หยางไม่มีเหตุผลที่จะถอยไปยืนดู เขาต้องคิดแผนช่วยชายชราฆ่าจักรพรรดิสมุทร คำถามก็คือ พวกเขาต้องทำอย่างไร? พวกเขาจะฆ่าจักรพรรดิสมุทรก้วนหลาน หนึ่งในห้าจักรพรรดิได้อย่างไร?
***************