ตอนที่ 487 ห้องลงทัณฑ์บ่อเลือด
เมื่อหลิวเย่ฟื้นขึ้น นางพบว่าตนเองหลับอยู่บนหลังของเย่ว์หยาง
ที่ด้านข้าง เด็กสาวชาวเอลฟ์ทองเป่าเอ๋อกำลังร่าเริง เหมือนกับว่ากำลังเชียร์ใครสักคน หลิวเย่ค่อยๆ เงยหน้าของนางมองข้ามไหล่ของเย่ว์หยางแล้วก็ต้องตกใจ นางตระหนักว่า ข้างหน้ามีพื้นที่กว้างใหญ่ และเจ้าอ้วนไห่, เย่คง, เสวี่ยทันหลางและคนอื่นๆ กำลังต่อสู้ การต่อสู้รุนแรงขึ้น สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนโถมเข้ามาเหมือนกระแสน้ำ พวกมันโผล่ออกมาจากบ่อเลือด
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวเย่ประหลาดใจ
“โอว, เจ้าฟื้นแล้ว ข้าพบห้องลงทัณฑ์บ่อเลือดที่นี่ ข้าเก่งไหมเล่า?” เป่าเอ๋อเริ่มอวดผลงานด้วยความยินดี
จากคำอธิบายที่ข้ามไปมาและคลุมเครือของเป่าเอ๋อ ไม่ได้ทำให้หลิวเย่รู้อะไรเลย ด้วยการพูดเสริมเป็นครั้งคราวของเย่ว์หยาง ในที่สุดหลิวเย่ก็เข้าใจ กลับกลายเป็นเหมือนกับนางเอง เป่าเอ๋อก็ร่วมการฝึกพิเศษด้วย
อย่างไรก็ตาม การฝึกของนางง่ายกว่าเป็นสิบเท่า งานที่เย่ว์หยางมอบหมายให้นางก็คือ นอนอย่างว่าง่าย
เป่าเอ๋อไม่ต้องทำอะไร นางแค่ต้องหลับและปล่อยให้เย่ว์หยางปรับสภาพร่างกายนาง
เมื่อนางตื่นขึ้น นางก็ตระหนักว่าความสามารถนางเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ นางจึงไม่อาจโอ้อวดใครได้
หลิวเย่สลบอยู่ ดังนั้นเป่าเอ๋อจึงไม่มีอะไรทำ เนื่องจากนางเบื่อ นางจึงได้แต่เตร็ดเตร่ไปรอบๆ และรอเสวี่ยทันหลางและพวกที่เหลือมาถึง ในตอนนี้ นางค้นพบประตูลับโดยบังเอิญ หลังจากที่เย่ว์หยางประเมินดู กลับกลายเป็นว่าประตูลับโบราณนี้สามารถเปิดได้ อย่างไรก็ตาม คนธรรมดาไม่อาจเปิดมันได้ จะต้องเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างน้อยระดับห้า ต่อให้เย่ว์หยางเป็นคนเปิด เป่าเอ๋อก็ยังถือว่าส่วนใหญ่เป็นความดีความชอบของนาง… นี่คือเบื้องหลังที่เย่ว์หยางและเป่าเอ๋อค้นพบห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตนี้
นี่คือทางเข้าห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิต นอกจากเย่ว์หยางแล้ว ยังมีสถูปโบราณแปลกประหลาดอยู่ด้วย
มีคำที่เขียนไว้ด้วยภาษารูนสวรรค์
ถ้าแปลให้เป็นภาษาที่ทันสมัย ก็แปลว่า… ยักษ์อูซู เทพเจ้าที่ไม่ควรแก่การเคารพ เขาทำผิดร้ายแรง และต้องอาญาที่รุนแรงที่สุดในโลก ความตายไม่เพียงพอสำหรับการชดใช้ของเขา เพราะเหตุนั้นห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตนี้จึงจัดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากทัณฑ์ทรมานทุกรูปแบบที่นี่ และการปลดปล่อยจากการทัณฑ์ทรมานในแสนปีนี้ ก็คือยอมรับความตายอย่างเป็นทางการของเขาเท่านั้น….
ขณะที่เย่ว์หยางไม่รู้จักการผสมคำในภาษารูนสวรรค์ เขาได้แต่นึกถึงความหมายคร่าวๆ
คำในนั้นบอกว่ามียักษ์ตนหนึ่งชื่ออูซูถูกคุมขังอยู่ในห้องลงทัณฑ์บ่อเลือดแห่งนี้มาเป็นเวลาแสนปีแล้ว แต่หลังจากทัณฑ์ทรมานแสนปี เขาจะต้องถูกประหารชีวิต
ถ้านี่เป็นนักสู้อื่น เขาอาจต้องการลองช่วยยักษ์อูซูก็ได้ อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว เขาต้องการพบอูซู แต่ไม่ใช่เพื่อช่วยเขา เย่ว์หยางต้องการฆ่าเขา ทั้งนี้เพราะ เย่ว์หยางรู้สึกว่าต้องมีสมบัติบางอย่างที่คอยกักขังอูซูมาได้นานถึงแสนปี เย่ว์หยางไม่สนใจ ไม่ว่าอูซูต้องทัณฑ์ทรมานมาเป็นแสนปี เขาชอบสมบัติที่กักกันเจ้ายักษ์นี่ไว้เท่านั้น! ถ้าไม่มีสมบัติ เขาจะฆ่าเจ้ายักษ์นี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่าดาบจันทร์เสี้ยวของเขายังขาดวิญญาณที่ร้ายกาจ ถ้ามันได้กลืนกินวูซู บางทีดาบจันทร์เสี้ยวอาจจะได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นสมบัติชั้นศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธชั้นศักดิ์สิทธิ์ กริชสังหารเทพก็เป็นของชั้นศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นสมบัติระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ดาบจันทร์เสี้ยวยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ตั้งแต่เย่ว์หยางสร้างมันขึ้นมาด้วยเลือดและหยาดเหงื่อตนเอง
มันต่างกับการเลื่อนชั้นดาบวิเศษฮุยจินชั้นแพลตตินัม แต่ยังคงมีความเป็นไปได้สำหรับดาบจันทร์เสี้ยวอยู่ ตราบใดที่ยังมีวิญญาณของนักรบที่แข็งแกร่งร้ายกาจอีกดวงหนึ่ง ผสานเข้ากับผลึกเวทของมังกรปีศาจจากมังกรกระดูกและแก่นเวทเพลิงของจ้าวอัคคี และแม้แต่เพิ่มมุกปีศาจจากอสุรกายดำและมุกวิญญาณเงินจากปีศาจชั้นทอง ดาบจันทร์เสี้ยวก็อาจยกระดับได้
ด้วยของเหล่านี้ ย่อมเป็นไปได้ที่จะใช้ยกระดับดาบจันทร์เสี้ยวขึ้นเป็นสมบัติชั้นศักดิ์สิทธิ์
ใครจะรู้ มันอาจกลายเป็นสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ชั้นสุดยอดก็ได้
หรือบางทีอาจยกระดับขึ้นเป็นสมบัติชั้นเทพ?
เย่ว์หยางตัดสินใจไม่คิดเรื่องนั้นในตอนนี้ก่อน จะยกระดับอาวุธเป็นสมบัติชั้นเทพ เจ้าของจะต้องมีความสามารถทัดเทียมกัน ยิ่งกว่านั้นมิใช่ว่าเย่ว์หยางจะขาดแคลนอาวุธระดับเทพแต่อย่างใด เนื่องจากเขายังมีผนึกเทพจักรพรรดิอวี้อยู่ มันแค่ยังไม่ยอมรับเขาเป็นเจ้านาย ดังนั้นเย่ว์หยางคงได้แต่เอาไว้ใช้ทุบเม็ดเกาลัดกินเท่านั้น
“พยายามให้เต็มที่เลยนะ และระวังตัวด้วย งูยักษ์โลหิตออกมากันแล้ว” เป่าเอ๋อเชียร์เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นอย่างตื่นเต้น
“บรรพบุรุษน้อยของข้า เป็นเรื่องดีแล้วที่เจ้าไม่ช่วยอะไร แต่โปรดหยุดพูดเถอะ ได้ยินเจ้าพูดทีไรหัวใจข้าเต้นตุ้บตั้บทุกที” เจ้าอ้วนไห่ขอร้องให้เป่าเอ๋อช่วยหยุดตะโกน เสียงตะโกนของนางทุกครั้งจะต้องมีสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังโผล่ออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย แน่นอน เขารู้ว่าเป่าเอ๋อไม่ได้โทษว่าอะไร แต่สถานที่ผิดธรรมดาอย่างห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิต ต่อให้ฆ่าสัตว์ประหลาดโบราณไปเป็นพัน ก็ยังมีโผล่ออกมาจากบ่อได้อย่างไม่มีการจำกัดจำนวน
“เกะกะเหลือเกิน พวกเจ้าทุกคนหลบไปให้พ้นทางซะ…” เสวี่ยทันหลางหงุดหงิดขณะต่อสู้ เขาระเบิดพลังปราณที่น่ากลัวและผสานพลังเข้ากับยักษ์พายุของเขา
ทางเข้าห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตกลายเป็นโลกเยือกแข็งและหิมะในทันใด
เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ยักษ์พายุหิมะน้ำแข็ง อสูรพิทักษ์ของเสวี่ยทันหลางทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง แม้กระทั่งงูยักษ์โลหิตอสูรทองระดับหกก็ยังกลิ้งลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและแข็งตัว
ด้วยความเข้าใจกันโดยปริยาย องค์ชายเทียนหลัวเรียกอสูรพิทักษ์ของเขา ดาวตกเพลิง พร้อมกับเรียกหลังคารูปโดมให้ยุบถล่มลงมา
ภายใต้การโจมตีคู่จากพลังเยือกแข็งและดาวตกเพลิง แม้แต่งูยักษ์โลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่อาจทนต่อการโจมตีของไฟและน้ำแข็งได้ งูยักษ์โลหิตจึงกลายเป็นศพ บางส่วนแตกหักเป็นน้ำแข็งและบางส่วนก็ไหม้เกรียม ทั้งหมดตายคาที่อย่างสยดสยอง ตลอดช่วงเวลาที่ต่อสู้กัน เย่ว์หยางไม่ได้ทำอะไร เขาเพียงแต่ดูเย่คงและคนอื่นๆ สู้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น จากนี้ไปจะมีการต่อสู้ที่โหดหินรอพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตามการต่อสู้ในครั้งนี้ถือเป็นตัวเร่งที่ดีในการฝึกฝน แม้ว่าจะยากลำบากก็ตาม แต่ตราบเท่าที่เย่คง, เจ้าอ้วนไห่, เสวี่ยทันหลางและพวกที่เหลือฟันฝ่าต่อสู้ การเพิ่มระดับฝีมือก็จะไม่เป็นปัญหา
หนึ่งชั่วโมงห้านาทีต่อมา พวกเขาก็ผ่านเข้าห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตได้
สามชั่วโมงต่อมา เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ใช้วิชาพยุหะเสาโทเท่มศึกและผ่านห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตชั้นแรกไปได้
ห้าชั่วโมงต่อมา พี่น้องตระกูลหลี่หมดสติจากอาการบาดเจ็บหนัก, ทอเรนเลโอและผู้เฒ่าหนิงไห่หมดแรงทรุดลงกับพื้น พวกเขาผ่านชั้นที่สองไปได้
เก้าชั่วโมงยี่สิบสามนาทีต่อมา เจ้าอ้วนไห่กลายร่างเป็นปีศาจเบเฮม็อธหลังจากใช้พลังงานจนไม่เหลือ สี่สาวคิวบัวร์และฟ่านหลุนเถี่ยทรุดตัวกับพื้น ลีนบาดเจ็บหนัก พวกเขาผ่านประตูชั้นสามไปได้
สิบแปดชั่วโมง สี่สิบสองนาทีและเก้าวินาทีต่อมา เย่คง, เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แอนนาและหลิวเย่หมดสติ เจ้าอ้วนไห่หมดแรงทันทีหลังจากคืนร่าง ทอเรนเลโอเขาหัก, พี่น้องตระกูลหลี่อาการหนักเจียนตาย นอกจากเย่ว์หยางแล้ว มีแต่เป่าเอ๋อที่ยังเหลือพลัง ทั้งสองผ่านเข้าชั้นที่สี่ได้
ในชั้นที่ห้า…
เมื่อทุกคนมาถึงชั้นที่ห้า ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตจริงๆ เสียที
ที่นี่ อสูรที่อ่อนแอที่สุดก็คืองูยักษ์ อสูรทองระดับหกซึ่งถือว่าแข็งแกร่งที่สุดตอนอยู่ข้างนอก ในกลุ่มของพวกเขาตอนนี้เหลือแต่เย่ว์หยางคนเดียวเท่านั้นที่สู้ได้
ฮุยไท่หลางเรียกคัมภีร์อัญเชิญของมันออกมากางม่านพลังคุ้มกันทุกคนไว้
เย่ว์หยางเดินไปข้างหน้า แผ่กลิ่นอายที่คล้ายกับจ้าวปีศาจของเขาออกไป อสูรทั้งหมดหลบลี้หนีหายทันที
ห่างออกไปสองกิโลเมตร มีผนังที่สูงเกือบพันเมตร โซ่สีทองหมองขนาดมหึมาใช้ล่ามคนผู้หนึ่งอยู่
ผู้นี้เป็นยักษ์มีขนาดที่คาดไม่ถึงเลย
เย่ว์หยางไม่เคยเห็นยักษ์มหึมาขนาดนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่ปีศาจจากแดนอเวจี ดูเหมือนกับไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับยักษ์นี้ ยักษ์ตัวนี้สูงสองร้อยหรือสามร้อยเมตร หรือมากกว่านั้น แม้ว่าร่างกายท่อนล่างของเขาจะหายไปสิ้นเชิง แต่ร่างกายท่อนบนก็ยังมีขนาดสูงมากกว่าร้อยเมตร จากการประเมินสัดส่วนขนาดเต็ม นี่น่าจะเป็นยักษ์ที่สูงราวๆ สามร้อยเมตร
นี่ต้องเป็นยักษ์ไตตันตามที่ร่ำลืออย่างมิต้องสงสัย
เมื่อเทียบกับยักษ์ตัวนี้แล้ว จ้าวอัคนีที่สูงห้าสิบเมตร หรือมังกรดำที่ตัวยาวหกสิบเมตรกลายเป็นของเล่นขนาดจิ๋วที่น่าตลก
เย่ว์หยางไม่เคยคาดมาก่อนว่าจะได้พบกับยักษ์ไตตัน เขาไม่เคยคิดว่าว่าตัวเขาเอง ไตตันน้อยตัวปลอม จะมีวันได้พบกับยักษ์ไตตันตัวจริง
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงยักษ์ไตตัน เขาคือภาพจริงๆ ที่เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตา กล้ามเนื้อทั้งหมดของเขาแน่นราวกับรูปสลัก ผิวของเขาดำเหมือนเหล็กกล้า
เจ้าอ้วนไห่ถึงกับไอเป็นเลือด แทบสลบอีกเมื่อเขาได้เห็นยักษ์นี้
แม้แต่เสวี่ยทันหลางที่กล้าหาญที่สุดยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ไม่ใช่แต่พวกเขาเท่านั้น แม้เย่ว์หยางก็ยังรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดแรง… ใครจะรู้กันว่ายักษ์ไตตันนี้ถูกขังมานานเพียงไหนแล้ว เขาถูกลงทัณฑ์ทรมานในห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตมานานเพียงไหนแล้ว ตอนนี้เขามีความสามารถเพียงปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับหนึ่ง นั่นอาจกล่าวได้ว่า ยักษ์ไตตันที่ถูกจองจำอยู่ที่นี่แข็งแกร่งพอๆ กับราชาเฮยอวี้ แตกต่างกันเพียงยักษ์ไตตันนี้ไม่มีสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์คอยป้องกันตัวเองและยังถูกโซ่สีทองหม่นยาวล่ามไว้ด้วย
ตาของเย่ว์หยางเป็นประกายเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
เขาต้องการฆ่ายักษ์นี่เพื่อรับพลังของเขามาเสริมพลังดาบจันทร์เสี้ยวของเขา จะเป็นเรื่องความยุติธรรมหรือเคราะห์กรรมก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว
บางทีการพบกันครั้งนี้ คงเป็นชะตากรรม
ถ้าไม่อย่างนั้น เขาจะบังเอิญหาห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตพบได้ยังไง?
“เป็นบุรุษหนุ่มที่น่าสนใจมากเสียจริง หลังจากผ่านไปนานหลายพันปี เดี๋ยวนี้มนุษย์แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แค่วัยเพียงยี่สิบปี ยังเหมือนเด็กอยู่เลย แต่กลับมีพลังมากมายขนาดนั้น ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง นึกถึงตอนนั้นสมควรแล้วที่ข้าได้สังหารมนุษย์ไปมากมาย ข้าสมเพชเจ้าพวกแก่โง่เขลาที่คิดถึงตัวเองมากเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่า ข้า อูซูยังขอยืนยันว่าพวกมนุษย์เป็นศัตรูของยักษ์ไตตัน แต่ไม่มีใครอื่นเห็นด้วย เจ้าต้องการฆ่าข้าใช่ไหม? เจ้าหนูตัวน้อย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้หรอกว่าไตตันทั้งหมดเป็นอมตะ” เมื่อยักษ์เปิดปากพูด เสียงของเขาดังกว่าฟ้าคำราม เสียงของเขาสั่นสะเทือนไปทั้งห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิต
“ถ้าไม่มีโซ่เทพเจ้าล่ามท่านไว้ ข้าคงฆ่าท่านไม่ได้จริงๆ แต่ตอนนี้ ท่านเป็นแค่สุนัขแก่ที่น่าสมเพช” เย่ว์หยางพยายามเยาะเย้ยศัตรูเพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตนเอง
“ว่าไงนะ? เจ้าต้องการให้ข้าขำจนตายหรือ? อูซูไม่มีใครเอาชนะได้ เพราะอูซูคือยักษ์ไตตัน ด้วยร่างอมตะของไตตันแม้แต่เทพเจ้าก็ยังฆ่าข้าไม่ได้ เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?” ยักษ์ที่เรียกตัวเองว่าอูซูพยายามดิ้นรนดึงโซ่ทองเหล่านั้น ทำให้พื้นดินในห้องลงทัณฑ์บ่อโลหิตสั่นสะเทือนทันที
**************