ตอนที่ 495 เพกาซัสเขาเงินกับผีเสื้อมอมประสาท
“ท่านป้าบอกข้าว่า วิธีดีที่สุดในการฝึกจิตก็คือรักษาสภาพจิตวิญญาณหลักไว้ให้ดี ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายและขยายขีดจำกัดจิตของเจ้าออกไป อย่างไรก็ตาม ข้าไม่สามารถสงบจิตตนเองได้และในที่สุด… ในที่สุด ข้าก็คิดถึงวิธีนี้” อี้หนานหน้าแดงทุกครั้งที่นางรู้สึกเขินอาย นางก้มหน้าไม่กล้ามองเย่ว์หยาง หลังจากนั้นชั่วขณะที่นางแอบมองเขา นางก็พูดมาเสียงดังราวกับยุง “ครั้งหนึ่ง บังเอิญข้าพบว่ากำลังคิดเรื่องของเจ้า การคิดถึงเจ้าเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้จิตวิญญาณข้ามั่นคงได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสภาพจิตวิญญาณที่พร้อมก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ความคิดเตลิด ในที่สุดด้วยการสนับสนุนจากอสูรพิทักษ์ของข้า แฟรี่น้อยและภูตกระจก ข้าก็สามารถเข้าถึงเขตแดนระดับใหม่ที่ยอดเยี่ยม ท่านป้าบอกข้าว่านี่เรียกว่าเขตแดนวิญญาณ”
เย่ว์หยางพึมกับตนเอง
เขารู้ว่าอี้หนานประสบผลสำเร็จทางจิตได้มาก อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถเข้าใจเขตแดนวิญญาณที่อี้หนานพูดถึง
อี้หนานคิดว่าเขาไม่เชื่อจึงเรียกคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองของนางออกมา
ประกายแสงสว่างเจิดจ้า
ม่านพลังขยายออกอย่างรวดเร็ว เทียบกับในอดีต เย่ว์หยางรู้สึกว่าม่านพลังนี้ใหญ่กว่าและมีพลังป้องกันทางจิตอย่างเลือนลาง
เมื่อมองดูคัมภีร์อัญเชิญของอี้หนาน ก็ทราบว่าความจริงนางยังเป็นนักสู้ระดับเจ็ด ยังไม่ได้เป็นนักสู้ระดับแปดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางรู้สึกว่าพลังจิตของอี้หนานอยู่เหนือกว่านักสู้ส่วนใหญ่ แต่พลังรบของนางยังอ่อนอยู่ ถ้ามีเงื่อนไขถูกตั้งไว้ก่อนต่อสู้ เช่นไม่สามารถต่อสู้ระยะประชิดหรือใช้ม่านพลังปกป้อง อย่างนั้นอี้หนานอาจสามารถเล่นงานนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสองได้ถึงตายได้ด้วยพลังจิตของนาง
ระหว่างการต่อสู้ในวังเทพของจักรพรรดิอวี้ เขามองเห็นศักยภาพของอี้หนานแล้ว
นางสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ปรากฏรูปลักษณ์ได้
การผสานพลังของนางกับภูตกระจกของนางทำให้สมบูรณ์แบบ
ภูตแฟรี่น้อย – อสูรสายธาตุจำเพาะ อสูรพิทักษ์ ชั้นเงินระดับสาม, ลักษณะกายภาพ..มีร่างหยาบ, ฉลาด, ทักษะพิเศษ – ช่วยเหลือ, ความกระจ่าง, โซ่วิญญาณ”
ภูตกระจก – อสูรชนิดพิเศษ อสูรทองระดับห้า, ลักษณะกายภาพ..ร่างวิญญาณ, ลวงตา ไม่ใช่จิตวิญญาณที่ทรงภูมิความรู้ ทักษะพิเศษ “ร่างแปลงวิญญาณ”, “พลังดูดซับวิญญาณ”, “ภูตกระจกผสาน”
นอกจากอสูรที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดทั้งสองนี้แล้ว อี้หนานยังมีผีเสื้อลวงประสาทและเพกาซัสเงิน สำหรับแมงมุมแม่มดที่ขลาดกลัว มันถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลานานแล้ว จนอี้หนานและเย่ว์หยางเกือบลืมมันไปแล้ว
เย่ว์หยางไม่เคยดูแลอี้หนานอย่างเต็มที่มาก่อน เพราะนางไม่ได้เป็นส่วนกำลังหลักในการต่อสู้ของเขา
เกี่ยวกับพลังโจมตีหรือพลังสังหาร อี้หนานยังไม่อาจเทียบเย่ว์ปิงได้
ถ้าเป็นในอดีต เย่ว์หยางยังคงไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับยกระดับให้อี้หนาน เนื่องจากพลังจิตไม่ใช่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเย่ว์หยาง อย่างไรก็ตาม หลังจากฝึกผสานร่างกับนางเซียนหงส์ฟ้า พลังจิตจากทักษะแฝงเร้นเสน่ห์ของนาง และทักษะธรรมชาติของนางพญาซัคคิวบัสในการกระตุ้นผู้คนทำให้พลังจิตของเย่ว์หยางรวมตัว เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อลักษณะพลังจิตของเย่ว์หยาง
เมื่อเย่ว์หยางช่วยให้นางเซียนหงส์ฟ้าเข้าถึงระดับนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้า เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง เมื่อมองดูอี้หนานอีกครั้ง เขาพบว่าศักยภาพพลังจิตของอี้หนานคือขุมสมบัติชนิดหนึ่ง
จึงไม่น่าสงสัยที่เทพธิดาผู้ปราณีแห่งวิหารเทพสตรีจะเลือกมอบภูตกระจกให้อี้หนานแทนที่จะเป็นเสวี่ยอู๋เสียหรือเย่ว์ปิง
“ในอดีต ข้าไม่เข้าใจว่าจะทำยังไง แต่ตอนนี้ ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าสามารถทำให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าโล่วฮัว!” เย่ว์หยางรู้สึกผิดอย่างช่วยไม่ได้ ความพยายามที่เขาทุ่มเทให้อี้หนาน อย่างน้อยนางไม่เคยบ่น เขายื่นมือแล้วกอดอี้หนานเบาๆ จากนั้นจูบหน้าผากนางอย่างเป็นธรรมชาติ
“ข้า…” อี้หนานสั่นเล็กน้อย นางยกมือน้อยๆ ขึ้นมากัน นางจำได้ว่าคิดถึงอ้อมกอดคนรักของนางอยู่หลายครา
เย่ว์หยางไม่ได้ใจร้อนเร่งให้อี้หนานยกระดับ
ทั้งนี้เป็นเพราะเขารู้ว่าศักยภาพของนางไม่มีขีดจำกัด นางคือขุมสมบัติที่ไม่ควรทำอะไรอย่างผลีผลาม เขาต้องใช้วิธีที่ดีที่สุดเปิดศักยภาพของนาง
นอกจากคิดเองแล้ว เขายังต้องปรึกษากับนางเซียนหงส์ฟ้าและจักรพรรดินีราตรี เผื่อว่าพวกนางจะมีเงื่อนไขที่ดีกว่า ปกติแล้วพวกนางก็ไม่ขัดขวางเย่ว์หยางและอี้หนานในปฏิบัติการฝึกผสานร่างคู่รักอยู่แล้ว
พวกเขาฝึกผสานร่างมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้พวกเขาจะเริ่มต้นภายในอ้อมกอดของความรัก และเมื่อเงื่อนไขถูกต้องก็จะทำให้สำเร็จได้
เย่ว์หยางก้มศีรษะลง ขณะที่อี้หนานพยายามข่มหัวใจที่กำลังเต้นเร็ว
อี้หนานเงยหน้าที่แดงซ่านเล็กน้อย นางหลับตาแน่นและลมหายใจกระชั้น ริมฝีปากสีแดงเข้มขบกันเล็กน้อย นางเขย่งปลายเท้าพร้อมประกบริมฝีปากที่ร้อนแรงของคนรักนาง เกือบขณะเดียวกัน วงแขนที่ขาวของอี้หนานโอบรอบคอเย่ว์หยางและกอดเขาไว้แน่น หัวใจนางเต้นแรงอย่างมีความสุข ทั้งรัก กระวนกระวายและเขินอาย นางรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาเหมือนมีพลังคล้ายไฟฟ้า นางรู้สึกว่ากระแสไฟฟ้ากระจายไปทั่วร่างนางและโคจรไปทั่วภายใต้จุมพิตที่ดูดดื่ม…
หลังจากไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด อี้หนานเริ่มรู้สึกเจ็บเล็กน้อยและริมฝีปากนางบวมเล็กน้อย ค่อยคลายการกอดจากเย่ว์หยาง
นางรู้สึกว่าใบหน้านางร้อนผ่าวและทั่วทั้งร่างพลังถูกเผาผลาญจนแทบไม่เหลือแม้แต่นิด
อย่างไรก็ตาม นางชอบความรู้สึกที่ได้อิงอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างผ่อนคลาย นางชอบความรู้สึกที่ปลอดภัย รู้สึกเป็นสุขที่เขาให้ความรู้สึกเช่นนี้กับนาง ในอ้อมอกของเขา นางไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอะไร เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ความลับพันปี? ทุกอย่างรู้สึกว่าห่างไกลจากนางทุกที
“เหนื่อยหรือเปล่า?” เย่ว์หยางประคองอี้หนานเบาๆ ร่างของสาวน้อยเบาเหมือนขนนกเหมือนกับว่าไม่มีน้ำหนัก
“…..” อี้หนานสั่นศีรษะเบาๆ
สำหรับการกระทำของเย่ว์หยางที่อุ้มนางขึ้นเตียง นางไม่มีความคิดจะต่อต้านแม้แต่น้อย
นางเพียงรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
แค่เพียงอีกก้าวเดียว เขาอาจจะได้ครอบครองนางทั้งหมด
นางคงจะต้านไม่ได้ถ้าเวลานั้นมาถึง … นางไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน นางเพียงแต่รู้แค่เรื่องการโอบกอดที่แสนละมุนละไมในโลกที่มีอยู่กันเพียงสองคน นางมีความสุขกับการกระทำที่อบอุ่นอ่อนหวานเช่นนี้ ตราบใดที่นางมีเขา นางจะไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป จะไม่ใช่เป็นแค่ศิษย์ผู้คับแค้นเสียใจแห่งหุบเขาภมรบุปผาอีกต่อไป นางคือคู่หมั้นของเขา อี้หนาน…
จุมพิตมากเพียงไหนก็ไม่พอ
ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันที่สอง เมื่ออี้หนานยืนเปล่งปลั่งอยู่ต่อหน้าทุกคน ทุกคนพบว่าอี้หนานผู้ดื่มด่ำกับความรักเปล่งปลั่งสดในงดงามอย่างน่าทึ่ง เหมือนกลายเป็นคนละคน เพราะเย่ว์หยางเอาใจใส่อี้หนานตลอดทั้งคืน นางจึงไม่รบเร้าเย่ว์หยางตอนกลางวันอีกต่อไป และคิดจะฝึกฝนทักษะสู้กับเย่ว์ปิง
หลังจากนั้นแล้ว นางก็มาช่วยแม่สี่ทำอาหาร
ตลอดทั้งวัน อี้หนานกระตือรือร้นได้ไม่เบื่อ
เจ้าเมืองโล่วฮัวสังเกตเป็นเวลานาน นางพบว่าอี้หนานไม่ได้เสียตัวแต่ก็อดถามเย่ว์หยางอย่างสงสัยไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่ได้กินลูกแกะน้อยที่มาประเคนถึงปากหรอกหรือ?”
“ต้องอ้วนพีกว่านี้หน่อย ถึงจะกินได้!” เย่ว์หยางยื่นมือซุกซนลูบบั้นท้ายเจ้าเมืองโล่วฮัวเบาๆ
“ปากไม่ตรงกะใจ” เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่สนใจความร้ายกาจของคนรักนาง เนื่องจากนางคุ้นเคยกับการคลอเคลียกับกายเขาอยู่แล้ว และเป็นแค่การแตะเนื้อต้องตัวเท่านั้น แต่นางก็ยังตอบโต้และสัมผัสเข้าไปในกางเกงเขาและงับหูเขา “เจ้าช่างน่าสมเพช ตัวเองหิวแทบตายแต่แสร้งทำตัวเป็นเด็กดี คืนนี้เจ๊จะปรนนิบัติเจ้าเอง…” ขณะที่ทั้งสองคนหยอกเย้าคลอเคลียกัน เย่ว์หวี่ที่มีเรื่องเร่งด่วน เดินเข้ามาหาอย่างเร่งร้อน แต่เมื่อเห็นท่าทางของน้องชายนางกับโล่วฮัว นางอึ้งเหมือนกับไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ จากนั้นนางหมุนตัวเดินจากมาทันที
“เสร็จกัน, โดนนางเห็นซะแล้ว” เย่ว์หยางค่อนข้างอาย ดูเหมือนภาพพจน์ของเขาในใจของเย่ว์หวี่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียแล้ว
“ไม่ใช่แค่เจ้าสักหน่อย…” เจ้าเมืองโล่วฮัวหน้าแดง เมื่อโฉมงามสู้กับราชาอสูร นางต้องใช้เสน่ห์ต่อสู้กับเขาโดยไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ในฐานะคนใช้ชีวิตคู่ เรื่องเช่นนี้นับว่าธรรมดามาก อย่างไรก็ตาม การหยอกล้อต่อกระซิกในลานบ้านก็ทำให้นางอายมากเช่นกัน นางใช้หมัดต่อยไหล่เย่ว์หยางอย่างดุดันเป็นการประท้วงที่เย่ว์หยางทำกรุ้มกริ่มกับนางก่อน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเย่ว์หยางใช้มือซุกซนแตะต้องนางอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ นางก็คงไม่ล้วงมือลงไปในกางเกงเขาแน่ โชคดีนะที่แม่สี่ไม่ได้มาเห็น มิฉะนั้นนางได้อับอายขายหน้ายิ่งกว่านี้
เย่ว์หยางลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจไปตามดูเย่ว์หวี่ เนื่องจากนางอาจมีเรื่องเร่งด่วนบางอย่าง
เขาสังเกตว่าหูของเย่ว์หวี่ยังคงแดงอยู่ เมื่อเห็นเย่ว์หยางเข้ามา นางโบกมือและเปิดเผยสิ่งที่นางตั้งใจปกปิด “เสี่ยวซาน, ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่าคิดมากไปเลย ข้าแค่มีเรื่องจะถามเกี่ยวกับวงแหวนอักษรรูน เจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนก็ได้ ข้าไม่เป็นไร เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าก่อนเถอะ”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก “…..”
อสูรพิทักษ์ของอี้หนานเป็นแฟรี่ตัวน้อยและภูตกระจก เย่ว์หยางตัดสินใจพักไว้ชั่วคราวก่อน
เขาจะรอนางเซียนหงส์ฟ้ากลับมาก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกที
อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจยกระดับและเสริมพลังให้เพกาซัสเงินของอี้หนานและผีเสื้อมอมประสาททั้งสองของนางเสียก่อน จุดอ่อนของอี้หนานคือสู้ระยะประชิด และด้วยเพกาซัสเงิน ความเร็วในการเคลื่อนไหวของนางจะได้รับการรับรองแน่นอน สำหรับผีเสื้อมอมประสาท เป็นอาวุธโจมตีของอี้หนาน แต่ก่อนที่พลังของภูตกระจกจะแสดงพลังได้สูงสุด พวกมันจะเป็นพลังโจมตีที่มีจำกัดของอี้หนาน
ในอดีต เพกาซัสเงินก็เป็นอสูรระดับเงินอยู่แล้ว หลังจากได้รับประทานพรจากกีบเท้าม้าทองคำในวิหารคนธนูและได้รับรางวัลเป็นสติปัญญา มันก็กลายเป็นอสูรชั้นทอง
ตอนนี้ มันเป็นอสูรทองระดับสาม เพราะมันไม่ใช่อสูรสายต่อสู้และไม่ได้รับความสนใจใดๆ การยกระดับของมันจึงเป็นไปช้า
ผีเสื้อมอมประสาทยังน่าสงสารยิ่งกว่า แม้ว่ามันจะวิวัฒนาการมาจากผีเสื้อเมามาย แต่พวกมันก็เป็นเพียงอสูรเงินระดับสี่เท่านั้น พวกมันยังด้อยยิ่งกว่าเพกาซัสเงินเสียอีก การฝึกฝนสัตว์อสูรเป็นกระบวนการที่ไม่สิ้นสุด ปกติ คนอื่นๆ อาจบอกว่าก็มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับเย่ว์หยางไม่มีคำว่ายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรสายนักสู้ที่จำเป็นต้องได้กินผลึกเวท… ก่อนอื่น เขาเตรียมเม็ดพลังสองลูกที่เขาได้มาจากนักสู้ปราณก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ทะเลที่เขาสังหารที่สุสานทะเลจากนั้นใช้เพลิงอมฤตกลั่น เขาให้เพกาซัสเงินกินเม็ดหนึ่ง ขณะที่อีกเม็ดหนึ่งให้ผีเสื้อมอมประสาททั้งสองตัวกินเพื่อตั้งใจจะยกระดับของมัน
ถ้าเพียงแต่เพกาซัสเงินและผีเสื้อมอมประสาทดูดซับเม็ดพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดตามลำพัง ต่อให้ใช้เวลาสิบปีพวกมันก็ยังย่อยไม่เสร็จ
ยิ่งกว่านั้น พวกมันอาจระเบิดได้ เนื่องจากพวกมันไม่มีความอดทนเหมือนกับฮุยไท่หลาง
ปกติ เย่ว์หยางจะไม่นั่งมองดูโศกนาฏกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้น
เย่ว์หยางใช้ปราณก่อกำเนิดและเพลิงอมฤตของเขาเผาผลาญเพกาซัสเงิน เพกาซัสเงินไม่สามารฝืนทนต่อความเจ็บปวด ได้ล้มลงบนพื้น มันยังคงทุกข์ทรมานต่อไป มันจะเกิดใหม่ต่อเมื่อถูกเผาผลาญนานสิบนาทีและวิวัฒนาการจากจุดนั้น เย่ว์ซวงผู้นั่งดูอยู่ใกล้ๆ เกือบจะร้องไห้ออกมา ในที่สุด เพกาซัสเงินก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชั้นของมันเพิ่มขึ้น จากที่เป็นเพกาซัสเงินอสูรทองระดับสาม มันวิวัฒนาการไปเป็นเพกาซัสเขาเงินอสูรแพลตตินัมระดับสอง
ปีกที่เผาไหม้ของมันก็เกิดใหม่เช่นกัน
เขาเงินงอกออกมาจากหน้าผากของมันและกีบเท้าของมันกลายเป็นสีทองสดใส ทุกๆ ย่างก้าวจะมีรัศมีวงเล็กๆ แผ่ออก
แม้ว่ามันไม่ได้กางปีก มันก็สามารถลอยอยู่ในอากาศได้
ตาสีเงินมีแววปัญญาเฉลียวฉลาด… อสูรระดับทองจะแตกต่างจากอสูรแพลตตินัมในเรื่องคุณภาพหนึ่งระดับ อนึ่ง 95% ของอสูรธรรมดาไม่มีทางก้าวหน้าไปเป็นอสูรทองได้ 95%ของอสูรระดับทองไม่มีทางก้าวหน้าไปเป็นอสูรแพลตตินัมได้.. สำหรับอสูรระดับเพชร ไม่มีทางที่อสูรจะวิวัฒนาการไปถึงระดับนั้นได้ อสูรระดับเพชรจะเกิดได้แต่เพียงภายใต้สถานการณ์ที่พิเศษเท่านั้น
ผลก็คือ ระดับแพลตตินัมเป็นจุดวิวัฒนาการที่อสูรส่วนใหญ่โหยหา
หลังจากวิวัฒนาการเป็นเพกาซัสเขาเงิน ขาทั้งสี่ของมันเพรียวมากขึ้น ร่างของมันสง่างามมากขึ้น สัดส่วนของมันทำให้คนที่เห็นต้องปากอ้าค้างด้วยความทึ่ง ผิวของมันขาวเหมือนหิมะ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีม้าตัวใดในโลกเทียบกับมันได้ เมื่อเย่ว์หยางยกมันให้อี้หนาน มันยังเป็นเพียงเพกาซัสเงินระดับหนึ่งตัวน้อยเท่านั้น แต่มันทำให้อี้หนานไม่มีความสุขเต็มที่เท่านั้น ตอนนี้ เมื่อนางเห็นว่ามันวิวัฒนาการเป็นระดับแพลตตินัมได้สำเร็จ นางถึงกับตื่นเต้นร่าเริง
น้ำตาแห่งความสุขเอ่อท้นล้นจากดวงตานาง
อสูรแพลตตินัมระดับสองยังไม่ใช่ศักยภาพสุดท้ายที่เพกาซัสเขาเงินจะพัฒนาได้แน่ ในท้องของมัน ยังมีเม็ดพลังที่ยังไม่ย่อยสลายเต็มที่ แต่ก็เพียงพอต่อการช่วยให้มันยกระดับได้อีกต่อไป
“ฮี้ๆๆๆๆๆ” เพกาซัสเขาเงินแหงนหน้าและตะกุยกีบเท้ากระโจนขึ้นไปในท้องฟ้า ปีกของมันกางเชื้อเชิญอี้หนาน เหมือนจะกล่าวเชิญให้นางขึ้นหลังของมัน ราวกับว่ามันต้องการจะพาอี้หนานบินเล่นอยู่ในท้องฟ้า คนที่ใจร้อนกว่าอี้หนานคือเย่ว์ซวง เธอปีนขึ้นหลังของมันอย่างรวดเร็วและคว้าแผงขนมันไว้ “บินเลย ข้าต้องการบินสูงๆ”
เย่ว์หยางไม่มีเวลาไปเล่นกับเย่ว์ซวง เขาหันไปมองผีเสื้อมอมประสาททั้งสองตัว
เย่ว์หยางมองเห็นผ่านจักษุญาณทิพย์ถึงทิศทางวิวัฒนาการของพวกมัน พวกมันแตกต่างจากเพกาซัสเขาเงินที่สามารถขี่ได้ พวกมันจะกลายเป็นผีเสื้อปีศาจหลอนประสาท เป็นอสูรดูดเลือดที่เลือดเย็น อสูรชั้นทอง ร่างคล้ายมนุษย์เป็นร่างปีศาจ พวกมันสามารถใช้พิษทำให้สับสนได้ และทำให้ศัตรูเป็นอัมพาตจากนั้นจึงดูดเลือด…
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผีเสื้อมอมประสาทก็นับว่าน่าประทับใจ แต่พวกมันจะสามารถสร้างความประทับใจได้มากกว่านี้อีกหรือไม่?
ตัวอย่างเช่น เขาจะสามารถเพิ่มพลังฝันร้ายและพลังตาปีศาจเพิ่มให้มันได้ไหม?
เย่ว์หยางไตร่ตรอง…
**************