ตอนที่ 539 กับดักสนามพลัง? ไม่เท่าไหร่!
รัศมีของชางเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย คลื่นพลังเพิ่มขึ้นในสนามพลัง
มนุษย์สมิงที่ถูกกระบี่กุยจ้างข่มอยู่ในกลางอากาศลอยขึ้นไปในท้องฟ้า หวงฉวน เฝินเทียน หวิ่นซิงรู้สึกอายจนบอกไม่ถูก พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะมนุษย์สมิง นักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามได้ ขณะที่เย่ว์หยางที่ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิดฟ้าสามารถผลักดันตนเองจนถึงขนาดทำให้ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ต้องลงมือช่วยมนุษย์สมิง
ตาของเย่ว์หยางเป็นประกายเยาะเย้ยศัตรู เขาเก็บซ่อนกระบี่กุยจ้างไว้ในมือของเขา
เขาเงื้อมือและหวดแส้ลงทัณฑ์ที่สร้างขึ้นจากบัวเพลิงฟ้าพิโรธใส่คอของมนุษย์สมิง แม้ว่าจะสร้างความเสียหายให้ไม่ได้มาก แต่ก็เพียงพอทำให้มนุษย์สมิงช้าลง
หวงฉวนไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเย่ว์หยางต้องการสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิด?
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตฝีมือ ความสามารถและสภาพร่างกาย ระดับของเย่ว์หยางยังห่างจากมนุษย์สมิงอยู่มาก ทำไมถึงต้องสู้กับมนุษย์สมิงในระยะประชิดด้วย?
“โฮกกกกก!” มนุษย์สมิงที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดคำรามใส่ท้องฟ้า คลื่นเสียงระเบิดใส่แส้ที่เย่ว์หยางใช้หวดเขาจนกระจายออกไป แม้ว่าเย่ว์หยางจะมีเกราะเพลิงอมฤตและปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ แต่เขาก็ยังโดนพลังโจมตีจนมึนงงและร่างเซ ถึงอย่างนั้นมนุษย์สมิงก็ไม่กล้าโจมตีเย่ว์หยาง เขาเพียงแต่อ้าปากพ่นควันสีดำหนาแน่น ในควันหนาดำ มีสัตว์ประหลาดร่างคล้ายเสือซ่อนอยู่หลังม่านควันเตรียมกระโจนตะปบใส่เย่ว์หยาง
“หอกแสง!” หวงฉวนลืมตากว้าง และยิงหอกแสงเกือบร้อยเล่มออกมาจากนัยน์ตาของเขา หอกความเร็วแสงเกือบทั้งหมดยิงตรงใส่สัตว์ประหลาดร่างเสือที่อยู่หลังม่านควัน
แสงสว่างและความมืดตัดกันอย่างชัดเจน
หวงฉวนมั่นใจว่าหอกของเขาสามารถฆ่า ภูตพยัคฆ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านควันนั้นได้
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น… เหมือนกับว่าหอกแสงเหล่านั้นไม่ได้สัมผัสอะไรและทะลุผ่านร่างของภูตพยัคฆ์ไปตรงๆ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ภูตพยัคฆ์นั้นยังคงกระโจนหาเย่ว์หยาง กรงเล็บแหลมคมรอดออกมาจากควันส่งเสียงหวีดหวิวตัดอากาศ
ไม่เพียงแต่หวงฉันเท่านั้นที่ตะลึง แม้แต่เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ตกใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเป็นภูตพยัคฆ์ตัวหนึ่ง ทำไมหอกแสงของเขาจึงใช้ไม่ได้ผลเลย
พวกเขาไม่มีเวลาใคร่ครวญถึงมัน เมื่อภูตพยัคฆ์เตรียมสังหารเย่ว์หยางที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง บอลเพลิงสว่างลอยออกมาจากร่างของเย่ว์หยาง นี่ไม่ใช่เพลิงอมฤต แต่เป็นอสูรที่ครอบครองพลังธาตุหลายอย่าง อาทิ เพลิง, ควัน, พายุ, สายฟ้าและมีคุณสมบัติเป็นภูตวิญญาณ นางคือหนึ่งในอสูรพิทักษ์ของเย่ว์หยาง ภูตเพลิงดิน!
ขณะที่หอกแสงไม่สามารถแตะต้องภูตพยัคฆ์ได้ เมื่อภูตเพลิงดินปรากฏตัว นางเหวี่ยงภูตพยัคฆ์กระเด็นห่างออกไป
มีแต่นางที่เป็นอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกับภูตพยัคฆ์
แม้ว่าภูตพยัคฆ์จะแข็งแกร่งกว่าภูตเพลิงดินมาก แต่ภูตเพลิงดินไม่กลัว และไม่ได้รับบาดเจ็บ นางไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ส่วนใหญ่นางสู้โดยใช้สัญชาตญาณแทน
ภูตพยัคฆ์สามารถฉีกร่างนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ร่างภูตเพลิงดิน ก็ฟื้นสภาพได้ในเสี้ยววินาที ตราบใดที่เพลิงอมฤตซึ่งเป็นแหล่งชีวิตของนางยังคงลุกโชน นางจะไม่มีทางหายไป ตราบใดที่เย่ว์หยางเจ้านายนางยังไม่ตาย นางจะไม่มีทางตายจริงๆ สิ่งที่ภูตพยัคฆ์ทำลายไปเป็นแค่เพียงรูปแบบธาตุของนาง การโจมตีแบบนี้มีผลเช่นเดียวกับหอกแสงที่เพิ่งโจมตีใส่ภูตพยัคฆ์เมื่อครู่ ไร้ผลอย่างสิ้นเชิง มีทางเดียวที่ภูตพยัคฆ์จะทำอันตรายให้ภูตเพลิงดินได้ ก็โดยวิธีกลืนศัตรูที่ไม่มีวันตายนี้
ภูตเพลิงดินก็จะทำสิ่งนี้แน่นอน
นางไม่สนใจว่าภูตพยัคฆ์แข็งแกร่งกว่านางเป็นร้อยเท่า นางใช้เพลิงอมฤตดูดกลืนพลังงานของคู่ต่อสู้ทีละน้อยๆ
ต่อให้ภูตพยัคฆ์ไม่ตอบโต้ ถ้านางต้องการกลืนฝ่ายตรงข้ามอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนนางอาจต้องใช้เวลาสามวันสามคืนก็เป็นได้
ภูตพยัคฆ์โกรธยิ่งขึ้น….
มันบินวนอย่างบ้าคลั่งและใช้กรงเล็บแหลมคมตะกุยใส่อากาศ เปลวเพลิงจากปากของมันแผดเผาเต็มท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม ล้วนไร้ผลโดยสิ้นเชิงต่อภูตเพลิงดิน ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
ถ้าเป็นอสูรอื่น ภูตพยัคฆ์อาจกลืนกินได้ในคำเดียว ปัญหาก็คือแหล่งกำเนิดของภูตเพลิงดินก็คือเพลิงอมฤตไม่มีใครสามารถกลืนของอันตรายอย่างนั้นได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นไม่สามารถกลืนฝ่ายตรงข้ามได้ ภูตพยัคฆ์กำลังหนีจากสภาพกดดัน มันหวังว่าจะหลบหนีจากการสู้กับภูตเพลิงดินได้และกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายมัน แต่เบื้องหน้าคืออาหารโอชะ ภูตเพลิงดินไม่สนใจอะไรอื่น แค่ต้องการจะปล่อยความหิวกระหายและเพลิดเพลินกับอาหาร สำหรับการปกป้องเจ้านาย ภูตเพลิงดินไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงปัญหาเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะเย่ว์หยางมีอสูรพิทักษ์มากมายเกินไป
นอกจากภูตพยัคฆ์แล้ว มนุษย์สมิงได้เรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่ทรงพลังออกมาอีกตัวหนึ่ง
นี่คืออสูรที่ประหลาดซึ่งสามารถพบได้แต่เพียงในแดนสวรรค์เท่านั้น เมื่อมันถือกำเนิด ก็เป็นอสูรทองระดับสิบแล้ว จากนั้นมา มันไม่เคยเปลี่ยนระดับหรือยกระดับเพิ่มอีกเลย มันมีความสามารถในการเพิ่มขนาดและมีความสามารถในการสะสมพลังได้
ลักษณะพิเศษของมันก็คือพวกมันสามารถกลืนและย่อยอะไรก็ได้
หลังจากเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว สติปัญญาของมนุษย์สมิงก็ยังเท่าเดิม เขาเรียกอสูรเขี้ยวปีศาจที่มีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ ออกมาลองเชิงเย่ว์หยาง สำหรับอสูรอย่างอสูรเขี้ยวปีศาจที่ไม่มีสมองและเป็นเหมือนก้อนเนื้อกลมมีความสามารถรักษาตัวได้ทันที มันสามารถต้านทานการโจมตีจากมนุษย์ได้ ถ้ามนุษย์สมิงไม่กลัวจื้อจุน เขาคงไม่ทดสอบเย่ว์หยางอย่างระมัดระวังแน่ เขาจะวิ่งเข้าเผด็จศึกเย่ว์หยางทันที.. ตอนนี้ มนุษย์สมิงหวังว่าจะบีบให้เย่ว์หยางถอยห่างออกไปและกลับไปอยู่ข้างตัวชางเหยียน เขาไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจื้อจุนชาวมนุษย์
“เจ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้ใช่ไหม?” ประกายตาเยือกเย็นฉายออกมาจากตาของเย่ว์หยาง ถ้าชางเหยียนไม่ใช้สนามพลังของเขาช่วยมนุษย์สมิง คงยากจะพูดได้ว่าเขาสามารถรอดจากการโจมตีของกระบี่กุยจ้างได้ ตอนนี้เขายังกล้าเรียกอสูรออกมาอีกหรือ?
นางพญาดอกหนามมงกุฎทองลอยออกมาทั้งที่ยังหาวอยู่ นางยังคงพักผ่อน แต่ก็ต้องวิ่งออกมาเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจ
ไม่มีใครอื่นนอกจากนางสามารถเผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวปีศาจได้
เมื่อเขาควบพลังในมือขวาของเขา อักษรรูนนับไม่ถ้วนส่องประกายขึ้น
วงจักรล้างโลกหรือ?
มนุษย์สมิงและชางเหยียนตื่นตัวกันทั้งคู่ โชคดีที่แม้ว่าวงจักรล้างโลกของเจ้าเด็กนี่จะทรงพลังมาก แต่ก็มีการโจมตีได้เพียงวิธีเดียว
รัศมีของชางเหยียนขยายขึ้นเล็กน้อย มนุษย์สมิงรู้สึกถึงกระแสพลังงานในร่างกายของเขาและพลังต่อสู้ของเขาเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า เขาดีใจและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่กล้าเข้าไปในระยะประชิดและป้องกันพลังตัดของวงจักรล้างโลก แต่มนุษย์สมิงตวัดกรงเล็บและหางยิงมีดล่องหนออกไปหลายสิบเล่ม ซึ่งสามารถตัดโลหะและบดศิลาได้ ขณะที่เย่ว์หยางยังมัวแต่กลั่นควบพลังของตนเองอยู่
หืม!
ชางเหยียนสงสัยทำไมเย่ว์หยางถึงไม่หลบการโจมตี เป็นไปได้ว่ากระบี่กุยจ้างเป็นของปลอมกระมัง? และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็แค่หยั่งเชิงพวกเขา?
ชางเหยียนผู้มีมากประสบการณ์ฉุกคิดทันที ตอนนี้เย่ว์หยางแค่พยายามทดสอบขีดจำกัดศัตรูและควบคุมสนามพลังของเขาเอง การโจมตีที่แท้จริงกำลังจะตามมา….
“กลับมา!” ชางเหยียนตะโกนเรียกมนุษย์สมิงให้กลับ ทว่าสายเกินไป
วงจักรอักษรรูนยักษ์ถูกควบกลั่นอยู่ในมือของเย่ว์หยาง นั่นแค่คล้ายกันมาก แต่ยังคงแตกต่างจากวงจักรล้างโลก
เมื่อวงจักรอักษรรูนขนาดยักษ์ปรากฏ นี่เหมือนกับสนามพลังดารานภากาศของจักรพรรดินีราตรี ตลอดทั้งห้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง พลังของสนามพลังของชางเหยียนถูกขับออกไปทั้งหมด ภายในระยะสิบเมตรของวงจักรอักษรรูนยักษ์นี้ ไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อมันเลย ต่างจากสนามพลังดารานภากาศ นอกเหนือจากความต้องการของเย่ว์หยางแล้ว วงจักรอักษรรูนยักษ์นี้ยังมีพลังและความปรารถนาพิเศษเอง ไม่ว่าพลังอำนาจใดๆ ก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้
ความคงอยู่ของมันก็เหมือนการกำเนิดจักรวาลทั้งหมด
มันเป็นสิ่งที่คงอยู่ เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง
เมื่อชางเหยียนเห็นว่าวงจักรล้างโลกเปลี่ยนแปลงไป เขาร้องออกมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นวงจักรอักษรรูนยักษ์ “วงจักรอนันตกาล? โอวไม่นะ!”
ขณะที่มีเย่ว์หยางเป็นจุดศูนย์กลาง อักษรรูนนับไม่ถ้วนลอยออกมาล้อมรอบตัวเขาเงียบๆ หลังจากที่มันก่อตัวเป็นวงจักรอนันตกาล และยังคงรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิม นี่เป็นเหมือนกับว่าอักษรรูนเหล่านั้นคงอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ และจะคงอยู่ตลอดไปอย่างนั้นตราบชั่วกาลนาน… นี่คือพลังของวงจักรอนันตกาล ไม่มีพลังภายนอกโลกนี้ที่ส่งผลต่อมันได้
นี่คือสิ่งคงอยู่ที่ตรงกันข้ามกับวงจักรล้างโลก อย่างหนึ่งใช้กำจัดทุกสรรพสิ่ง อีกหนึ่งนั้นคงไว้ซึ่งสรรพสิ่งนิรันดร
เย่ว์หยางได้รับตกทอดวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลมานานแล้ว แต่เขาคุ้นเคยกับการใช้วงจักรล้างโลก และรู้สึกว่าวงจักรล้างโลกสร้างความเสียหายได้หนักกว่า เขาไม่มีเวลามากนักในการฝึกใช้วงจักรอนันตกาลจนกระทั่งจักรพรรดิชื่อตี้หนีไปจากผนึกเขาได้
ความเร็วสูงสุดของจักรพรรดิชื่อตี้และการปกป้องจากอาวุธระดับเทพของเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะโจมตีเขาได้
ต่อมาเย่ว์หยางจึงคิดจะใช้วงจักรอนันตกาล
จากนั้นเขาจึงเข้าใจ วงจักรทั้งสองต้องใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นวงจักรชนิดใดก็ตาม ไม่มีทางจะใช้พลังได้ถึงสูงสุด หากใช้แค่เพียงลำพัง
มนุษย์สมิงตระหนักได้ว่าอยู่ที่ขอบของวงจักรอนันตกาล เขาไม่สามารถขยับได้เลยสักนิ้ว ขณะที่เขากลัวจนนึกอะไรไม่ออก เขาสามารถเห็นได้ว่า เย่ว์หยางเงื้อกระบี่ดำกุยจ้างและพุ่งเข้ามา
อย่าว่าแต่การหลบเลย แม้แต่จะขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้
ชางเหยียนส่งแก๊สดำออกไป แต่เขาไม่สามารถช่วยมนุษย์สมิงได้ ขณะที่จ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณที่เหลืออยู่เพียงตาเดียว มันไม่มีความตั้งใจจะสู้กับเย่ว์หยางที่มีเพลิงอมฤตคุ้มครองตัว ได้แต่กลัวโดยสัญชาตญาณของมัน เทียบกับวงจักรอนันตกาลและวงจักรล้างโลกแล้ว มันกลัวเพลิงอมฤตมากกว่า เพลิงอมฤตเป็นสิ่งอันตรายคุกคามความคงอยู่ของมัน
“ระวัง! พวกเขาว่าชางเหยียนมีความสามารถระเบิดศพคนได้” หวงฉวนนึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที และรีบเตือนเย่ว์หยาง
“ถึงเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องฆ่า” แม้ว่ากระบี่กุยจ้างจะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าตะเกียบ แต่กลับทรงพลังมหาศาล เป็นครั้งแรกที่กระบี่กุยจ้างถูกนำมาใช้ มันทะลวงเข้าหน้าผากของมนุษย์สมิง ไม่เพียงแต่ทะลวงสมองเท่านั้น แม้แต่เขาที่แข็งที่สุดของมนุษย์สมิงก็ยังถูกตัดออกมาด้ว้ย
“น่าสนใจ” จื้อจุนไม่ได้แสดงความประหลาดใจต่อวงจักรล้างโลกและวงจักรอนันตกาลของเย่ว์หยาง แต่กลับให้ความสนใจกระบี่กุยจ้าง
กระบี่กุยจ้างสามารถทะลวงศีรษะได้ในครั้งเดียว
แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่ากับกระสุนดำ แต่นางเห็นศักยภาพของเทพกระบี่นี้
แค่ระดับขอบเขตปัจจุบันของเขา เย่ว์หยางสามารถใช้กระบี่กุยจ้างเกือบในระดับเดียวกับกระสุนดำของนาง ถ้าเขายกระดับขึ้นเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสุดยอด กระบี่กุยจ้างจะเปล่งอานุภาพได้ขนาดไหน? คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้ว!
ในเวลาเดียวกับที่เย่ว์หยางฆ่ามนุษย์สมิง คลื่นอัดกระแทกที่น่ากลัวรุนแรงกว่าภูเขาไฟระเบิดร้อยเท่าระเบิดออกมาจากใต้เท้ามนุษย์สมิง…. และในเวลาแทบจะทันที จื้อจุนมองดูสนามพลังของชางเหยียนและพึมพำ “งั้นก็เป็นแค่ลูกเล่นเล็กน้อยเพื่อหลอกลวงผู้คน ก็เป็นแค่กับดักสนามพลังที่จำเป็นต้องได้บางอย่างจากภายนอกเพื่อจุดชนวน”
ไม่ต้องพูดถึงจื้อจุน แม้แต่เสียงจักรพรรดินีราตรีก็ยังแฝงไปด้วยความสุข “โชคดีจริงๆ ที่มันต้องการปัจจัยภายนอกในการจุดชนวน นี่ทำให้ข้ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก!”
ภูตพยัคฆ์ที่เชื่อมวิญญาณกับมนุษย์สมิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ขณะเดียวกัน หิมะที่เหมือนธารน้ำแข็งระเบิดออกมาจากร่างของมันผนึกภูตพยัคฆ์และภูตเพลิงดินไว้ในน้ำแข็ง
ไม่มีผนึกใดสามารถขังร่างของภูตเพลิงดินที่มีเพลิงอมฤตเป็นส่วนประกอบ
ขณะที่ร่างของมนุษย์สมิงถูกโจมตี ร่างของอสูรเขี้ยวปีศาจก็ระเบิด สิ่งที่มันยิงออกมาก็คืองูไฟฟ้าทองหลายล้านตัวในกับดักสนามพลังของชางเหยียน ไม่ต้องพูดถึงนางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่อยู่ในแนวของระเบิด แม้แต่หวงฉวน เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็ยังมึนชาจากพลังไฟฟ้าไปด้วย
“ระเบิดต่อเนื่อง!” ชางเหยียนยกมือขวาช้าๆและชี้ไปที่ศพของเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวบนพื้น
“ว่าไงนะ?” เวิ่งจินและคนอื่นตะลึง ถ้าศพเพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตัวเหล่านี้ระเบิด จะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้ยังไง? กับดักสนามพลังของชางเหยียนสร้างขึ้นมาให้จุดชนวนกันเอง หลังจากระเบิดสามครั้ง พลังสายฟ้าจะรุนแรงมากกว่าภูเขาไฟระเบิดถึงสิบเท่า ถ้าศพเพชรฆาตโบราณระเบิดสิบสองตัวระเบิดไล่ๆ กันใครยังจะยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากจื้อจุนผู้ทรงพลัง?
แม้ว่าเย่ว์หยางที่ได้รับการปกป้องโดยวงจักรอนันตกาลและจักรพรรดินีราตรีผู้มีสนามพลังดารานภากาศก็มีแนวโน้มไม่อาจทนต่อพลังระเบิดที่รุนแรงพันเท่าล้านเท่าทวีคูณ
เป็นไปตามคาด ชางเหยียนนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ช่างน่ากลัวจริงงๆ
ถ้าเขายังไม่โจมตีก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ทันทีที่เขาโจมตี เขาจะต้องกวาดล้างทุกคนทันที…
จื้อจุนยังคงไม่แยแส เหมือนกับว่านางเห็นว่าชางเหยียนเตรียมใช้ระเบิดต่อเนื่อง
กลับเป็นจักรพรรดินีราตรีผู้ล่องหนเอื้อนเอ่ยขึ้น “จงกำเนิดขึ้นมา พลังสิบสองราศีนักษัตร ดาวแกะ… แรงโน้มถ่วงดารานภากาศ!”
*****************