ตอนที่ 542 แม่เจ้าเรียกกินข้าวแล้ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน คลื่นแสงค่อยๆ สงบลงในที่สุด
ชางเหยียนอยู่ในสภาพน่าสมเพชมากสุด
แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ความประมาทที่เขามีต่อพลังรังสีทำลายล้างครั้งใหม่นี้ทำให้เขาเจ็บตัวอย่างหนัก
ก่อนหน้านั้น จื้อจุนปล่อยรังสีทำลายล้างไปครั้งหนึ่งแล้ว แม้ว่านางจะสามารถฆ่าอสูรเพชฌฆาตโบราณได้มากกว่าสิบทันที แต่ชางเหยียนไม่ถึงกับแตกตื่น เนื่องจากเขาตระหนักว่าดูเหมือนแสงทำลายล้างที่น่ากลัวไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจื้อจุนยังคงซ่อนกลเม็ดที่แท้จริงของพลังครั้งก่อนไว้
ถึงรอบนี้จื้อจุนไม่มียั้งมือยั้งพลังฝีมือของนางอีกต่อไป
นางใช้พลังที่รุนแรงมากกว่าแต่ก่อนถึงสิบเท่า!
ภายใต้การช่วยเหลือของสนามพลังของจักรพรรดินีราตรีควบคู่กับพลังแสงทำลายล้างที่จื้อจุนปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ทำให้พลังเพิ่มขึ้นถึงแปดเท่า แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับแม้แต่จื้อจุนเองก็คือความรุนแรงของพลังแสงทำลายล้างของนางกลับเพิ่มระดับความรุนแรงอีกเพราะแท่นบูชาสงคราม! พลังที่ช่วยเสริมเข้ามานี้เองทำให้รังสีทำลายล้างเพิ่มเป็นสิบเท่า… ดังนั้นชางเหยียนและเฮยหูจึงตกอยู่ในสภาพน่าเอน็จอนาถ
สิ่งที่อยู่ใกล้แสงทำลายล้างมากที่สุดก็คือชุดคลุมที่เป็นสมบัติชั้นศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายกลายเป็นเถ้าถ่านสลายไปในอากาศ
ผมสีทองสลวยหยักศกก่อนหน้านั้นถูกเผาทั้งที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันของสมบัติศักดิ์สิทธิ์และสนามพลังของเขา
ชุดยาวสีม่วงที่เป็นอุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ถูกฉีกแตกกระจาย
มองดูเหมือนกับชุดของขอทาน ควบคู่กับสารรูปดำเป็นถ่านของชางเหยียน ทำให้เขาดูน่าสมเพชทุลักทุเล เป็นภาพที่ขัดกับท่าทีที่มีสง่าราศีของเขาก่อนหน้านั้น
แต่เขามีความแข็งแกร่งเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงไม่ถึงกับบาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็คงรู้ว่าชางเหยียนก็ตื่นตระหนก เนื่องจากไม่เคยมีใครทำให้เขาตกอยู่ในสภาพอเน็จอนาถมาหลายพันปีแล้ว
เทียบกับชางเหยียนแล้ว เฮยหูบาดเจ็บหนักมากกว่า
เฮยหูไม่รู้ว่าจื้อจุนสามารถปลดปล่อยพลังโจมตีได้รุนแรงขนาดนั้น จากการสัมผัสรังสีโดยตรงเป็นผลให้ม่านตาสีทองของเขาไหม้
แม้ว่าเขาสามารถฟื้นตัวได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายปีหรืออาจนานกว่านั้น ลักษณะที่เฮยหูสูญเสียการมองเห็นและกลายเป็นคนตาบอดยิ่งสร้างความรู้สึกเสียใจให้กับชางเหยียน มีบาดแผลอยู่ทั่วร่างของเขา ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลไหม้เกรียม เนื้อไหม้ส่งกลิ่นเหม็น
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในระดับเดียวกับชางเหยียนแล้ว แล้วคงทรุดลงไปจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
จ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณทรุดตัวลงไปแล้ว
ดวงตาทั้งสองของมันระเบิดและเบ้าตาของมันกลายเป็นรูกลวงสองรู… เนื่องจากมันอยู่ใกล้จุดที่จื้อจุนโจมตีมากที่สุด ศีรษะและหน้าของมันถูกเผาเสียโฉมขณะที่เลือดพุ่งออกมาจากจมูกและปากของมัน นอกจากบาดแผลภายนอกแล้ว มันยังได้รับบาดเจ็บภายใน จื้อจุนรู้ดีว่านางยังไม่สามารถฆ่าชางเหยียนผู้เจ้าเล่ห์และเฮยหูได้ ดังนั้นนางจึงพุ่งเป้าไปที่จ้าวอสูรเพชฌฆาตโบราณมากที่สุด ถึงแม้จ้าวอสูรเพชฌฆาตโบราณจะไม่ฉลาดเท่าชางเหยียน แต่มันก็ยังเป็นผู้ปกครองของเพชฌฆาตโบราณทั้งปวง ดังนั้นจึงมีผู้ติดตามมันเป็นจำนวนมาก
ตราบเท่าที่มันยังมีชีวิต มันจะเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อสถานการณ์ทั้งหมด
ถ้านางไม่สามารถฆ่าชางเหยียนได้ นางเลือกจะฆ่าจ้าวอสูรเพชฌฆาตโบราณแทน
ทำลายได้หนึ่งนิ้ว ยังดีกว่าทำให้บาดเจ็บสิบนิ้ว
นี่คือแผนริเริ่มของเย่ว์หยาง
จ้าวอสูรเพชฌฆาตโบราณเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง ชางเหยียนอาจจะหนีไปได้ ดังนั้นนางไม่ยอมปล่อยให้เขาพาจ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณหนีไป นับว่าดีต่อคนอื่นๆ นอกจากจื้อจุน จักรพรรดินีราตรีและเย่ว์หยาง และมันยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงแม้กระทั่งต่อนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามอย่างหวงฉวน
ถ้าพวกเขาสามารถกำจัดจ้าวอสูรเพชฌฆาตโบราณได้ หวงฉวนและพวกที่เหลือจะสามารถช่วยพวกเขาได้ จากนั้นเย่ว์หยาง จักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนจะได้พุ่งเป้าไปที่การโจมตีชางเหยียน
แต่มันยังไม่ตาย
มันมีร่างกายที่แข็งแกร่งขนาดนั้น แม้เมื่อมันตาบอด ก็ยังเต็มไปด้วยพลังชีวิต สิ่งมีชีวิตบาดเจ็บหนักก็ไม่มีความหมายอะไรต่อมันชั่วคราว
แม่ทัพเพชฌฆาตโบราณก็ยังคงไม่ตาย… พวกมันนอนอยู่บนพื้นใกล้ตายเต็มที รังสีทำลายล้างก่อนนั้นเกือบคร่าชีวิตพวกมันได้ ตอนนี้ยังเจอกับรังสีทำลายล้างที่ทรงพลังมากยิ่งกว่า เหตุที่พวกมันไม่ได้ถูกฆ่าทันทีเป็นเพราะร่างกายของพวกมันแข็งแรง พวกมันไม่สามารถฟื้นคืนสภาพในเวลาสั้นๆ ได้ ดังนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีสำหรับแผนเย่ว์หยาง สิ่งเดียวที่เย่ว์หยางคาดไม่ถึงก็คือมีเพชฌฆาตโบราณที่หน้าแท่นบูชาสงครามเกือบร้อย เกือบทั้งหมดทรุดลงภายใต้แสงทำลายล้าง
ถูกฆ่าตายทันที!
แม้มีหลุมหลบภัยของเพื่อนร่วมฝูงของพวกมัน แต่ก็มีรอดอยู่ได้ไม่มาก
จ่าฝูงเพชฌฆาตโบราณสองสามตนที่ยังคงมีชีวิตแม้ว่าใกล้จะตายเต็มที แต่พวกมันก็ถึงขีดจำกัดกันแล้ว
แม้ว่าทุกคนจะละเว้นพวกมัน แต่พวกมันคงไม่รอดอยู่แล้ว…
“เลวมาก, ช่างน่าคลั่งใจนัก! ข้าเกลียดคนจากทวีปมังกรทะยานมากที่สุด! ตายซะเถอะ, พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!” เฮยหูที่ตาบอดคำรามอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาเหยียดมือเรียกคัมภีร์โบราณแพลตตินัม อสูรจำนวนมากปรากฏออกมาทันที สัตว์ประหลาดหลายตาที่ดูเหมือนปลาหมึกมีหนวดจำนวนมากมายผสานร่างเข้ากับเฮยหู ด้วยความช่วยเหลือของมันดวงตาจำนวนมากผุดขึ้นบนผิวของเขา มีมากกว่าสิบคู่หลากหลายขนาด ทำให้เฮยหูดูน่าขนลุกมาก
สัตว์ประหลาดสองตัวมีหัวเป็นวัวตัวเป็นกิ้งก่าและหางงูรี่เข้าหาจื้อจุนกวัดแกว่งดาบยาวในมือของมัน
ทุกตัวเป็นอสูรฟ้าระดับสอง
พวกมันมีระดับเทียบเท่ากับจ่าฝูงเพชฌฆาตโบราณ
แม้ว่าคลื่นพลังงานจากการควงดาบประหลาดของพวกมัน ก็สามารถบอกได้ว่าพวกมันมีสติปัญญา พวกมันไม่เหมือนกับอสูรเพชรฆาตโบราณที่ยังขาดพัฒนาการเรื่องความรู้
เย่ว์หยางเห็นคนแคระสองคนที่ขากรรไกรล่างเหมือนปลาวาฬ พวกเขาแบกกระเป๋าใหญ่ไว้ที่หลัง พวกเขารวบรวมอาวุธในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว ประกอบเป็นกระบี่ชั้นศักดิ์สิทธิ์ยืดยาวเกินกว่าสิบเมตร จากนั้นพวกเขาเอาเกราะออกมาจากกระเป๋าสัมภาระมหึมาและประกอบเข้ากันอย่างเป็นระเบียบกลายเป็นเกราะคลุมตัวเฮยหูภายในสิบวินาที แค่นี้ยังไม่พอ จากนั้นคนแคระทั้งสองโรยเลือดทองไปรอบๆ ขณะที่เลือดข้นรวมตัวอยู่ข้างหน้าเฮยหู ได้ก่อตัวกลายเป็นอักษรรูนสวรรค์ การกระทำอย่างมีประสิทธิภาพสร้างพลังให้เกราะเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า
“น่าสนใจ” แม้ว่าเย่ว์หยางจะดูแคลนพฤติกรรมที่โง่เขลาของฝ่ายตรงข้าม แต่เขาไม่รังเกียจจะเรียนรู้เคล็ดในการใช้อักษรรูนสวรรค์สร้างสิ่งนั้นอย่างลับๆ
“ก็ได้, พวกเจ้าเป็นฝ่ายยั่วโมโหข้ามาตลอด!” ชางเหยียนก็เรียกยักษ์เพลิงออกมาเช่นกัน
เมื่อเทียบกับเฮยหู เขายังดูพิถีพิถันมากกว่า
เขาเรียกกับดักสนามพลังไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ผสานร่างกับยักษ์เพลิง อสูรฟ้าระดับสอง
เย่ว์หยางมั่นใจว่าชางเหยียนมีอสูรที่แข็งแกร่งตัวอื่นอย่างแน่นอนซึ่งเขายังไม่ได้เรียกออกมา บางทีอาจเป็นความลับสำคัญของชางเหยียนและชางเหยียนจะเปิดเผยในช่วงท้ายเท่านั้น ส่วนเฮยหู เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนโง่เช่นกัน แม้ว่าเขาอาจจะไม่เจ้าเล่ห์เท่ากับชางเหยียน แน่นอนว่าภายนอกเขาดูหยาบกร้าน แต่ภายในนั้นเขาเป็นคนละเอียด
ทัศนคติที่หยิ่งยโสของเขาอาจเป็นแค่การกลบเกลื่อนอย่างหนึ่ง
จื้อจุนไม่ถอยเมื่อนางเห็นคู่ต่อสู้ นางกลับเดินหน้าเข้าหาศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าอย่างไม่สะทกสะท้าน
เมื่อนางเหยียดมือข้างหนึ่ง เจ้าสัตว์ประหลาดหัววัวทั้งสองตัวก็สั่นถอยห่างออกไปหลายร้อยเมตร นางเพียงแค่นเสียงเย็นชาใส่ชางเหยียนที่ลอบเข้ามาทำร้ายอย่างรวดเร็ว ขณะที่โล่แสงทองกางขึ้นเหมือนม่านพลังของคัมภีร์ ขับไล่ชางเหยียนให้ถอยห่างออกไป
เฮยหูไล่ตามชางเหยียนมา แทบไม่อยากเชื่อ ชางเหยียนเป็นผู้อาวุโสนักสู้ปราณฟ้าระดับห้าแห่งตำหนักไฟ เขาไม่เคยคาดเลยว่าเขาจะตกใจถอยออกมาต่อหน้าเขาอย่างนั้น
เป็นไปได้หรือว่าที่สตรีจากทวีปมังกรทะยานคนนี้จะแข็งแกร่งทรงพลังขนาดนั้นจริงๆ
เขาควงกระบี่ยักษ์อย่างไม่เชื่อถือ
แล้วฟันลงอย่างแรง
แต่ก็ได้แต่เพียงทำให้กระบี่ยักษ์สะท้านรุนแรงเกือบหลุดกระเด็น… เฮยหูที่เป็นหนึ่งในแปดผู้อาวุโสจากตำหนักกลางตะลึงทันที แม้แต่จ้าวตำหนักทั้งสี่ก็ยังไม่มีความสำเร็จขนาดนี้? เป็นไปได้ไหมว่าสตรีจากทวีปมังกรทะยานนางนี้ทรงพลังมากกว่าจ้าวตำหนักทั้งสี่?
“นี่คงเป็นทักษะของอสูรของนางหรือเป็นทักษะที่นางฝึกฝนเอง” ชางเหยียนพูดต่อด้วยสีหน้าซีด “สู้ระยะประชิดไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องใช้พลังของเราฆ่านาง! ร่างของนางแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นนางต้องตายแน่ถ้าโดนโจมตี เฮยหู! เจ้าไปจัดการพวกมดแมลงที่เหลือ ข้าจะรับศึกนี้เอง เราสามารถร่วมมือจัดการนางทีหลังเมื่อเจ้าฆ่าพวกมันเสร็จแล้ว”
“คำพูดกล่อมนอนก่อนตายของเจ้าใช่ไหมนั่น?” จื้อจุนใช้มือขาวนวลของนางทำลายมิติเปล่าก่อนจะกลั่นรวมกระสุนดำทำลายล้างของนาง
นางยกมือและยิงกระสุนใส่หนึ่งในสัตว์ประหลาดหัววัว
ชางเหยียนไม่ทันได้เตือนมัน ขณะที่เขาเตะมันออกไปเพื่อหลบพลังโจมตีของกระสุนดำ อย่างไรก็ตาม จื้อจุนขยับนิ้วทำให้กระสุนเลี้ยวและยิงใส่สัตว์ประหลาดหัววัวที่ถูกเตะหลบออกไป มันถูกฆ่าทันที
เฮยหูโกรธร้องออกมาเสียงแปลกๆ
แต่เขาไม่กล้ารับกระสุนดำทำลายล้างที่ยิงออกมาโดยตรง
เขาควงกระบี่ยักษ์ตั้งใจจะระบายความโกรธโดยการฆ่าเย่ว์หยาง แต่ดวงดาวจำนวนมากปรากฏอยู่หน้าเย่ว์หยาง พลังคลื่นกระบี่โจมตีของเฮยหูหายไปโดยไม่มีร่องรอย
เสียงไพเราะของจักรพรรดินีราตรีดังขึ้น เสียงของนางไม่มีความโกรธเลยแม้แต่น้อย “นักสู้ปราณฟ้า โปรดอย่ากังวลไปเลย ถ้าเจ้าไม่ว่ากระไร ข้าสามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าได้ แม้ข้าอาจจะไม่เหมือนกับจื้อจุนที่ทำให้เจ้าตกตะลึงได้ทันที แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถจดจำข้าไว้ในฐานะคู่ต่อสู้ได้”
สัตว์ประหลาดหัววัวที่เหลือหลบจากสนามพลังดารานภากาศ
มันกำลังเตรียมจะลอบโจมตีเย่ว์หยางที่ยังคงคัดลอกจารึกทั้งสี่ด้าน
เย่ว์หยางเห็นว่าหลักจารึกเทพสี่ด้านไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยภายใต้รังสีทำลายล้าง เหตุผลก็คือทุกครั้งที่รังสีทำลายฉายแสงถูกมัน อักษรรูนสวรรค์และรูนโบราณจะสร้างม่านบางๆ รูปสลักเทพทั้งหมดไม่ได้รับอันตรายภายใต้ม่านนี้ ไม่ทราบว่ามันแตกบิ่นได้ยังไง
จากเหตุนี้เอง เย่ว์หยางจึงให้ความสนใจในอักษรรูนที่ไม่ได้หายไปทันที
แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจในการทำงานของมัน แต่เขาคัดลอกไว้อย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ต้องเสียใจในอนาคต
เย่ว์หยางไม่สนใจสัตว์ประหลาดหัววัวที่จะโจมตีเขาแม้แต่น้อย
เสียงไพเราะของจักรพรรดินีราตรีดังนุ่มนวล นางไม่ได้ส่งเสียงเหมือนกับว่านางกำลังต่อสู้ แต่เสียงของนางเหมือนกับว่านางกำลังร้องเพลง “สายฝนดาวตก!”
ดวงดาวทั้งหลายในสนามพลังดารานภากาศเปลี่ยนเป็นอุกกาบาตทีละดวง ดาวเหล่านั้นพุ่งตัดพื้นที่และกระแทกใส่สัตว์ประหลาดหัววัวที่เตรียมจะโจมตีเย่ว์หยาง โดยไม่ต้องรอให้มันลุกขึ้น ฝนดาวตกระดมกระแทกใส่มัน แม้ว่าจะไม่น่าตื่นตะลึงเท่ากับกระสุนดำของจื้อจุน แต่ก็เป็นหนึ่งในอาวุธที่สามารถฆ่าคนได้ทันที มันน่ากลัว
“หวงฉวน, เจ้าจะรออะไรอยู่อีก? มีอสูรมากมายหลายตัวที่ยังไม่ตายนอนอยู่รอบๆ ตัวพวกเจ้า เจ้าจะรอให้พวกมันฟื้นก่อนแล้วค่อยสู้ใช่ไหม?” เย่ว์หยางเห็นว่าหวงฉวน เฝินเทียน และพวกที่เหลือเอาแต่มองการต่อสู้ระหว่างจื้อจุนและชางเหยียนและคู่จักรพรรดินีราตรีกับเฮยหูอย่างงงงวย เขาสับสน พวกเขาต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรดูอยู่ข้างสนาม และเมื่อไหร่ไม่ควร สถานการณ์ตอนนี้เร่งด่วนมาก พวกเขายังคงยืนดูอยู่อีกหรือ?
“ฆ่าเจ้าเด็กนั่นซะ, เขาเป็นคนวางแผนเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่าง!” ชางเหยียนหวังว่าเฮยหูจะสามารถฆ่าเย่ว์หยางได้โดยเร็ว จักรพรรดินีราตรีไม่ใช่นักสู้สายรบโดยตรง ดังนั้นเฮยหูจะเปลืองพลังงานของเขาไปเปล่าๆ หากเขายังคงต่อสู้กับนางต่อไป
“เปลี่ยนคู่ต่อสู้ก่อน!” เฮยหูโกรธจัด จักรพรรดินีราตรีไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ง่ายๆ นางไม่ยอมปรากฏตัวในสนามพลังดารานภากาศ แล้วพวกเขาจะสู้ต่อไปได้ยังไง?
“พ่อหนูน้อยคนแคระทั้งสอง! แม่พวกเจ้ากำลังเรียกกินข้าวอยู่นะ!” ทันใดนั้นเย่ว์หยางปรากฏตัวที่ด้านหลังคนแคระทั้งสอง เขาแตะไหล่พวกคนแคระทั้งสองจากนั้นใช้กริชสังหารเทพเชือดคอพวกเขาอย่างรวดเร็วขณะที่พวกเขาเพิ่งสะดุ้ง เลือดสีดำสาดกระจาย…
********************