ตอนที่ 558 ค้นคว้าพัฒนานางฟ้านักรบ
หลังจากอดทนมาเป็นเวลาสิบเอ็ดชั่วโมง จิตใจของเย่คงก็ถึงขีดจำกัดและหมดสติลงในที่สุด
พลังใจความมุ่งมั่นและความดื้อรั้นของเขาเปลี่ยนได้กระทั่งอารมณ์ของเสวี่ยทันหลาง
เสวี่ยทันหลางคิดว่านอกจากเย่ว์หยางแล้ว เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในกลุ่ม ตอนนี้ดูเหมือนว่าเย่คงผู้เกิดมาในสถานะต่ำต้อยคือคู่แข่งในชีวิตที่แท้จริงของเขา พรสวรรค์ของเขายิ่งใหญ่ แต่ถูกซ่อนไว้ แน่นอน เย่คงไม่อาจเทียบได้กับเย่ว์หยาง อย่างไรก็ตาม ในบรรดารุ่นผู้เยาว์ทั้งหมด เย่คงจะค่อยๆ เติบโตแข็งแกร่งขึ้น และด้วยการฝึกโหดอย่างจริงจัง พรสวรรค์และศักยภาพและการปรับตัวได้เป็นอย่างดีทำให้เทียบได้กับสุดยอดอัจฉริยะซึ่งเป็นที่รู้จักดี
แทบจะมั่นใจได้เลยว่า ถ้าไม่มีเย่ว์หยางปรากฏตัว พรสวรรค์ของเขาจะถูกซ่อนไว้ตลอดไป ไม่มีโอกาสได้ฉายประกาย
การพบกับเย่ว์หยางที่ชั้นหนึ่งหอทงเทียนเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ด้วยวาสนาที่ได้มาพบกันนี้ เย่คงคว้าโอกาสนี้ไว้ทันทีทำให้เขาได้มีโอกาสฉายแสงความรุ่งเรืองทันที ภายใต้การพิทักษ์ของเย่ว์หยาง การฝึกฝนอบรมของเขาก้าวหน้าได้รวดเร็วแบบก้าวกระโดด แทบจะทัดเทียมสมาชิกของสี่ตระกูลใหญ่
“….” เมื่อเย่คงลืมตาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาบ่ายของวันที่สองแล้ว
แสงอาทิตย์อบอุ่นฉายลูบไล้ใบหน้าของเขา
ที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เป็นพี่น้องตระกูลหลี่, ทอเรนเลโอและฟ่านหลุนเถี่ย, เอลฟ์ทองลีนและเป่าเอ๋อกำลังเล่นไพ่กันอย่างสนุก เมื่อเย่คงมองไปรอบๆ เขาพบเห็นเกือบทุกคนยกเว้นเจ้าอ้วนไห่ เย่คงค่อยๆ ถอนหายใจ แม้ว่าตามทฤษฎี เขาจะถึงขีดจำกัดในระดับปราณฟ้า แต่เขาก็ไม่รู้สึกสบายใจเท่าใดนัก ตรงกันข้าม เขารู้สึกสูญเสียยากจะอธิบายได้
เมื่อเย่คงลุกขึ้นนั่ง ทุกคนรีบเข้ามารุมล้อมตัวเขาโดยเร็ว แสดงความยินดีกับเขาอย่างตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน
แม้แต่เป่าเอ๋อผู้เก็บความลับไม่อยู่ เย่คงจึงรู้ได้ว่าเขาอดทนได้นานที่สุด
พี่น้องตระกูลหลี่และฟ่านหลุนเถี่ยทนได้หกชั่วโมง ขณะที่สี่สาวเผ่าคิวบัวร์ทนได้ชั่วโมงเดียว นอกจากผู้เฒ่าหนิงไห่ที่ขอมีส่วนร่วมปลุกพลังสายเลือดแล้ว สี่สาวเผ่าคิวบัวร์ทนได้น้อยที่สุด ผู้เฒ่าหนิงไห่อดทนได้เพียงครึ่งชั่วโมง แม้ว่าการฝึกฝนของเขาจะมีขีดจำกัด แต่ดูเหมือนว่าเขายังไม่ถึงระดับปราณก่อกำเนิด เฟิงชิซาและเหยียนพั่วจวินทนได้สามชั่วโมง แม้ว่ายังไม่ถือว่านาน แต่เหยียนเชียนจ้งและเฟิงเสี่ยวหวินก็ดีใจมากแล้ว..อย่างน้อยตระกูลของพวกเขาก็ยังให้กำเนิดนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นข่าวดีมากแล้ว ยิ่งกว่านั้น ระดับปราณก่อกำเนิดของพวกเขาคือระดับสาม นับว่าไม่ต่ำทรามเกินไป
เสวี่ยทันหลางไม่ร่วมรับการปลุกพลังสายเลือด หลังจากคิดอยู่ชั่วขณะในที่สุดองค์ชายเทียนหลัวตัดสินใจไม่ร่วมรับการปลุกพลังสายเลือด
ที่สำคัญคือ การอบรมฝึกฝนพลังด้วยตนเองจะทำให้พวกเขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด
นอกจากนี้ ยังสร้างความรู้สึกว่ามีความสำเร็จมากที่สุด
ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ คนที่มีพรสวรรค์ศักยภาพที่น่าตกใจที่สุดก็คือเย่ว์ถิง คุณชายห้าแห่งตระกูลเย่ว์ที่พูดน้อยและไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็น ว่าที่ประมุขตระกูลเย่ว์อดทนการปลุกพลังสายเลือดได้ถึงเจ็ดชั่วโมงโดยไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน
แม้แต่เย่ว์หยางเองก็ไม่คิดเลยว่าน้องห้าผู้เรียบง่ายซื่อสัตย์จะเป็นอัจฉริยะผู้มีศักยภาพยิ่งใหญ่
เทียบกับเย่ว์ถิงแล้ว เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนไม่มีอะไรดีเลย
ภายใต้คำขอร้องของลุงรองเย่ว์หลิ่ง ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ยอมให้พวกเขาเข้าร่วมปลุกพลังสายเลือดอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ใช้เลือดจ้าวอสูร พวกเขากับเดื่มเลือดของอสูรเพชรฆาตโบราณธรรมดาแทน เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนทนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนจะขอยอมแพ้ พวกเขายังไม่คู่ควรถือเทียนให้เฟิงชิซาและเหยียนพั่วจวินด้วยซ้ำ โชคดีที่ตระกูลเย่ว์มีเย่ว์ถิงเป็นความภาคภูมิใจ… วิธีลับปลุกพลังสายเลือดนี้ทำให้คนรุ่นอาวุโสมีความหวังว่าพวกเขาจะเติบโตกล้าแข็งและจุดประกายความหวังในชีวิตที่จะได้กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด
พวกเขาอายเกินไปที่จะขอร้องต่อหน้าเหล่าผู้เยาว์ ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญเย่ว์หยางเข้าไปในปราสาทตระกูลเย่ว์
ครึ่งวันต่อมา รุ่นผู้อาวุโสซึ่งได้รับเลือดเบเฮม็อธ (อสูรเพชฌฆาตโบราณ) เพื่อปลุกพลังสายเลือดมีทั้งกดดันและผิดหวังกับการทดสอบของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถทนถึงระดับปราณก่อกำเนิดได้ มีเพียงไม่กี่คน อย่างเช่นราชันย์ฟ้าตะวันออกเดินออกมาอย่างภาคภูมิใจ ยินดีกับตัวเอง
“มิน่าเล่าธิดาของข้าถึงได้มีพรสวรรค์มากนัก นางได้เชื้อบิดาอย่างข้าไปนั่นเอง” ราชาฟ้าบูรพาไม่พูดว่าเขาทนได้นานแค่ไหน แต่ดูจากสีหน้าอารมณ์ของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
“เชื้อแรงที่ไหนกัน, นางพัฒนาต่อยอดจากเจ้าต่างหากเล่า” จุนอู๋โหย่วไม่พอใจที่ราชันย์ฟ้าบูรพาคุยข่ม
“…” มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับการปลุกพลังสายเลือดก็คือ ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่
ตอนแรกเย่คงต้องการจะคุยกับเจ้าอ้วนไห่ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าอ้วนไห่วิ่งกลับบ้านเกิดและกลับมาที่บ้านสวนน้อยในอีกสามวันให้หลัง
เมื่อเขาพบเจ้าอ้วนไห่อีกครั้ง เขาไม่พบเห็นร่องรอยผิดหวังแต่อย่างใด
แต่กลับเห็นได้ชัดว่าหน้าของเขาแดงขึ้นและมีราศีห้าวหาญยิ่งขึ้น
เขาหยิบอั่งเปาที่บรรจุทองไว้เต็มและกล่าว “นี่คืออั่งเปาที่พ่อแม่ข้าเตรียมเอาไว้ให้ทุกคน ทุกคนรับไปคนละหนึ่งซอง” ในที่สุด เขาก็มอบอั่งเปาให้เย่คงซองหนึ่ง เย่คงตกใจปากอ้าค้าง เจ้าคนขี้เหนียวนี่กลายเป็นคนใจกว้างอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? นิสัยของเขาเปลี่ยนไปเพราะปลุกพลังสายเลือดหรือนี่? เย่คงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เจ้าหมูอ้วนที่เขารู้จักอีกต่อไป ไม่เพียงแต่เจ้าหมูอ้วนนี้ไม่เศร้าเท่านั้น เขายังไม่อิจฉาเขาอีกด้วย และยังมอบอั่งเปาให้เขาอีกด้วย?
เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นด้านตะวันตก?
“นับจากวันนี้ไป เจ้าต้องเรียกข้าว่าคุณชาย เพราะตอนนี้ข้ากลายเป็นคุณชายจริงๆ แล้ว! ด้วยศักยภาพระดับพลังปราณก่อกำเนิดระดับสิบ ทั่วทั้งตระกูลไห่ตกใจกันหมด! พวกเจ้าน่าจะได้เห็นเมื่อผู้อาวุโสตระกูลของเราคนที่ไว้เครายาวเฟื้อยถึงท้องโค้งคำนับข้าอย่างสุภาพ ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมให้ข้าได้เข้าเรียนในสถาบันฉางจิง ไม่ว่าข้าจะขอร้องยังไงก็ตาม เขาเตะโด่งข้าไปเข้าเรียนสถาบันฉางชุนเถิงแทน ในที่สุดเมื่อวานนี้ เขาขอโทษข้าด้วยสีหน้าจริงจัง ฮ่าฮ่า เขายังขอโทษข้าในวันนี้อีกครั้ง เพราะเขากลัวว่าข้าจะไม่ยกโทษให้เขา นึกถึงเรื่องนี้ทำให้ข้ามีความสุขมาก! โอวจริงสิ, ใครต้องการสาวงามบ้าง? เจ้าบอกข้ามาได้เลย ตระกูลข้าบอกข้าว่าเขาเตรียมสาวงามพันคนไว้ให้ข้า พวกนางกำลังรอข้าไปมอบความรักให้พวกนาง… พี่น้องเอ๋ย.. ช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเรามาถึงจนแล้ว มาให้กำลังใจพวกเรากันเองเถอะ”
“เจ้าพวกงี่เง่าทุกคน!” ทันใดนั้นเย่ว์หยางปรากฏออกมาจากภายในบ้าน อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่ดีเลย เขาตะโกนทันทีที่อ้าปาก “ไปฝึกกันเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทุกคนเลย! เจ้าหมูอ้วน, เจ้าต้องโดนลงโทษเป็นพิเศษ ไปโดดกบแสนครั้ง! ไม่งั้นอดอาหารกลางวัน”
“โดดกบแสนครั้งก็ยังพอทน แต่ทำไมต้องให้ข้าอดอาหารกลางวันด้วยเล่า?” เจ้าอ้วนไห่โอดครวญขอความปราณี
“งั้นข้าก็ไม่สามารถลงโทษเจ้าได้ตอนนี้เพราะว่าเจ้ามีศักยภาพพลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสิบ ใช่หรือเปล่า?” เย่ว์หยางหัวเราะเยือกเย็น ทำให้เจ้าอ้วนไห่กลัวเหมือนหนูตัวหนึ่ง
ความจริงไม่ว่าจะเป็นศักยภาพพลังปราณก่อกำเนิดระดับสิบหรือปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งก็ตาม ทั้งหมดล้วนต้องการการฝึกฝนหนักหน่วงทั้งนั้น มิฉะนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถดึงพรสวรรค์ความสามารถออกมาได้ การปลุกพลังสายเลือดเป็นเพียงรูปแบบทดสอบขีดจำกัดของคน ช่วยให้พวกเขาได้รู้เป้าหมายที่พวกเขาต้องมุ่งมั่น พวกเขาจะไม่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งเพียงเพราะแค่ปลุกพลังสายเลือด เพียงแค่นั้นยังใช้ไม่ได้
แน่นอน ได้ปลุกพลังสายเลือดยังดีกว่าฝึกฝนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ขีดจำกัดของพวกเขา
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องมุ่นมั่นกับการฝึกฝนในอนาคตของพวกเขา พวกเขาสามารถปล่อยให้เย่ว์หยางจัดการเรื่องอื่นหลายๆ อย่างให้ได้ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะติดอยู่ในระดับเดียว ไม่สามารถบรรลุในระดับอื่นได้
เย่คงวิ่งออกไปหาเจ้าอ้วนไห่ที่กำลังโดดกบ และแข่งกันโดดกบแข่งกับเขาพลางถาม “หมูอ้วน! จะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยหรือ?”
“ยินดีด้วยไอ้น้อง! เจ้าสุดยอดจริงๆ ที่มีพลังและศักยภาพปราณฟ้าระดับหนึ่ง” เจ้าอ้วนไห่แสดงความยินดีเย่คงอย่างจริงใจ โดยไม่มีน้ำเสียงอิจฉาปนอยู่เลย
“…..” เย่คงไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง
“ข้าพูดไปแล้ว, เจ้าหน้าลิง, ทำหน้าอย่างนั้นหมายความยังไง? เจ้าคิดว่าจะแทนตำแหน่งพี่ใหญ่อย่างข้าได้หรือ ตอนนี้เจ้ามีพลังและศักยภาพระดับปราณฟ้าหรือยัง? ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ เจ้าลิงผอม! เป็นไปไม่ได้! อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่เย่ว์หยางก็ยังเรียกข้าว่าลูกพี่อยู่ลย เจ้าต้องรู้ไว้ เมื่อเป็นลูกพี่แล้ว ก็ต้องเป็นลูกพี่ตลอดไป!” เมื่อเจ้าอ้วนไห่พูดอย่างนี้แล้ว เขากระโดดกบช้าลงแล้วก็หยุด ฮุยไท่หลางที่รับหน้าที่ดูแลการฝึกฝนของพวกเขา เริ่มเห่าเจ้าอ้วนไห่เสียงดังลั่น เจ้าอ้วนรีบกระโดดกบต่อเป็นบ้าเป็นหลัง “เออๆๆ ข้าโดดต่อแล้ว ฮุยไท่หลาง ไม่ว่ายังไงก็ตาม ปกติข้าก็หาเนื้อให้เจ้ากินเป็นบางครั้งนะ เจ้าอย่าเข้มงวดนักได้ไหม? แค่อู้ฝึกฝนนิดหน่อย เย่ว์หยางไม่รู้หรอก…โอ๊ววว พระเจ้า ขนาดข้าแค่นินทาลับหลังเจ้า เจ้าไม่เห็นต้องปาระเบิดดวงดาวใส่ข้านี่?”
“บึ้มมมม!”
ระเบิดดวงดาวที่ลอยออกมาจากในบ้านเป็นทักษะใหม่ที่เย่ว์หยางลอกเลียนมาจากฝนดาวตกในสนามพลังดารานภากาศของจักรพรรดินีราตรี ระเบิดดวงดาวพุ่งข้ามท้องฟ้าและแตกอยู่เหนือศีรษะของเจ้าอ้วนไห่
พอเห็นว่าร่างของเจ้าอ้วนไห่ดำเป็นตอตะโก เย่คงรีบเผ่นหลบทันที
เจ้าอ้วนไห่ถุยฝุ่นสกปรกออกจากปาก “เจ้าลิงผอม, ความภักดีของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
เย่คงทำตาเหลือก “งี่เง่า คนที่แอบหนีกลับบ้านไปในช่วงเวลาสังเกตอาการโดยไม่ได้รับอนุญาตก็คือเจ้า ทำไมข้าจะต้องมารับการลงโทษด้วยเล่า? เว้นแต่ข้างี่เง่า…”
หลังจากเย่ว์หยางเสร็จงานช่วยเหลือพวกพ้องปลุกพลังสายเลือด ในที่สุดก็ได้เวลาที่เขาต้องค้นคว้างานใหญ่ให้สำเร็จ เพื่อเติมเต็มปณิธานข้อที่สามของภูตอัจฉริยะเย่ว์กง เย่ว์หยางยังคงวางแผนสร้างอสูรหุ่นนางฟ้านักรบ อสูรหุ่นชั้นศักดิ์สิทธิ์ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือค้นคว้าหุ่นนักสู้สาวแสนสวย ตามที่เย่ว์หยางนึกวาดภาพไว้ เขาจะสามารถสร้างนางฟ้านักรบระดับศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่ระดับเทพก็ยังได้
นางฟ้านักรบสิ่งประดิษฐ์ระดับเทพไม่เพียงแต่มีเลือดเนื้อ แต่ยังมีชีวิตมีสติปัญญา และมีลักษณะอีกสามอย่างคือ สามารถใช้ชีวิต, เรียนรู้และต่อสู้ได้
มีแม้กระทั่งความรู้สึก
ถ้าเขาสามารถสร้างหุ่นมีวิญญาณ นั่นคงเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนือระดับเทพแล้ว.. แน่นอนว่าเย่ว์หยางไม่รู้วิธีประดิษฐ์นางฟ้านักรบและสิ่งประดิษฐ์เหนือเทพ เขาไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างนางฟ้านักรบระดับเทพได้สำเร็จ
โชคดีที่ในสังเวียนมรณะ ระหว่างที่พวกเขาต่อสู้กับพวกจากแดนสวรรค์ เย่ว์หยางแอบเก็บเลือดของจื้อจุนไว้เล็กน้อย พร้อมกับเลือดของจักรพรรดินีราตรีและเลือดของราชันย์ปีศาจใต้ที่เขาเก็บไว้โดยบังเอิญ เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาน่าจะสามารถสร้างนางฟ้านักรบระดับเทพได้หากค้นคว้าต่ออีกเล็กน้อย, ราชาเฮยอวี้ได้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง, จักรพรรดิชื่อตี้หายสาบสูญ มารสัมฤทธิ์ฟ้า, จักรพรรดิมังกรและจักรพรรดิใต้พิภพทุกคนต่างตามล่าราชาเฮยอวี้ ทวีปมังกรทะยานสงบสุขปราศจากสงครามชั่วคราว ดังนั้นเย่ว์หยางจึงมีเวลาค้นคว้าวิจัยนางฟ้านักรบช้าๆ
เผ่าพันธุ์ทะเลก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคาม นอกจากนี้ พวกเขายังมีราชาฉลามเป็นหมากลับที่พวกเขาวางไว้ในกลุ่มชาวเผ่าพันธุ์ทะเล
เพื่อเป้าหมายค้นคว้านางฟ้านักรบ เย่ว์หยางต้องการที่สงบเงียบและสามารถตั้งสมาธิได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเขากังวลว่าจะมีปัญหาระหว่างปลุกพลังสายเลือด และว่าเขาจำเป็นต้องอยู่ต่ออีกสองสามวันเพื่อสังเกตอาการเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ เย่ว์หยางคงแยกตัวไปนานแล้ว
พอมีพวกเขาอยู่ที่นั่น เย่ว์หยางไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับสาวๆ ของเขาได้ โดยเฉพาะเมื่อหลิวเย่และเป่าเอ๋ออยู่ที่นั่น พวกนางจะตามรบเร้าเย่ว์หยางทั้งวัน ทำให้เขาไม่สามารถคลุกคลีกับสาวๆ อันเป็นที่รักของเขาได้เลย… เสวี่ยอู๋เสียและเจ้าเมืองโล่วฮัวเพิ่งได้รับจดหมายของจักรพรรดินีราตรีขอให้พวกนางเดินทางไปฝึกอีกที่หนึ่ง นางเซียนหงส์ฟ้ายังตามพวกนางไปร่วมสนุกด้วย
แม้ว่าการฝึกฝนของนางจะเป็นข้ออ้าง แต่ความต้องการคืนดีกับจื้อจุนพี่สาวนางนั้นเป็นเรื่องจริง
อี้หนานและเย่ว์ปิงใช้เวลาฝึกฝนหนักเป็นส่วนใหญ่
นอกจากฝึกฝนหนักทั้งวันแล้ว พวกนางยังต้องไปที่วังเทียนหลัวเพื่อเยี่ยมแม่สี่ทุกวัน
“หยกสุบิน…” เย่ว์หยางเอาหยกสุบินออกมาดูทุกคืน เขาต้องการใช้มัน แต่เขากลัวว่าเขาจะทำลายสมบัติทรงค่าทันทีที่เขามีความฝัน
“เสี่ยวซาน ในโลกนี้ใช่ว่าจะมีเรื่องสมบูรณ์ไปทุกอย่าง ถ้านางฟ้านักรบสามารถสร้างได้ถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นก็นับว่าดีมากแล้ว แม้ว่าปณิธานของบรรพบุรุษเย่ว์กงจะสำคัญ แม้ว่าเราไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้ แต่บรรพบุรุษของเราคงจะไม่ตำหนิพวกเราเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ถ้าจะต้องล้มเหลวในตอนนี้ เรายังคงลองอีกก็ได้” เมื่อเย่ว์หวี่เห็นเย่ว์หยางว้าวุ่นใจ นางให้คำแนะนำเขาอย่างอดทน มีเพียงเย่ว์หวี่ที่คอยรับหน้าที่ดูแลเย่ว์หยางและค้นคว้าเรื่องที่น่าสนใจบางอย่าง ได้รู้ถึงพลังที่น่าตกใจของนางฟ้านักรบที่เย่ว์หยางกำลังค้นคว้า ถ้าอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและจุนอู๋โหย่วรู้ว่าหุ่นกลที่เย่ว์หยางสร้างสามารถบรรลุถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างน้อย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาอาจหัวใจวายก็เป็นได้
“พี่สาวรองหมายถึงปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาใช่ไหม?” ตอนแรกเย่ว์หยางลังเลใจ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเย่ว์หวี่ เขาก็ทำใจได้
อย่างไรก็ตาม เขาเตรียมวัสดุไว้มากมาย เขาเตรียมการทุกอย่างเสร็จสรรพ แต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับฟ้า
นางฟ้านักรบนี้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือระดับเทพกันแน่?
ปล่อยให้ฟ้าช่วยตัดสิน!
******************