ตอนที่ 6 – เย่ว์ปิงในชุดดำ
===============
ตอนบ่ายวันต่อมา หญิงรับใช้วัยกลางคนผู้ที่คอยเอาอาหารมาให้แล้วมักถอยกลับไปเงียบๆ วันนี้อยู่ๆ นางเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสาม! นายหญิงขอให้คุณชายออกมาทานอาหารกลางวันข้างนอกค่ะ”
เย่ว์หยางตามนางออกไปที่ห้องโถงมองเห็นหญิงงามยังร้องไห้ไม่หยุดกำลังกอดหญิงสาวชุดดำ
ปกติเด็กหญิงจอมซนก็ทำตัวดีได้สักครั้งเหมือนกัน เธอนั่งทานอาหารเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้มือเล็กๆ ของเธอจัดตะเกียบอย่างเก้งก้างพยายามคีบข้าวใส่ปากน้อยๆ ของเธอ ปล่อยข้าวให้หกอยู่ทั่วมุมโต๊ะและปากของเธอ เย่ว์หยางเห็นว่าเด็กสาวชุดดำยังคงดูเด็ก อายุราวๆ 14-15 ปี มีเค้าคล้ายหญิงงามอยู่บ้าง เพียงแต่นางเด็กกว่ามาก ตาของนางแดงเล็กน้อยขณะที่น้ำตาอาบแก้มที่ขาวซีดของนาง
เมื่อนางเห็นเย่ว์หยางนางรีบเช็ดน้ำตาและคลุมหน้าด้วยผ้าคลุมดำ
“…” เย่ว์หยางถึงกับทอดถอนใจ
ในทวีปมังกรทะยาน นอกจากเคยเห็นผู้หญิงที่เป็นโจรหรือนักฆ่าแล้ว ผู้หญิงอีกประเภทที่แต่งชุดดำ มีผ้าดำคลุมหน้า ก็คงมีแต่หญิงหม้าย
หญิงสาวที่อยู่ในชุดดำคงเป็นบุตรสาวคนแรกของหญิงงาม ชื่อว่าเย่ว์ปิง
นางอยู่ในลำดับที่เจ็ดในบรรดารุ่นผู้เยาว์ในตระกูลเย่ว์ 9 คน ก่อนหน้าชวงเอ๋อน้องสาวนางที่เป็นคนเล็กที่สุดมาจากตระกูลสาขาที่สองชื่อเย่ว์เฟิง นางเป็นผู้มีพรสวรรค์ในตระกูลเย่ว์ ทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้สำเร็จเมื่ออายุ 8 ปีครึ่ง เป็นเรื่องเศร้าที่แผ่นดินมังกรทะยานให้คุณค่ากับบุรุษมากกว่าสตรี ขณะที่พวกเขาถือว่าสตรีเป็นได้เพียงสะใภ้หรือไม่ก็นางบำเรอ ไม่ช้าก็เร็วพวกนางก็จะแต่งเข้าตระกูลอื่น ดังนั้น แม้ว่าตระกูลเย่ว์จะรักและยกย่องนาง นางก็ไม่มีทางเทียบกับเย่ว์เทียนบุตรคนโตที่สุดของตระกูลสาขาแรก หรือแม้แต่บุตรชายคนอื่นๆ ในตระกูล นอกจากนี้ยังมีอัจฉริยะในตระกูลเย่ว์รุ่นนี้อยู่บ้าง เย่ว์เทียนบุตรคนแรกแห่งตระกูลสาขาทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญตอนอายุ 10 ปีและมีวิทยายุทธและสัตว์อสูรชั้นยอด บุตรชายลำดับที่สี่เย่ว์เหยียนทำสัญญากับคัมภีร์ตอนอายุ 11 ปี ขณะที่บุตรชายลำดับที่หกเย่ว์เป๋าทำสัญญาได้สำเร็จตอนอายุ 12 ปี
กลุ่มผู้ที่พรสวรรค์อ่อนลงมาก็คือบุตรสาวลำดับที่สองของตระกูลนามเย่ว์อยู่และบุตรชายลำดับห้า เย่ว์ถิงทั้งคู่ทำสัญญาสำเร็จตอนอายุ 15 ปี
ดังนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว เย่ว์ปิงผู้มาจากสาขาตระกูลลำดับที่สี่ ไม่มีอะไรที่โดดเด่นนัก ยิ่งไปกว่านั้น วิทยายุทธและสัตว์อสูรของนางเป็นรูปแบบพฤกษาซึ่งไม่ได้รับรับความนิยมมากนักในวงการนักอัญเชิญ ทั้งบรรดานิกายใหญ่ 4 นิกาย มีเพียงนิกายวิหารวิญญาณอมตะเท่านั้นที่ยอมรับศิษย์สตรี ให้ความสนใจประเมินคุณค่านาง ส่วนอีก 3 นิกายไม่สนับสนุน
แต่เพราะมีอัจฉริยะในผู้เยาว์ตระกูลเย่ว์รุ่นหลังอยู่มาก เมื่อตระกูลสาขาสามและภรรยาเสียชีวิตและเจ้าคนที่น่าสงสารถูกตระกูลสาขาลำดับสี่อุปการะไว้ คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่เขาถูกระบุว่าเป็นผู้แพ้ในเมื่อยังคงล้มเหลวในการทำสัญญากับคัมภีร์กระทั่งอายุ 19 เย่ว์หยางคิดว่า ไม่น่าแปลกที่บุตรสาวตระกูลเสวี่ยถึงกับขอให้ยกเลิกการหมั้น ถ้านางอยู่ในตระกูลคนที่มีพรสวรรค์แล้วยังต้องมาแต่งกับสามีขี้แพ้ แล้วนางจะรับภาระได้ยังไง?
เทียบกับคนอื่นๆ แล้วมีแต่จะสูญสียต่อเนื่อง หลังจากถอนหมั้นแล้ว ในที่สุดเจ้าคนที่น่าสงสารคงทนแบกรับต่อไปไม่ไหวจนไปโดดน้ำตาย
อย่างไรก็ตาม เย่ว์ปิงก็โชคไม่ดีพอๆ กับเขา แต่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย
แน่นอนว่า นางไม่ได้ถูกปฏิเสธการหมั้นหมาย นางแต่งงานกับบุตรชายผู้ที่มีพรสวรรค์จากหนึ่งในสี่ตระกูลหลัก บ้านตระกูลเฟิง ผ่านการแต่งงานเป็นตัวแทนเชื่อมสัมพันธ์ตระกูล อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 ปีก่อนระหว่างฝึกสัตว์อสูร เขาโชคร้ายถูกจ้าวป่าทองฆ่าตาย ทำให้เย่ว์ปิงกลายเป็นม่ายก่อนแต่งเข้าตระกูลของเขา
คนในแผ่นดินมังกรทะยานเชื่อถือโชคลาง และพวกเขาเชื่อทันทีว่าเย่ว์ปิงเป็นหญิงกาลกิณีนำโชคร้ายมาให้สามีนาง
นั่นคือสาเหตุ แม้นางจะเป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ คือบ้านสกุลเย่ว์ ก็ไม่มีใครต้องการแต่งงานกับนาง ใครๆก็หวงแหนบุตรหลานตนเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครยินดีเสี่ยงยื่นมือไปขอแต่งงานกับนางและทำให้ลูกหลานต้องถูกฆ่าโดยไม่ได้อะไร
“ยินดีด้วยนะ พี่สาม!” เย่ว์ปิงกระซิบแผ่วเบา ขณะที่ค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดมารดานาง จากนั้นลุกขึ้นยืนหมายจะกลับไปที่ห้องของนาง
“พี่สามของเจ้าไม่ใช่คนแปลกหน้านะ ปิงเอ๋อ! อย่ามัวแต่กินข้าวในห้องเจ้าเลย เราทั้งหมดมาร่วมกันทานข้าวด้วยกันในฐานะที่เป็นครอบครัวตรงนี้เถอะ” หญิงงามดึงปิงเอ๋อกลับมานั่ง
“ค่ะ” เย่ว์ปิงลังเลเล็กน้อยแต่ก็ดึงผ้าคลุมหน้าออกในที่สุด… ชามตะเกียบเตรียมไว้ให้นางแล้ว นางค่อยๆ กินอาหารคำแล้วคำเล่า แต่อยู่ๆ นางเอ่ยถามเย่ว์หยางว่า “พี่สาม! สัตว์ผู้พิทักษ์ที่พี่ได้มาเป็นรูปแบบอะไรเหรอ?”
“มันเป็นรูปแบบควันนะ” เย่ว์หยางตระหนักว่าทุกๆ คำที่ออกมาจากปากเขาตั้งแต่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ล้วนแต่โกหกทั้งสิ้น
“รูปแบบองค์ประกอบธาตุ.. ข้ายังไม่เข้าใจรูปแบบนั้นดีนัก ในโรงเรียน ข้าเป็นแค่นักเรียนนอกเวลา ดังนั้นเรียนมาแค่รูปแบบต่อสู้เพียงแบบเดียว ข้าไม่รู้จักรูปแบบองค์ประกอบธาตุแม้แต่อย่างเดียว” เย่ว์ปิงเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นพูดต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าคงสอนทักษะการอัญเชิญพื้นฐานให้ท่าน โดยอัญเชิญดอกหนามพ่นพิษออกมา แต่ว่าต้องใช้พื้นที่คัมภีร์อัญเชิญหนึ่งหน้านะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” เย่ว์หยางรู้ความสามารถตนเองดี เขามีเงาปีศาจเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ซึ่งเรียกมาแล้วอยู่ได้นานถึง 10 วันแล้วยังมีปราณขั้นก่อกำเนิดกระบี่ไร้ลักษณ์อีกด้วย การสละเนื้อที่คัมภีร์อัญเชิญไม่กี่หน้าและจำนวนสัตว์อสูรไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา
แต่เนื่องจากสาวน้อยผู้นี้ต้องการจะสอนเขาและเขาต้องการจะเรียนรู้จากนางไว้บ้าง
เขาคงได้ตอบแทนความหวังดีของหญิงงามและสร้างความคุ้นเคยทักษะอัญเชิญมากขึ้น ใครจะรู้ เขาอาจได้ใช้ดอกหนามพ่นพิษต่อสู้ในอนาคตก็ได้
เย่ว์ปิงไม่ใช่คนช่างพูด นางพยักหน้าและทานอาหารอย่างสงบจนเสร็จ และแล้วแม่หนูน้อยก็ลุกพรวดยืนบนเก้าอี้และเหยียดตะเกียบออกไปหมายจะคีบปลารมควันที่อยู่ห่างเกินเอื้อม มองๆ ดูเธอแล้ว มือข้างพยายามยื่นตะเกียบออกไป อีกข้างหนึ่งค้ำตัวเองอยู่บนโต๊ะ เย่ว์หยางไม่ทันได้ช่วย แต่รู้สึกเกรงว่าเธอจะพลาดพลั้งตกลงไป หญิงงามตีมือเธอเบาๆ แล้วดุเธอว่าไม่มีมารยาท เด็กหญิงตัวสั่นด้วยความตกใจ แต่ก็ยังคงคีบปลารมควันชิ้นใหญ่ไว้ ยืดอกขึ้นยิ้มอย่างอารมณ์ดี จากนั้นหันไปแลบลิ้นใส่เย่ว์หยาง
ใครจะรู้ ว่าเธอดีใจกับตัวเองเกินไปจนลืมไปว่าตนเองยังยืนอยู่บนเก้าอี้ และเก้าอี้สั่นจนขาแม่หนูน้อยเสียการทรงตัว ทำให้ร่วงลงไปที่พื้น “อ๊า”
เย่ว์หยางรีบวางชามข้าวลงแล้วใช้เทคนิคแบบนักบาสเก็ตบอลพุ่งไปรับไว้ เขา 2 มือยื่นไปรับศีรษะและสะโพกเธอก่อนที่เธอจะกระแทกกับพื้น
การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันและน้ำหนักจากตัวเขาทำให้ได้ยินเสียงแตกเล็กน้อยขณะที่รับเธอไว้
โชคดีที่มือเขายังมั่นคงและเด็กหญิงไม่ลื่นหลุดจากมือเขา
“พี่สาม! ยอดมาก!” เด็กหญิงยังคงตกใจจนหน้าซีด แต่ชั่วเดี๋ยวเดียว เธอก็ลืมเรื่องที่ลื่นตกเก้าอี้ แต่กลับขึ้นไปนั่งอยู่บนตัวเย่ว์หยางแทนหัวเราะคิกคักใส่เขาอย่างสบายใจเหมือนหมีโคอาลา
หญิงงามรู้สึกตัวจากอาการช็อคและโกรธลุกขึ้นยืน ตั้งใจว่าจะดุแม่ปีศาจน้อยนางนี้
หนูน้อยไม่รอให้ถูกดุรีบวิ่งหนีออกไปทันที
“ซานเอ๋อ! บาดเจ็บหรือเปล่า?” หญิงงามยื่นมือมาหมายจะช่วยประคองให้เย่ว์หยางลุกขึ้น
“ไม่, ข้าไม่เป็นไร” เย่ว์หยางไม่แสดงความอ่อนแอให้นางเห็น รีบลุกขึ้นจากพื้นเอง ความจริงเขาไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใดเลย รู้สึกโหวงเหวงไปชั่วขณะ เพราะตกใจกับความเร็วในปฏิกิริยาโต้ตอบของตน ปกติเขาเป็นคนที่เฉื่อยชาปฏิกิริยาโต้ตอบช้า เขากลายเป็นคนปราดเปรียวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่? เป็นไปได้ว่า คงเป็นผลมาจากการฝึกวิชาปราณก่อกำเนิดกระบี่ไร้ลักษณ์กระมัง? แต่เขาเพิ่งจะฝึกไม่กี่วันเอง
ปราณธรรมชาติกระบี่ไร้ลักษณ์นี่ สุดยอดเป็นบ้า
เย่ว์หยางตื่นเต้นเหลือจะกล่าว แต่ยังคงทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารกินอาหารกลางวันต่อไปเงียบๆ
เย่ว์ปิงตะลึงงันจ้องมองเย่ว์หยาง พอหายงงแล้วจึงถามขึ้นว่า “พี่สาม! ท่านฝึกวิทยายุทธด้วยเหรอ? บางครั้งข้าก็ฝึกวิทยายุทธไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ข้าก็ยังรวดเร็วไม่พอ พี่สาม! ถ้าท่านทำสัญญากับสัตว์อสูรประเภทแข็งแกร่งในอนาคต บวกกับสัตว์ผู้พิทักษ์ธาตุควันของท่านพลังต่อสู้ของท่านจะเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ดูเหมือนว่า “ควัน”กับพลังโจมตี จะเข้ากันได้ทำให้พี่สามเติบใหญ่ก้าวหน้าได้แน่นอน
เมื่อหญิงงามได้ฟังเรื่องนี้ นางรู้สึกภูมิใจซานเอ๋ออย่างมาก ที่เขาคร่ำเคร่งฝึกฝนด้วยตนเอง แต่นางกังวลขึ้นมาบ้าง
ทั้งนี้เป็นเพราะในสายตานาง เมื่อมีวิทยายุทธก็หมายถึงต้องไปเป็นทหาร ขณะที่วิชาอัญเชิญเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับคนผู้มีอนาคตรุ่งเรือง
นางคีบซี่โครงหมูชิ้นที่หอมกรุ่นดูน่าอร่อยให้เย่ว์หยางแล้วพูดว่า “ซานเอ๋อ! คงต้องเป็นเรื่องลำบากสำหรับเจ้าที่ปกปิดการฝึกวิทยายุทธไม่ให้เรารู้ ครั้งก่อนเจ้ายังไม่มีคัมภีร์อัญเชิญอยู่เลย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้ามีคัมภีร์อัญเชิญแล้ว ดังนั้นเจ้าควรให้ความสำคัญกับการฝึกทักษะอัญเชิญให้ก้าวหน้าขึ้นไป”
ความจริงคนที่แอบฝึกวิทยายุทธก็คือเจ้าคนผู้น่าสงสาร ไม่ใช่ผม.. คำพูดเหล่านี้ เย่ว์หยางไม่ได้พูดออกไป เขาพยักหน้าแทนคำตอบเหมือนกับยอมรับคำพูดของหญิงงาม
เขายังคงรู้ว่าในทวีปมังกรทะยาน คนผู้ฝึกทักษะอัญเชิญจะมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญกว่าผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ
คนที่ฝึกวิทยายุทธเหล่านั้นเปรียบเหมือนกับคนเรียนไม่จบมัธยมต้นด้วยซ้ำและจะต้องกลายเป็นเกษตรกรหรือไม่ก็กรรมกร ขณะที่คนผู้ฝึกทักษะการอัญเชิญเปรียบเสมือนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แม้ว่าทั้งสองประเภทจะเข้าทำงานบริษัทเดียวกันและทำงานเดียวกัน พวกเขาจะได้รับการดูแลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลังจากอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เย่ว์ปิงเดินตามเย่ว์หยางมาถึงลานว่างในห้องพักของเขา ขณะที่นางเตรียมตัวสอนเย่ว์หยาง หรือพี่สามตัวปลอม ด้วยความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนมาจากโรงเรียน
****************************