===============
ในสายตาเย่ว์ปิง พี่สามของนางไม่เคยไปโรงเรียน แต่ก็ควบคุมสัตว์อสูรได้ดีกว่านักเรียนปีสองในโรงเรียนของนางเสียอีก
ไม่ได้เรียนวิธีการควบคุมแต่อย่างใดเลย เขาเรียนรู้วิธีควบคุมดอกหนามให้โจมตีเป้าหมายด้วยตัวเอง เขาผสานจิตกับดอกหนามแล้วส่งกระแสความคิดไปที่มันได้ วิธีนี้สำหรับนักเรียนแผนกพฤกษาทุกคนถือเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ เมื่อพวกเขาเรียนรู้วิธีควบคุม
ทำไม พี่สามถึงทำได้อย่างง่ายดายนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีใครสอนเขาด้วย
เพียงชั่วเวลาไม่กี่วินาที เขาก็สั่งให้ดอกหนามพ่นพิษที่เขาเพิ่งทำสัญญาเสร็จแล้วอัญเชิญออกมาครั้งแรกพ่นพิษใส่เป้าหมายได้
ช่างดูเป็นธรรมชาติและคิดได้เร็ว ทันทีที่เขาเข้าโรงเรียนได้ บางทีเขาอาจได้รับพิจารณาจากคณาจารย์ในฐานะผู้เป็นอัจฉริยะที่หลายร้อยปีจะมีปรากฏสักครั้ง
เย่ว์ปิงมองดูเย่ว์หยางผู้ทำหน้าหดหู่ผิดหวัง นางรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะทักษะที่ทำได้เร็วดั่งใจของเขา แต่จากความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ ถูกคนอื่นๆ ล้อเลียนว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทักษะโดยธรรมชาติของเขาน่าเกรงขามขนาดไหน
“หา?” แต่เย่ว์หยางที่เดิมทีตั้งใจว่าจะแอบหลบมุมนั่งวาดวงกลมแก้เขิน มองเห็นดอกหนามพ่นพิษของเขาเหี่ยวแห้งกองลงกับพื้น ข้อมูลแว่บเข้ามาในใจเขาจนเขาต้องตบหน้าผากอีกครั้ง เขานี่โง่จริงๆ
ความได้เปรียบของดอกหนามพ่นพิษที่ต่างจากสัตว์อสูรประเภทอื่นก็คือมันไม่ต้องการอาหารหรือคอยดูแลใดๆ เลย นอกจากนี้ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขเฉพาะที่จะดำรงคงอยู่ได้ สัตว์อสูรประเภทสัตว์ทั่วไปและประเภทสัตว์ร้ายจำเป็นต้องได้อาหารเพื่อไว้ใช้โจมตีด้วยพลังเวทของพวกมัน ขณะที่สัตว์อสูรประเภทแมลงและจำพวกปลาจำเป็นต้องมีเงื่อนไขหลายอย่าง ถึงจะดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ เทียบกับพวกมันแล้ว ประเภทพฤกษาและประเภทหุ่นเชิดควบคุมง่ายที่สุด ถ้าสัตว์อสูรจำพวกหุ่นเชิดเสียหาย มันก็แค่ถูกนำไปที่ตำหนักหุ่นเชิดเพื่อทำการซ่อมแซม อย่างไรก็ตาม ถ้ามันถูกทำลาย ก็อาจจะซ่อมไม่ได้ อีกอย่างข้อเสียเปรียบใหญ่หลวงของอสูรจำพวกหุ่นเชิดก็คือ พวกมันฟื้นคืนชีพไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม สัตว์อสูรจำพวกพฤกษาฟื้นคืนชีพได้ แต่ข้อเสียเปรียบใหญ่หลวงที่สุดของมันก็คือความเร็วในการเคลื่อนไหว พวกมันอืดอาดมาก
นอกจากนี้ พวกมันไม่ฉลาดเสียเลย ดังนั้นแทนที่จะฝึกกับดอกหนามพ่นพิษ ใครๆ มักจะฝึกกับหมาป่าวายุ, เสือดาวเงาและสัตว์ที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้อย่างใกล้ชิดแทน
อย่างไรก็ตาม ดอกหนามพ่นพิษก็มีความได้เปรียบในตัวมันเอง ข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่ที่สุดของมันก็คือมันสามารถกินศพและมีพัฒนาการได้ต่างจากสายหุ่นเชิด ตราบใดที่มันยังมีชีวิต พวกมันกินได้ย่อยได้อย่างช้าๆ จากนั้นมันจะวิวัฒนาการและเพิ่มระดับพลังในศพได้
มันแค่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น ดอกหนามต้นนี้ยังเล็กและอ่อนแอมาก การพ่นพิษครั้งหนึ่งจะใช้พลังของมันทั้งหมด ดังนั้นมันจึงเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความมันตายจริงๆ ถ้าถูกทำลายโดยจงใจ อย่างนั้นมันก็คงฟื้นไม่ได้
บรรดาสัตว์อสูรอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์หรือสัตว์อสูรในตำนาน มีอยู่เพียงประเภทเดียวที่ไม่ตาย ก็คือสัตว์อสูรผู้พิทักษ์จากคัมภีร์อัญเชิญ
สัตว์ผู้พิทักษ์เป็นสัตว์อสูรประเภทหนึ่ง ต่อให้ต้องตายก็ไม่หักหลังผู้อัญเชิญของพวกมัน ส่วนสัตว์อสูรประเภทอื่นมีระดับความภักดีของพวกมันเอง ถ้ามีความภักดีต่ำ สัตว์อสูรอาจหนีไประหว่างสู้ดุเดือดก็ได้ ร้ายที่สุดคืออาจหายตัวไปจากคัมภีร์อัญเชิญเองก็ได้
“ดูเหมือนว่าท่านจะสังเกตได้แล้ว ใช่ สัตว์อสูรสายพฤกษาต่างจากสัตว์อสูรสายอื่นๆ พวกมันมีความสามารถที่พิเศษ และนั่นก็คือ หยั่งราก” จากนั้นเย่ว์ปิงสั่งให้ต้นดอกหนามพ่นพิษของนางพ่นพิษบ้าง และมันก็กระทบเข้าที่กลางเป้าบนผนังอย่างรวดเร็ว การลงมือโดยไม่ผิดพลาดของนางทำให้เย่ว์หยางหน้าแดงด้วยความละอาย
นางเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของครอบครัวอย่างแน่นอน ฝีมือนางสุดยอด
จากนั้นดอกหนามพ่นพิษของเย่ว์ปิงเริ่มค่อยๆเฉาลง อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หายไปเหมือนกับของเย่ว์หยาง
ดอกหนามของนางแค่ล้มลงกับพื้น และอย่างช้าๆ ช้ามากๆ มันจึงค่อยตั้งตรงได้อีกครั้ง
เย่ว์ปิงทำเหมือนเป็นครูขณะอธิบายให้เย่ว์หยางฟัง “ตอนนี้ ข้าแค่สั่งให้ดอกหนามหยั่งรากลงในดิน ตราบใดที่มันยังสัมผัสพื้นดิน มันก็สามารถเติมพลังจากโลกได้ ต้นดอกหนามนี้จะฟื้นตนเองได้ราวๆ 10 นาที และมันจะไม่เหี่ยว
เย่ว์หยางเป็นเหมือนนักเรียนที่ตั้งใจฟังครูขณะที่ผงกศีรษะอย่างอารมณ์ดี “เข้าใจแล้ว งั้นข้าขอลองอีกครั้งนะ”
“เอ๋?” เย่ว์ปิงชะงักเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ลองอีกครั้ง?
เขาเพิ่งทำสัญญากับคัมภีร์ไม่ใช่เหรอ? ผู้ทำสัญญากับคัมภีร์ใหม่ๆ น่าจะเป็นได้แค่ระดับเริ่มฝึกนี่, และผู้เริ่มฝึกน่าจะอัญเชิญสัตว์อสูรได้วันละ 1 ตัว ดอกหนามพ่นพิษที่เขาอัญเชิญออกมาก็เหี่ยวเฉาหายไปแล้ว เขายังจะลองอีกเพื่ออะไรกัน? นางเองอยากจะถือโอกาสให้ความรู้เขา บอกเขาว่า ควรจะปกป้องสัตว์อสูรของเขาให้ดี อย่าปล่อยให้พวกมันตายง่ายๆ ทั้งนี้เป็นเพราะมีข้อจำกัดที่จำนวนครั้งที่คนๆ หนึ่งจะเรียกสัตว์อสูรของพวกเขาออกมา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่างสู้รบหรือฝึกธรรมดาๆ เขาก็น่าจะดูแลสัตว์อสูรที่เรียกออกมาให้ดี…
เขา, เขายังเรียกสัตว์อสูรอื่นได้อีกหรือ?
ตรงกันข้าม, เย่ว์หยางไม่รู้ว่าในใจเด็กสาวคิดอะไรอยู่ เขาตื่นเต้นพยายามเรียกต้นดอกพ่นพิษต้นอื่นออกมา จากนั้นก็ตั้งใจอย่างหนักเพื่อให้ดอกหนามหยั่งรากลงพื้น
“สำเร็จแล้ว, ในที่สุดข้าก็ทำจนได้” เย่ว์หยางปรบมืออย่างมีความสุข แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อัจฉริยะ แต่อย่างน้อยเขาคงไม่ใช่พวกระดับหัวปานกลางแน่
พอเห็นพฤติกรรมทั้งหมดนี้ เย่ว์ปิงแทบจะทรุดลงกับพื้น
และด้วยเหตุนี้น้องสาวสุดประหลาดกับพี่ชายกำมะลอจึงเริ่มหยอกล้อกันบ้างแล้ว
“พี่สาม! ท่านเพิ่งจะทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญไม่ใช่เหรอ? ข้าว่า.. ท่านเพิ่งทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้สำเร็จเมื่อไม่กี่วันมานี่เองใช่ไหม?” เย่ว์ปิงที่ยังตกใจละล่ำละลักถาม
“ใช่, ถูกแล้ว” เย่ว์หยางพยักหน้าขณะตอบ
“อย่างนั้นระดับท่านในตอนนี้เล่า? เป็นระดับ 1 ผู้เริ่มฝึกหัด หรือว่าระดับ 2 ผู้กล้า”
“ระดับ 1 ผู้เริ่มฝึกหัด” เย่ว์หยางตอบตามจริง
“ท่านเป็นระดับ 1 ผู้ฝึกหัดของกลุ่มชั้นไหน? ชั้นเริ่มต้น, ชั้นกลาง, หรือชั้นสูง? ท่านเกินระดับ 2 มามากขนาดไหนแล้ว? ที่ข้าหมายถึงก็คือ บางทีระดับของท่านอาจปรับขึ้นไปที่ระดับ 2 โดยท่านไม่รู้ตัวและเป็นผู้เริ่มต้นของชั้นผู้กล้าไปแล้วใช่ไหม?” เย่ว์ปิงถามด้วยความอยากรู้เต็มเปี่ยม
“ไม่นะ, มันจะนเร็วขนาดนั้นได้ยังไง, ดูสิ ข้ายังอยู่ในกลุ่มเริ่มต้น ระดับ 1 ผู้เริ่มฝึกหัด การปรับขึ้นเป็นระดับ 2 เป็นเรื่องยากมากๆ นั่นแหละที่ข้ารู้.” แม้ว่าเย่ว์หยางจะอยู่ที่นี่มาได้ไม่กี่วัน จะมากหรือน้อยเขาก็เข้าใจว่าได้ความรู้จากคัมภีร์อัญเชิญ เขาหันคัมภีร์อัญเชิญสีทองแดงของเขาเปิดดูหน้าสถิติแล้วให้เย่ว์ปิงได้เห็นระดับและการจัดกลุ่มเขา หลังจากยืนยันสิ่งที่บอกให้นางฟัง สาวน้อยรู้สึกมึนงง ขณะที่ถามว่า “พี่สาม! ผู้ฝึกหัดระดับ 1 ทำได้เพียงเรียกสัตว์อสูรได้ 1 ตัวต่อ 1 วันเท่านั้น แล้วท่านเรียกออกมาถึง 2 ตัวได้ยังไง?”
“อ๋อ…” เย่ว์หยางเกาหัวตนเอง “ความจริง ข้าไม่ได้เรียกออกมา 2 ตัวหรอกนะ”
“ไม่ได้เรียกอย่างนั้นเหรอ? แล้วนี่มันอะไร?” เย่ว์ปิงชี้ไปที่ต้นดอกหนามพ่นพิษที่เย่ว์หยางเพิ่งเรียกออกมา หรือว่านางฝันไป?
“นั่นมันดอกหนามพ่นพิษที่เหี่ยวเฉา ที่ข้าเรียกออกมาก่อนนั้นไง” เย่ว์หยางรู้สึกแปลก มีบางอย่างผิดไปอย่างนั้นหรือ?
“ถึงจะเป็นต้นเดียวกัน มันก็เหี่ยวเฉาตายไปแล้วนี่, ดังนั้นท่านจะไม่สามารถเรียกมันออกมาได้อีกในวันนี้ แล้วท่านเรียกออกมาอีกได้ยังไง?” เย่ว์ปิงสับสนจนเกือบเป็นลม เป็นไปได้ว่าพี่สามของนางคือยอดอัจฉริยะที่พันปีจะปรากฏมีมาครั้งหนึ่ง ซึ่งก็มีแต่ในตำนานเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ตามที่ตำนานกล่าวไว้ มีอัจฉริยะผู้หนึ่งเติบโตมาแบบผิดปกติสามารถเรียกสัตว์อสูรที่เขาทำสัญญาได้ถึง 2 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะอย่างนั้น อย่าว่า 100 ปีเลย ต่อให้เป็นพันปีก็ยังหาได้ยาก
เป็นไปได้ว่าพี่สามของนางเป็นอัจฉริยะประเภทนั้นหรือ?
เย่ว์ปิงมองเย่ว์หยางอีกครั้งด้วยสายตาที่แตกต่างไป นางได้พบยอดอัจฉริยะเข้าให้แล้ว
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าตนเองต่างจากคนอื่นๆ เขาพยายามอธิบายทั้งที่ยังสับสนอย่างนั้น “ความจริง, ดอกหนามไม่ได้ตายหรอก ตอนที่ข้าเรียกดอกหนามออกมาครั้งแรก ข้าแค่แยกให้มันเป็น 2 ข้าเก็บต้นหลักของมันไว้ก่อนและเรียกออกมาแค่กิ่งของมัน แต่ต้นหลักของมันและส่วนที่เรียกออกมามีพลังเสมอกัน ตอนนี้ที่ตายไปก็แค่กิ่งของมัน แต่ต้นหลักยังคงอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่มีผลอะไร..แน่นอน การอัญเชิญแบบนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก…”
“อะไรนะ ท่านพูดอะไร? ท่านรู้วิธีอัญเชิญแบบขยายพันธุ์ด้วยหรือนี่?” เย่ว์ปิงรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงอยู่รอบตัว
******************