===============
“มาเถอะ..มาหารือกลยุทธการต่อสู้ของพวกเรา” เจ้าเมืองโล่วฮัวเป็นคนชอบความเสมอภาค ดังนั้นนางจึงไม่สนใจปรึกษากับคนอื่น แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าเย่ว์หยางสนใจแต่ปรึกษากลยุทธบนเตียงเท่านั้น ขณะที่กลยุทธในการต่อสู้จริง เย่ว์หยางไม่รู้แม้แต่อย่างเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังถามคนที่ไม่ชอบสังคมผู้ไม่เคยต่อสู้ในสนามรบจริงๆ มาก่อน คนที่ไม่เคยนำทัพมาก่อนโดยวางแผนรบ
ไม่มีกลยุทธในการรบ จะอันตรายยิ่งขึ้น
“ความจริงเราเคยอ่านคัมภีร์พิชัยสงครามซุนวูมาก่อน กลยุทธสูงสุดคือทำลายข้าศึกโดยไม่ต้องสู้ไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ตาม นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เงื่อนไขที่เป็นไปได้ เรายังได้อ่านกลยุทธรบแบบกองโจรของกองทัพแดง แต่น่าเสียดายที่ว่าไม่สามารถใช้กลยุทธแบบกองโจรได้แต่อย่างใด เราไม่สามารถใช้ระเบิดหรือสร้างสนามเพลาะได้…” เย่ว์หยางคิดอีก บรรดากลยุทธ 36 อย่าง อย่างไหนเหมาะสมที่จะใช้ที่นี่มากที่สุด? แม้จะคิดเป็นเวลานานอย่างเช่น ล้อมเว่ยช่วยจ้าว, ปิดฟ้าข้ามทะเล, ยืมดาบฆ่าคน หรือไม่ก็ล่อเสือออกจากถ้ำ ทั้งหมดไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้เลย กลยุทธปิดเมือง, กลทรมานสังขารเพื่อชนะความไว้วางใจศัตรู และกลกับดักสาวงาม เย่ว์หยางสงสัยว่า กลยุทธเหล่านั้นจะใช้ได้กับนางพญากระหายเลือดไหม? หลังจากขบคิดชั่วขณะ เย่ว์หยางรู้สึกว่ากลยุทธสุดท้ายใน 36 กลยุทธ ถ้าล้มเหลวทั้งหมด หนี คือสุดยอดกลยุทธ
เย่ว์หยางเคยสู้กับมังกรกระดูก อสูรทองแดงระดับ 7 มาก่อน หัวกะโหลกของมันแข็งมาก และเขาไม่สามารถเจาะมันได้โดยไม่ใช้ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ชั้นก่อกำเนิด
ตอนนี้ยังมีอสูรทองแดงระดับ 7 อีก นางปีศาจดาบสังหาร เขาคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่ไม่ควรไปก่อกวนนางอสูรตนนี้ ยังมีอสูรทองแดงระดับ 6 ภูตบินกรงเล็บรุ้ง คอยช่วยสนับสนุนจากทางอากาศ ก็ยังดี ถ้ามีแค่อสูร 2 ตนเหล่านี้ แต่ที่สำคัญกว่าทั้งหมด ยังมีอสูรทองระดับ 5 นางพญากระหายเลือดอีกด้วย
อสูรทองตนนี้มีลักษณะอย่างไรกันแน่? เย่ว์หยางสามารถจินตนาการถึงมันได้จากการต่อสู้กับไคเมรา 3 หัวที่วิหารราศีเมษ
ยิ่งไปกว่านั้น นางพญากระหายเลือดนี้ยังคงเป็นจ้าวอสูรทองอีกด้วย
จะอ่อนแออย่างไรก็ตาม นางก็ยังเป็นนางพญา
เจ้าเมืองโล่วฮัวยังคงจูงใจให้เย่ว์หยางสนใจ และแนะนำเขาให้คิดให้ดีกับการได้มีอสูรทองไว้อวดกับคนอื่น ดังนั้นเขาไม่ควรถอดใจง่ายๆ ทั้ง 2 คนเดินผ่านเขาหลายลูก แม่น้ำหลายสาย ใช้เวลาเดินทางมากกว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงใกล้ถิ่นนางพญากระหายเลือด ภูเขาลอยฟ้า
เขาลอยฟ้าเป็นชื่อของเกาะที่ลอยอยู่ในอากาศ
เกาะลอยฟ้าเหล่านี้ไม่มีอยู่ในทวีปมังกรทะยาน แต่มีอยู่ในทุกชั้นของหอทงเทียน อย่างน้อยก็ตั้งอยู่ในทุกชั้น แม้แต่ที่ๆ เหมือนกำแพงรายล้อมแดนดาวของวงกตศิลาดำก็ยังมี ท่านคงเห็นว่ามีก้อนหินขวางการมองเห็นของท่านลอยอยู่ในอากาศ แน่นอนว่า หินเหล่านั้นเรียกกันว่าหินลอยฟ้า ถ้าเกาะลอยฟ้ามีขนาดใหญ่เพียงพอดูเหมือนภูเขา มันจะถูกเรียกว่าภูเขาลอยฟ้า
อีกอย่าง เกาะที่เป็นระดับภูเขาลอยฟ้าในท้องฟ้าไม่ได้เป็นเกาะยักษ์ลอยฟ้าจริงๆ ความจริงมันเป็นของเกาะลอยฟ้าที่เล็กกว่าหลายๆ เกาะรวมกัน มันถูกเรียกแบบนั้น ไม่เพียงแต่สามารถสร้างเมืองอยู่บนเกาะยักษ์ลอยฟ้าได้เท่านั้น แม้แต่สร้างอาณาจักรก็ยังเป็นไปได้
ตัวอย่างเช่น เมืองผู้ปู้เฉิงของเจ้าเมืองโล่วฮัว ก็ถูกสร้างบนเกาะลอยฟ้า
ภายใต้ภูเขาลอยฟ้า ยังมีหน้าผาสูง 2 แห่งเชื่อมถึงกันและกัน มีหินลอยฟ้าจำนวนมากก่อตัวเป็นรูปบันไดโค้งที่คดเคี้ยว
บนยอดเขาสูงเทียมเมฆ มีศาลาที่สวยงามหลังหนึ่ง ไม่ทราบว่ามารดาของนางพญากระหายเลือดได้ใช้เวลาสร้างศาลาแบบนั้นมากี่ปีกันแน่ มันดูคล้ายสิ่งก่อสร้างของมนุษย์
“ถ้าเราสามารถครอบครองที่แห่งนี้ได้ สร้างหมู่บ้านและให้คนอื่นๆ มาเที่ยวพักในวันหยุด ดูเหมือนจะได้เริ่มธุรกิจทำกำไรเสียที” เย่ว์หยางเริ่มเพ้อฝัน หนังเรื่องอวาตารยังใช้ดิจิตัลสร้างเกาะลอยฟ้าง่ายๆ หานักแสดงมาแต่งชุดและถ่ายทำหนังก็ยังดังไปทั้งโลกได้ไม่ใช่หรือ? ถ้าเขาสร้างศาลาลอยฟ้าเหมือนเป็นเรีสอร์ทพักผ่อนวันหยุด แม้ว่ามันยังเทียบกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องอวาตารไม่ได้ แต่คงไม่แย่กว่าเกาะมะพร้าวที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ดูไบแน่
“ความคิดเจ้าไม่เลวนะ แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีใครยอมเสี่ยงชีวิตมาพักผ่อนวันหยุดในชั้นสามหอทงเทียน นั่นไม่ใช่การพักผ่อนวันหยุด แต่หมายถึงความตายของเจ้า” เจ้าเมืองโล่วฮัวหัวเราะจนปวดหลัง
ทั้งคู่ยังคงคุยต่อหัวเราะหยอกล้อกันขณะลัดเลาะไปตามแนวหน้าผา พวกเขาเตรียมหาที่ๆ มองไม่เห็นเพื่อแอบปีนขึ้นเขา ทันใดนั้นเจ้าเมืองโล่วฮัวมองเห็นเจดีย์บนยอดเขามีควันดำพวยพุ่งขึ้นมา อารมณ์นางเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้นมาทันที ขณะที่นางรีบวิ่งขึ้นไปพลางกล่าวว่า “โจรน้อย! มาเร็วๆ มีใครบางคนกำลังชิงเอาเป้าหมายของเรา ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย อย่าใจอ่อน ฆ่าใครก็ตามที่เจ้าเห็นได้เลย ตราบใดที่มันเป็นของที่ข้าต้องการ ไม่มีใครเอามันไปจากข้าได้”
“จะเป็นยังไง ถ้ามันไม่ใช่ปีศาจจากแดนนรก แต่เป็นมนุษย์ล่ะ?” เย่ว์หยางรู้สึกว่าเนื่องจากดินแดนนี้ยังอยู่ในเขตมนุษย์ อาจเป็นนักรบฝ่ายมนุษย์ที่มาชิงเอาอสูรก็เป็นได้
“เหลวไหล, ในสายตาของข้า มีแต่เพียงศัตรูอยู่ประเภทเดียว และนั่นก็คือคนที่ต่อต้านข้า” เจ้าเมืองโล่วฮัวใช้มือของนางแตะเย่ว์หยางก่อนจะย้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่พวกมันดื้อดึงที่จะจากไป ให้ตัดแขนขาของพวกมันให้ข้า ข้าจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเอง”
“…” ในตอนแรกเย่ว์หยางนึกว่าเจ้าเมืองโล่วฮัวเป็นคนที่มีเหตุผล ใครจะรู้ว่านางอารมณ์รุนแรงกว่าปูสวรรค์เสียอีก เป็นเผด็จการไม่มีใครเปรียบได้?
เย่ว์หยางดึงดาบจันทร์เสี้ยวออกมาจากข้างหลัง นางพญากระหายเลือดเป็นอสูรอัญเชิญที่เขาจองไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นว่าตามนิสัยแล้ว เขาจะฆ่าใครก็ตามที่บังอาจขโมยมันไปจากเขา
อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองโล่วฮัวได้พูดแล้วว่านางจะรับผิดชอบ ทำไมต้องฆ่าโดยไม่มีผลกระทบด้วยล่ะ?
มีบางจุดในหินลอยที่เป็นรูปบันไดเวียนได้ถูกทำลาย สร้างความเสียหายอย่างหนักตามเส้นทางเดิน หินลอยบางที่เต็มไปด้วยเลือดและขนนก แขนขาที่หัก ชิ้นส่วนดาบแตกกระจายอยู่เต็มพื้น ขณะที่เย่ว์หยางกับเจ้าเมืองโล่วฮัวกำลังวุ่นกับการหาทางขึ้นไปให้ถึงด้านบน พวกเขามองเห็นศพฮาร์ปีเป็นระยะๆ ยังมีซากศพปีศาจระดับ 3 ที่ถูกขนนกของฮาร์ปียิงถูกทอดทิ้งไว้ ซากศพจำนวนมากนอนจมกองเลือด บางร่างก็ยังมีเลือดไหลไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตาย
ศพแมงมุมยักษ์เกลื่อนไปทั่วบริเวณ บางส่วนก็ยังมีไฟติดลุกไหม้อยู่
กลิ่นเลือดเนื้อสดๆ ที่ถูกไฟผลาญเผาลอยมาในอากาศ กระทบจมูกแล้วแทบอยากอาเจียนทันที
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การโจมตีของมนุษย์ แต่เป็นกองกำลังปีศาจขนาดใหญ่เข้าโจมตี
พอมาถึงหินลอยก้อนสุดท้ายของภูเขาลอยฟ้า เย่ว์หยางและเจ้าเมืองโล่วฮัวพบศพปีศาจยักษ์ระดับ 4 หัวของมันถูกตัดออกไปด้วยพลังที่น่ากลัว เป็นการตายที่โชกเลือดและน่าสยดสยอง
“เวลานี้ คงมีขุนพลปีศาจ หรือไม่ก็อาจเป็นแม่ทัพปีศาจนำกองกำลังมาเองก็ได้” เจ้าเมืองโล่วฮัวชี้ให้เย่ว์หยางดู เพื่อให้เขาระวังตัวมากยิ่งขึ้น?
“เฮ่ย?”
เมื่อพวกเขามาถึงภูเขาลอยฟ้า พวกเขาผ่านไปตามเส้นทางแคบๆ ของภูเขาและปีนเขาขึ้นไปได้ครึ่งทาง พวกเขาเห็นปีศาจจากแดนนรกเกินกว่าร้อยรายล้อมพวกฮาร์ปีที่มีจำนวนลดน้อยลงไปทุกที มีขุนพลปีศาจอย่างน้อย 3 ตนผลัดกันเข้าโจมตี โดยลอบเข้าทำร้ายอสูรยักษ์ถือดาบตนหนึ่ง มีร่างเต็มไปด้วยเลือดในการสู้ตายครั้งนี้ อสูรยักษ์ที่ควงดาบเข้าสู้นี้ดูคล้ายโคเงาตัวเมียแต่ตัวสูงกว่ามาก ดาบยักษ์ที่มันกวัดแกว่งฟาดฟันดูคล้ายมีดกิลโยติน ยามใช้โจมตีปีศาจ สามารถฆ่าปีศาจชั้นต่ำได้หลายสิบตัว พลังของมันแทบไม่มีใครต้านได้
นอกจากการโจมตีของขุนปีศาจไม่กี่ครั้งก็ทำให้มันบาดเจ็บได้ ปีศาจอื่นๆ ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของดาบยักษ์ได้
แค่ดาบยักษ์ฟาดฟันลงเพียงครั้งเดียว แม้แต่ปีศาจเขายาวระดับ 3 ยังถูกฆ่า ศพของพวกมันถูกตัดเป็นสองส่วน
อีกด้านหนึ่งของสนามรบ ภูตบินกรงเล็บสีรุ้งที่มีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดามาก มันโดนใยแมงมุมนับไม่ถ้วนพันเอาไว้ ไม่สามารถกางปีกบินขึ้นไปในอากาศได้ มีขุนพลปีศาจ 2 ตนถือขวานยักษ์เข้าโจมตีมันอย่างโหดร้าย แม้ว่าพวกมันยังไม่สามารถฆ่าภูตบินกรงเล็บรุ้งได้ง่ายๆ แต่ภูตบินก็บาดเจ็บภายใต้การบุกจู่โจมเป็นพายุ
ภูตบินร้องโหยหวน มันใช้ทุกวิธีเพื่อดิ้นให้หลุดจากใยแมงมุม แต่ก็ยังทำไม่ได้ดั่งใจ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มันสามารถยับยั้งฝ่ายตรงข้ามได้เด็ดขาด
เย่ว์หยางคาดว่าขุนพลปีศาจได้เรียกแมงมุมหรือใช้แหเอามาสู้กับภูตบินกรงเล็บรุ้ง ซึ่งเป็นอสูรบินได้ ดูเหมือนว่าเป็นกลยุทธมัดภูตบินที่ปราดเปรียวซึ่งบินได้ด้วยความเร็วระดับเหนือเสียง ด้วยใยแมงมุมนั่นเอง จากนั้นเมื่อภูตบินตกลงกับพื้นทำให้ความสามารถต่อสู้ลดลงไปมาก เมื่อพวกขุนพลปีศาจเริ่มจะฆ่ามัน ในสายตาของเจ้าเมืองโล่วฮัวสามารถดูออกได้จากประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น นางคาดได้ว่ายักษ์ที่ควงดาบต้องทนทรมานจากผลกระทบที่ได้รับจากผีเสื้อปีศาจอ่อนแอ, หนอนกินกระดูก และมดแดงคลั่ง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นอสูรระดับ 7 ขุนพลปีศาจทั้ง 3 ก็ทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้แน่ มันไม่ควรสูญเสียสติหรือต่อสู้อย่างทุลักทุเลแทน
“กรี๊ดดดดดดด…..”
เสียงกรีดร้องเจาะไชแก้วหูดังฝ่าอากาศออกมาทันที แทบจะก่อให้เกิดคลื่นเสียงกระแทก
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจธรรมดา, ขุนพลปีศาจ ที่ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงทะลุทะลวงหูแล้ว ทุกตนเป็นลมล้มลงกับพื้นทีละตนๆ เหมือนกับข้าวสาลีที่จะเก็บเกี่ยวถูกตัดลงไปกับพื้น
ปีศาจระดับต่ำบางตนตายทันที หัวของพวกมันระเบิดกระจายเหมือนกับลูกแตงโม สมองและเลือดเนื้อทะลักออกมาเกลื่อนบริเวณ
แม้แต่อสูรยักษ์และนางปีศาจดาบสังหารระดับ 7 ที่แข็งแกร่งยังคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินมัน เขายังคงรู้สึกมึนเล็กน้อย
เขาหน้ามืดไปประมาณ 2-3 วินาที เหมือนถูกคนลอบทุบหัวเขาจากด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม ปราณก่อกำเนิดในร่างของเขาตอบสนองต่อเสียงที่เจาะไชหู โดยสะท้อนครอบคลุมทั้งร่าง และในที่สุดมันก่อตัวเป็นเหมือนพายุหมุนคอยป้องกันศีรษะของเขา อาการวิงเวียนในหัวค่อยๆ กระจายหายไป ความรู้สึกสดชื่นเข้ามาแทนที่จนบอกไม่ถูก ความรู้สึกสดชื่นนั้นเต็มไปทั้งศีรษะ ไม่เพียงแต่อาการของเขาดีขึ้นเท่านั้น แต่ความรู้สึกในหัวของเขาตอนนี้ชัดกว่าปกติเป็นร้อยเท่า
ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของปราณก่อกำเนิดนี้ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกสบายยิ่งขึ้น
เป็นไปได้ว่านี่คือพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ 2 “5 ประสาทรับรู้กลับรวมเป็นหนึ่ง”
เขาได้ฝึกฝนปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ 2 มาเป็นเวลานานแล้ว แต่มีความลึกลับอีกมากที่เขาทำความเข้าใจไม่ได้ เย่ว์หยางรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาเข้าใจบางส่วน แต่บางส่วนเขาก็ไม่รู้เรื่องเลยเช่นกัน ภายใต้ต้นโอ๊คหมื่นปีเย่ว์หยางเข้าถึงหัวใจธรรมชาติซึ่งเพิ่มขอบเขตพลังจิตของเขาให้รุดหน้าก้าวใหญ่ ขณะเดียวกัน เขายังคงเข้าใจถึงวิธีเข้าสู่ระดับที่สาม ตอนนี้ หลังจากถูกเสียงกรีดร้องที่น่าสยดสยองโจมตีแล้ว ระหว่างที่การสะท้อนของปราณก่อกำเนิดทำงานเพื่อปกป้องเขา ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจถึงการรับรู้ทางตา หู ปาก จมูก ลิ้น “การรับรู้ทั้ง 5 กลับคืนเป็นหนึ่ง” ความสามารถในประสาทรับรู้ของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมากแล้ว
เทียบกับเขาแล้ว เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่สามารถสลายผลกระทบได้เร็ว นางใช้ฝ่ามือปิดหน้าผากไว้ขณะที่ครางด้วยความเจ็บปวด “นี่…นี่คือเสียงกรีดร้องของของนางพญากระหายเลือดหรือนี่ ดูเหมือนว่านางจะได้พบศัตรูที่แข็งแกร่งเข้าแล้ว ข้าต้องใช้เวลาฟื้นตัว 1 นาทีเพื่อให้อาการปกติ ถ้าเจ้ายังเคลื่อนไหวได้ ให้รีบชิงความได้เปรียบขณะที่อาการชะงักงันเพราะผลกระทบจากเสียงยังคงส่งผล ฆ่าขุนพลปีศาจเหล่านั้นซะ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป มีบางพวกอยู่ในอากาศ ระวังให้ดี เจ้าผู้นี้ชื่อว่า หม่าเหลียง เขาเป็นหนึ่งในสามเสนาธิการปีศาจที่โดดเด่น เป็นอัศวินปีศาจมังกรบิน ความสามารถของเขาอาจจะพอๆ กับข้า ดังนั้น…ศึกครั้งนี้อาจจะสู้ได้ยากมาก เจ้าต้องจำถึงสิ่งที่ข้าได้พูดเอาไว้ก่อน ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสถานการณ์เช่นใด เจ้าต้องจัดลำดับความสำคัญ เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน”
ในอากาศ เงาดำสายหนึ่ง พุ่งลงมาที่พื้นทันที จนเกิดเสียงที่ดังสนั่น
มีแรงกระแทกลงบนพื้นอย่างหนัก เงานั้นทำให้ก้อนศิลาแตกกระจายเพราะแรงกระแทกของมัน
เย่ว์หยางสงบใจขณะที่เขามองเห็นอัศวินปีศาจขับขี่อยู่บนหลังมังกรดำ เขาสวมเกราะรบเต็มที่ เขาและมังกรร่วงลงพื้นพร้อมกัน
ตาของมังกรดำเหลือกขาวทันทีขณะที่มันหมดสติอยู่กับพื้น เลือดสีดำไหลออกจากปาก ตาและหูของมัน ขณะที่อัศวินปีศาจยังอยู่บนหลังของมัน เขาเอามือกุมศีรษะมองไปบนท้องฟ้าขณะกรีดร้องเจ็บปวด เหมือนกับว่ามีคนเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงที่หัวเขา ดูเหมือนว่าเขาทุกข์ทรมานอย่างหนัก
อาการที่ส่งผลดังกล่าว เย่ว์หยางไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกเลย
แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แม้แต่เขาเองที่เข้าถึงขอบเขตปราณก่อกำเนิด ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกคนใช้ค้อนฟาดที่หลังศีรษะหลังจากได้ยินเสียงที่เจาะแก้วหูนี้ เจ้านี่รับการโจมตีโดยตรงจากเสียงร้องในระยะไม่ไกล ดีแค่ไหนแล้วที่หัวไม่ระเบิดจนเละเหมือนข้าวต้ม ดูเหมือนว่าเจ้าผู้นี้จะชื่อหม่าเหลียง งั้นเขาก็เป็นหนึ่งในสามแม่ทัพปีศาจที่โดดเด่นสินะ?
สามแม่ทัพปีศาจหรือ?
ฟังดูเหมือนพวกมันจะเป็นผู้ทรงพลัง
ในท้องฟ้า มีสตรีปีกทองกำลังสั่นอยู่ในอากาศ ร่างของนางเต็มไปด้วยเลือด ย้อมหน้าอกขาวผ่องและส่วนที่เหลือของร่างกาย นางอยู่ในชุดเกราะปีศาจ
บางอย่างดูเหมือนจะเป็นมีด ปักอยู่บริเวณหน้าอกนาง
เลือดสดๆ ยังไหลไม่หยุด ย้อมทั้งตัวนางจนเป็นสีแดง
นางบินวนเวียนอยู่ในอากาศด้วยความยากลำบาก เนื้อตัวสั่นเทิ้มขณะที่บิน ดูเหมือนว่านางต้องการจะหนีไปจากการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านางแทบไม่มีพลังแม้แต่จะกางปีก ในที่สุดนางก็บินต่ำลง ต่ำลงมาที่พื้น และร่วงลงพื้นต่อหน้าเย่ว์หยางด้วยเสียงดังสนั่น ดูเหมือนว่านางกำลังดิ้นรนเพื่อรวบรวมกำลัง นางกระอักเลือดรุนแรง มีเลือดเต็มปากและหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด
ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บหนักหรือนี่?
นางพญากระหายเลือดและแม่ทัพปีศาจทั้งสองฝ่ายสู้กันจนบาดเจ็บหนักหรือนี่?
เย่ว์หยางรู้สึกใจเต้นแรง เขาตื่นเต้นมากจนหัวใจเต้นแรงกว่าปกติถึง 3 เท่า นี่ก็เท่ากับว่าสวรรค์ส่งนางพญากระหายเลือดใส่พานมาให้เขาหรือนี่? ถ้าเขายังปฏิเสธของขวัญอย่างนี้ บางทีเขาคงได้รับอาญาสวรรค์แน่
“เจ้าทั้งสองค่อยๆ สู้กันใหัจบนะ ข้าขอเลือกเป็นกลาง…” เขาร่อนไปหานางพญากระหายเลือดที่ยังหมดสติ และเตรียมใช้เงาปีศาจชิงร่างนาง
ทันใดนั้น ราวกับลมพัด
เงาสายหนึ่งปรากฏที่ด้านหลังของเขาทันที เงาดาบปีศาจลักษณะประหลาดสีทองกำลังเปล่งประกายพร้อมที่จะฟังลงมาที่หลังคอของเย่ว์หยาง…
ฮาร์ปี