===============
เย่ว์หยางกับเย่ว์ปิงรีบกลับไปบ้าน
ตลอดรายทาง เย่ว์หยางคิดเรื่องงานมงคลและคิดว่าตระกูลเย่ว์อาจจัดงานแต่งงานอื่นให้เขา หรืออาจเป็นเย่ว์ปิงก็ได้ มีคนมาขอนางหรือ? มิฉะนั้น ก็เป็นไปได้ว่าเป็นเย่ว์ชวง น้องสาวคนเล็กหรือ? มีใครขอนางไว้? เย่ว์หยางไม่เคยคิดว่า เขาจะคาดผิด
เมื่อกลับไปถึงบ้าน พวกเขาเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ เขาเห็นบ่าวสตรี 5-6 คนล้อมรอบหญิงงาม พวกนางทุกคนกำลังพูดบางอย่าง แต่ละคนก็ผลัดกันพูด
มีผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ว์บางส่วนที่มีร่างกายสูงและบึกบึน และมีบุรุษวัยกลางคนผิวขาวไร้ตำหนินั่งดื่มชาอยู่ข้างหน้า ลุงหนานบ่าวชราและคนอื่นๆ ยืนรออย่างระแวดระวัง เย่ว์หยางเห็นว่านัยตาของหญิงงามแดงและมีน้ำตา นางกอดลูกสาวตัวน้อยไว้แน่นพลางสั่นศีรษะต่อเนื่อง ราวกับว่าคัดค้านอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้พูดโต้แย้งหญิงอื่นออกมาดังๆ
ทารกหญิงที่จะซุกซนเป็นปกติขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหญิงงาม มองดูแล้วเห็นความหวาดกลัวในดวงตาเธอ
ทันทีที่พวกเขาเห็นเย่ว์ปิงและเย่ว์หยางเข้ามาข้างใน บ่าวหญิงเหล่านั้นค่อยเงียบลงทีละคนๆ
สีหน้าของหญิงงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย, ดูมีอารมณ์เล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่านางจะหักห้ามความรู้สึกไว้ ไม่ยอมเผยความรู้สึกออกมา ร่างของนางสั่นขณะลุกขึ้นยืน ดวงตาของนางฉายแววแห่งความสุขสุดจะพรรณนา นอกจากนี้ยังดูเหมือนนางผ่อนคลายลงราวกับปลดภาระใหญ่ในใจนางลงได้
บุตรและธิดาของนางกลับมาถึงบ้านแล้ว
ในที่สุดพวกเขากลับมาบ้านอย่างปลอดภัยและแข็งแรงเป็นปกติ
ถ้าเป็นวันตามปกติ นางคงจะกอดบุตรและธิดาที่เดินทางไกลกลับมาบ้านไว้แน่นแล้ว แต่ตอนนี้ หญิงงามแค่พยักหน้าและยิ้มให้เท่าที่นางจะทำได้ เสียงของนางสั่นเครือบ่งบอกถึงอารมณ์ ขณะพูดว่า “ดีจริงๆ ที่พวกเจ้ากลับมาแล้ว ดีจริงๆ” ทันทีที่ทารกหญิงเห็นหลังของเย่ว์หยาง เธอร้องดีใจและดิ้นออกมาจากอ้อมกอดมารดา วิ่งผ่านห้องโถงโถมเข้าหาเย่ว์หยางเต็มฝีเท้าและโดดกอดเย่ว์หยาง มือน้อยๆ ของเธอกอดคอเย่ว์หยางไว้แน่นขณะที่เธอเริ่มร้องไห้ออกมาดังๆ เหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครปกป้อง แล้วจู่ๆ ก็พบญาติของเธอ
ลุงหนานบ่าวชราและคนอื่นๆ ยินดีอย่างเห็นได้ชัด รีบเข้ามารับสัมภาระจากหลังของเขาทันที
มีเพียงชายวัยกลางคนผิวขาวเนียนไม่ได้แสดงท่าทีอะไรต่อการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง เขาไม่ได้แม้แต่จะยืน ยังคงนั่งสบายๆ ขณะถือถ้วยชาในมือและจิบช้าๆ
เมื่อเย่ว์หยางอุ้มทารกหญิงเดินเข้ามาใกล้ บุรุษกลางคนชำเลืองมองเย่ว์หยางด้วยหางตา แต่ก็ยังคงนั่งดื่มอย่างสบายอารมณ์ หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “ไง…คุณชายสามกลับมาแล้ว เจ้ากลับมาบ้านทันเวลาพอดี ข้ามาตามคำสั่งท่านประมุขตระกูลเพื่อแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า คุณชายสาม ภายใน 2 วันเจ้าต้องพาครอบครัวทั้งหมดกลับปราสาทตระกูลเย่ว์ นอกจากไปเคารพประมุขตระกูลและผู้อาวุโสคนอื่นๆ เจ้ายังต้องแสดงความเคารพภรรยาคนใหม่ของนายสี่อีกด้วย คุณนายสี่ผู้นี้จะเข้าร่วมกับครอบครัวของท่าน นางเป็นหญิงมั่งคั่งมากจากตระกูล เฟิงเหอหยาง อย่างไรก็ตาม การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ในอนาคตภรรยาหลวงของครอบครัวที่สี่จะเป็นแม่นางคนนี้ เมื่อเจ้าแสดงความเคารพต่อนางในคราวหน้า เจ้าจะต้องเรียกนางว่าแม่สี่หรือ คุณนายสี่”
“ท่านพ่อข้าจะแต่งงานใหม่หรือ?” เย่ว์ปิงเกือบเป็นลมเมื่อได้ยินเช่นนั้น เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?
“….” เมื่อเย่ว์หยางได้ยินข่าว เขาก็ตกใจมากเช่นกัน
ด้วยความรู้สึกลางๆ เขาสามารถรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องการแต่งงานธรรมดาๆ แต่นี่คือการวางแผนเอาไว้
มันต้องเป็นแผนที่มีต่อครอบครัวที่สี่
แม้ว่าหญิงงามกับอาสี่จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ยังให้เกียรติซึ่งกันและกัน พวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างกลมเกลียวมิได้ทะเลาะกันแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ตามบันทึกของเจ้าเด็กผู้น่าสงสาร อาสี่ของเขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจโลเล ในทางตรงกันข้ามเขาเป็นคนดีกตัญญูต่อพ่อแม่และรักลูกๆ เขาเป็นสามีที่ดีผู้ไม่เคยทะเลาะกับภรรยามานานกว่า 10 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยแข็งแกร่งและไม่อาจเทียบได้กับพี่ชายทั้ง 3 แต่คุณธรรม นิสัยและทัศนคติของเขาก็ไม่ใช่ของพวกสุภาพบุรุษจอมปลอมแน่
คนอย่างเขา จะทอดทิ้งภรรยาปัจจุบันไปคว้าเอาคนรักอื่นได้อย่างไร?
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มันแปลกจริงๆ
“ท่านประมุขตระกูลได้ตัดสินใจเลือกวันมงคลสมรสเป็นวันที่ 28” ยิ่งบุรุษผิวขาวพูดต่อไป เย่ว์หยางก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
แต่งงานวันที่ 28 เหรอ? วันนี้วันที่ 26 แล้ว
ไม่มีประตูเทเลพอร์ตจากเมืองไป๋ฉือไปปราสาทตระกูลเย่ว์ พวกเขาอาจไปทันได้ถ้าควบม้าเร็ว แต่หญิงงามและเด็กหญิงตัวน้อยขี่ม้าไม่ได้ พวกนางจำเป็นต้องได้รถเทียมม้าหรือไม่ก็ต้องใช้เกี้ยว ซึ่งไม่สามารถไปได้ทัน
ดูเหมือนตระกูลเย่ว์ไม่ยอมให้หญิงงามได้มีโอกาสคัดค้านการแต่งงานเลย
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขารีบกลับบ้านพร้อมกับเย่ว์ปิง ดูเหมือนเรื่องเหล่านี้จะถูกจัดการไปโดยที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
ทำไมตระกูลเย่ว์ถึงต่อต้านครอบครัวที่สี่มากนักเล่า? ครอบครัวที่หนึ่งและที่สองกำลังมีแผนการณ์หรือเหตุผลอันใดกันแน่? เย่ว์หยางไม่สามารถทำความเข้าใจได้ทั้งหมด แต่เขาโกรธ เขาต้องการกลับไปปราสาทตระกูลเย่ว์ และต่อสู้ทวงคืนความเป็นธรรมให้แม่สี่ เขาต้องการช่วยนางระบายอารมณ์กับคนพวกนั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะระบายลงกับเจ้าพวกสวะนี้แทน ถ้าเขาไม่โต้ตอบอะไรไปบ้าง เขาก็คงเป็นสวะในหมู่ขยะพวกนี้แทน
“แม่ข้าคือสะใภ้สี่อย่างเป็นทางการตัวจริง ดังนั้นแม้นางต้องการจะเข้าร่วมกับครอบครัวของเรา นางก็ต้องเป็นภรรยาน้อย เจ้าจะทำให้นางเป็นภรรยาหลวงได้อย่างไรกัน? ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่าแม่ของข้าเป็นผู้ใดกันแน่?” เย่ว์ปิงโกรธจัดจนหน้าซีด
ไม่เพียงแม่นางจากครอบครัวเหอหยางเฟิงต้องการจะแต่งงานเข้าในครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น แต่นางยังต้องการเป็นภรรยาหลวงอีกเหรอ? นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกัน?
ถ้าพวกเขายอมให้มันเกิดขึ้นจริงๆ อย่างนั้นครอบครัวที่สี่ ก็จะไม่มีตำแหน่งในตระกูลอีกต่อไป เย่ว์ปิงตัดสินใจไม่ประนีประนอมอีกต่อไป นางจะไม่ยอมทนให้ใครรังแกครอบครัวที่สี่มากเกินไปอย่างแน่นอน
“แม้ว่าคุณนายเซียนจะเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม แต่ทุกคนรู้ดีว่าเจ้านายสี่ไม่มีบุตรชาย เมื่อไม่มีบุตรชาย มันก็ยากที่จะสืบสายตระกูลต่อไป ความตั้งใจของท่านประมุขตระกูล ท่านต้องการจะให้มีงานมงคลให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ เนื่องจากเจ้านายสี่ยังอายุไม่มากและมีสัมพันธ์ที่ดีกับแม่นางเฟิง มิฉะนั้นนางอาจตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรก่อนแต่งก็ได้ เรื่องอย่างนี้คงจะไม่ดีแน่ หากข่าวแพร่สะพัดไปสู่สาธารณชน คุณชายสามและคุณหนูเจ็ดไม่ควรเรื่องมากจนเกินไป นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้นพวกเจ้าคงไม่เข้าใจจริงๆ เมื่อแม่นางเฟิงเข้าร่วมตระกูลในฐานะภรรยาหลวง คุณนายเซียนก็ต้องอยู่ในฐานะภรรยาน้อย อย่างไรก็ตาม แม่นางเฟิงเป็นหญิงฉลาด มีหลักการและคุณธรรมสูงส่ง นางรู้ว่าคุณนายเซียนทำงานหนักเพื่อครอบครัวที่สี่มาหลายปีแล้ว และได้รับยกย่องว่าเป็นภรรยาที่มีคุณงามความดี นางคงทนไม่ได้ที่ปล่อยให้คุณนายเซียนเป็นภรรยาน้อยแน่ ก็เลยยอมให้นายสี่เขียนหนังสือหย่าร้างส่งไปที่บ้าน เพื่อที่ว่าแม่นางเฟิงจะได้ยินดีเรียกขานคุณนายเซียนว่าพี่ได้เต็มปาก ในอนาคตนางต้องการสร้างความกลมเกลียวให้ครอบครัวที่สี่และแบ่งปันสามีกับคุณนายเซียนอย่างมีความสุข” บ่าวหญิงวัยกลางคนลุกขึ้นยืนทันทีแล้วพ่นแต่คำที่ไร้สาระออกมา
“เราต้องขอบคุณนางจริงๆ ที่ไม่ขับมารดาข้าออกจากบ้านจริงไหม?” ได้ยินเช่นนี้ เย่ว์ปิงรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดทั้งที่ฟ้ายังโล่งแจ้ง
มีเหตุผลเช่นนี้ด้วยหรือ? นี่มันป่าเถื่อนยิ่งกว่ามนุษย์กินคนที่อ้างว่าพวกเขายังไม่อิ่มเว้นแต่จะได้กินคนสักหนึ่ง เป็นร้อยเท่าเลยมิใช่หรือ?
เย่ว์ปิงจ้องมองบ่าวหญิงคนนั้นด้วยความโกรธ “แล้วแม่ข้าแต่งงานกับพ่อข้าในฐานะเป็นภรรยาหลวงไม่ใช่เหรอ? ท่านมาจากตระกูลมั่งคั่งและประสบความสำเร็จไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวที่สี่จะไม่มีลูกหลานสืบเชื้อสายได้อย่างไร? เรามีพี่สามอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
พอเห็นเย่ว์ปิงจ้องมองอย่างขุ่นเคือง บ่าวหญิงตกใจกลัวจนรีบถอยกลับ
บุรุษผิวซีดหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นแทน และแค่นเสียงออกมาอย่างไม่เกรงใจ “คุณหนูเจ็ด เจ้ารู้ไหม ใครเป็นสื่อให้คุณนายเซียน และใครเป็นผู้รับรองให้นาง? และรู้ไหมใครเป็นคนให้สินสอดทองหมั้นแก่นาง? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจ้านายสามพยายามปกป้องชื่อเสียงให้เจ้านายสี่มาแต่ก่อน เขาก็คงไม่ยืนกรานที่จะเป็นพ่อสื่อให้พวกเขาแน่ พูดตามตรงเลยนะ คุณนายเซียนก็แค่เป็นคนติดตามนายสี่ ไม่มีชื่อ ไม่มีสถานะ แต่เห็นว่านางนุ่มนวลและใจดี ทุกคนก็เลยปล่อย ถ้าทุกคนร้องเรียนมากเกินไป ข่าวก็จะกระจายออกสู่สาธารณชน ตระกูลเย่ว์จะกลายเป็นตัวตลกไป”
“พ่อบ้านครอบครัวสอง! ถ้าตระกูลเย่ว์ยืนกรานจะจัดพิธีแต่งงาน ข้าก็จะไม่คัดค้านเลย อย่างไรก็ตาม โปรดอย่าใส่ร้ายคนอื่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ตอนนั้นพี่สามและพี่หญิงเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้เรา แต่ผู้อาวุโสซงเหอเป็นพยานให้เราได้ และเจ้าหุบเขาร้อยบุปผาได้มอบดอกเจ็ดสีและทรายหยกหนึ่งตะกร้าเป็นสินสอดของข้า เราสองพี่น้องตระกูลฮัวแต่งงานกับสองพี่น้องตระกูลเย่ว์ต่อหน้านักรบผู้แข็งแกร่งจำนวนเป็นร้อยๆ เราเฉลิมฉลองท่ามกลางสายตาของคนเหล่านี้ทั้งหมด แล้วเจ้าเอาไปพูดได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้หญิงที่ลักลอบได้เสียกับนายสี่? คนในตระกูลเย่ว์ไม่ว่าทั้งชรา ทั้งเยาว์วัยก็ยิ้มต้อนรับเราในตอนนั้นมิใช่หรือ? ท่านแม่ของสามีเรายังบอกกับข้าว่านางจะดูแลเราพี่น้องเหมือนกับสมบัติที่ล้ำค่า เหมือนกับเป็นธิดาของนางเอง ข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะเป็นต้นเหตุให้นายสามและพี่หญิงของข้าต้องจากไปเร็ว สมาชิกของตระกูลก็กลายเป็นปฏิปักษ์กับข้า ทั้งที่ข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลมานับสิบปี ข้าเคยทำอะไรผิดต่อตระกูลเย่ว์เมื่อไหร่? ทั้งการพูด ท่าทีการกระทำในหน้าที่ภรรยา ข้าทำให้ตระกูลตกต่ำเมื่อไหร่กัน? ตั้งแต่ข้าแต่งงานเข้าตระกูลเย่ว์ ข้าให้การสนับสนุนสามีข้าและคอยให้ความรู้การศึกษาแก่ลูกๆ ข้าเชื่อฟังสามีของข้าเสมอมา นอกจากไม่มีบุตรชาย ข้าทำอะไรผิดต่อตระกูลเย่ว์? เมื่อพี่สาวข้าขอให้ข้าช่วยดูแลซานเอ๋อ ข้าก็ยังรับเขามาดูแลด้วยตัวข้าเอง สมาชิกของตระกูลเย่ว์ทุกคนก็เห็นดีด้วยที่เปลี่ยนสถานะให้ซานเอ๋อมาเป็นผู้สืบสายตระกูลของครอบครัวที่สี่ แล้วทำไมตระกูลถึงมาผิดคำพูดเอาในตอนนี้เสียเล่า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าพูดว่าบุตรของข้าไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีอนาคตอีกยาวไกล เจ้ายังจะมาพูดดูถูกซานเอ๋อของเรามากเกินไปได้ยังไง?” เพื่อรักษาชื่อเสียงมารยาทไว้ หญิงงามพยายามปรับอารมณ์ของนาง ในที่สุด นางก็มีอารมณ์มากขึ้นขณะที่พูดถึงความคับข้องใจและความเจ็บปวดของนางทั้งหมดที่นางอัดอั้นตันใจมาเป็นเวลาหลายปี
“คุณนายเซียน! ไม่ใช่ว่าบ่าวผู้นี้จะดูแคลนคุณชายสาม บ่าวผู้นี้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งของประมุขตระกูล ถ้าคุณนายเซียนมีเรื่องอยากร้องเรียน โปรดคุยกับประมุขตระกูลโดยตรงดีกว่า จะมาโกรธเคืองกับบ่าวต่ำต้อยอย่างพวกเราได้อย่างไร?” คนผิวซีดหัวเราะอย่างเยือกเย็น แฝงไปด้วยความดูถูก
“ข้าทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่มากก็น้อยแล้ว” เย่ว์หยางพยายามควบคุมความโกรธของเขาไว้ และฟังเรื่องราวทั้งหมดก่อน ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในตอนนี้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลั่นแกล้งครอบครัวที่สี่ไม่ใช่เหรอ?
พวกเขาคิดว่าเขายังเป็นเจ้าเด็กที่น่าสงสารคนเก่า ที่รังแกกันได้ง่ายๆ กระนั้นหรือ?
เย่ว์หยางส่งเด็กหญิงให้เย่ว์ปิงที่ยังโกรธจัดจนพูดไม่ออกและก้าวไปข้างหน้า
บุรุษวัยกลางคนผิวซีดไม่ได้แม้แต่จะชำเลืองเขา เขาจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ความยโสของเขาดูเหมือนจะกล้าท้าทายให้เย่ว์หยางทุบตีเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาพวกผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ว์ที่ยืนรายล้อมอยู่ บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวาก็ยังแสดงอาการหยิ่งยโสเช่นเดียวกับเจ้านายของเขา
“เจ้าเป็นเพียงพ่อบ้านไม่ใช่เหรอ? ทำไมสะเออะวางตัวเสียสูงส่งยิ่งใหญ่นักเล่า?” จู่ๆ เย่ว์หยางตบบุรุษวัยกลางคนอย่างหนักเต็มใบหน้าเขา ส่งผลให้เขาปลิวไปตามแรงตบทันที เลือดและซี่ฟันที่หักกระเด็นร่วงหล่นบนพื้น บุรุษกลางคนร่วงลงบนโต๊ะเสียงดังโครมใหญ่ ทำให้โต๊ะพังเป็นเสี่ยงๆ เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาได้โต้ตอบ เย่ว์หยางยกเก้าอี้ขึ้นแล้วฟาดลงไปที่ตัวเขาอย่างไม่ปราณี
ผู้คุ้มกันของตระกูลเย่ว์เริ่มเข้าโจมตี แต่เย่ว์หยางเคลื่อนไหวได้ไวกว่าพวกเขาเป็นพันเท่า เขาควงมือจนเหมือนกับว่ามีแขนงอกออกมา 10 ข้าง และโจมตีใส่ผู้คุ้มกันโดยรอบอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าของผู้คุ้มกันทุกคนถูกเย่ว์ตบอย่างหนัก อย่างน้อยก็คนละร้อยครั้ง
หัวหน้าผู้คุ้มกัน 2 นายมีฝีมือดีที่สุด พวกเขาอัญเชิญสัตว์อสูรสายเสริมพลังไว้อย่างลับๆ ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาที่นี่เพื่อความไม่ประมาท พวกเขาโจมตีเข้ามาทันที
ประกายตาเย่ว์หยางเย็นเยียบดุจตามัจจุราช เขาใช้ฝ่ามือของเขารับหมัดของทั้งสองคนแล้วบดขยี้พวกเขาด้วยการจับที่ทรงพลังของเขา ทันใดนั้นหัวหน้าผู้คุ้มกันทั้งสองแหกปากร้องลั่นขณะที่กระดูก เนื้อ ผิวถูกบดจนเละ แต่ก่อนที่หัวหน้าผู้คุ้มกันจะร้องจบเย่ว์หยางเตะเข้าที่กล่องดวงใจของทั้งคู่ ถ้ามีคนที่หูดีจริงๆ อยู่ด้วยคงจะได้ยินเสียงเหมือนไข่แตกจากการโจมตีครั้งนี้ของเย่ว์หยาง
หัวหน้าผู้คุ้มกันทั้งสองคนร้องไม่ออกขณะหมดสติล้มลงกับพื้นร่างกายสูงใหญ่ของพวกเขาล้มฟาดกับพื้นเสียงดังสนั่น
พอเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเลวร้าย บุรุษวัยกลางคนรีบวิ่งออกไปข้างนอกพยายามจะวิ่งหนี
แต่เย่ว์ปิงที่กำลังอุ้มน้องสาวอยู่ เตะตัดเข้าที่ส้นเท้าของเขาทันที ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะนางเห็นพี่ชายนางเตรียมจะฆ่าคนผู้นี้ จึงพยายามช่วยชีวิตของบุรุษวัยกลางคนด้วยการห้ามไม่ให้เขาหนีออกไป นางคงเรียกผู้พิทักษ์มนุษย์พฤกษาร้อยปีออกมาย่ำเจ้าผู้นี้ไปแล้ว
“เจ้าต้องการสังหารข้าเหรอ? ข้าแค่ถูกท่านประมุขตระกูลส่งมาโดยเฉพาะนะ..” บุรุษวัยกลางคนร้องออกมาอย่างเดือดดาล หน้าของเขาที่โดนเย่ว์หยางตบตีกลายเป็นสีดำ และฟันร่วงเกือบหมดปาก
“เอ๋? นี่เป็นพ่อบ้านของครอบครัวรองของเราไม่ใช่เหรอ? ผู้ใดซ้อมเจ้าเสียสะบักสะบอมเล่า? น่าสงสารจริงๆ ใครนะช่างบ้าจริงๆ บังอาจซ้อมพ่อบ้านครอบครัวที่สองกันนะ? ใครกันเอ่ย? ใครทุบตีสุนัขของครอบครัวเรา? สุนัขของครอบครัวเราโดนทุบตีได้ไหม? มีแต่เราที่เป็นเจ้านายถึงจะมีสิทธิ์ที่ทุบตีมันได้” เย่ว์หยางหัวเราะอย่างเยือกเย็นและเตะบุรุษวัยกลางคนอย่างหงุดหงิด
แต่ละครั้งที่เย่ว์หยางเตะออกไปทำให้บุรุษวัยกลางคนแหกปากร้องเหมือนสุกรถูกเชือด
บุรุษวัยกลางคนเจ็บปวดหนักจนแทบตาย เขารู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาได้ตายจริงๆ แน่ พอเห็นว่าหญิงงามอยู่ข้างหน้า เขาจึงรีบคลานไปหานางหวังจะขอให้นางไว้ชีวิต
ใครจะรู้กันว่าก่อนที่เขาจะไปถึงตัวหญิงงาม เย่ว์หยางกระโดดสูงแล้วย่ำลงที่หลังของเขา ตะโกนลั่นว่า “ขี้ข้าบัดซบที่ไร้ยางอาย! บังอาจจะทำร้ายนายหญิงของเจ้าหรือ? เจ้าบังอาจพยายามจะลอบสังหารแม่สี่ต่อหน้าต่อตาทุกคนหรือ? เจ้าสุนัขอกตัญญู จะให้เจ้าชดใช้บาปอย่างไรดี? บ่าวทั้งหลาย! ลากมันไปทุบตีให้ตาย จากนั้นหั่นศพให้เป็นอาหารสุนัข”
ลุงหนานและคนอื่นๆ ตกใจหนักได้แต่มองเลิ่กลั่ก
แต่พอเห็นคุณชายของพวกเขาน่าประทับใจ มีพลังดุจเทพ ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนจะระเบิดด้วยความโกรธ ถึงกับรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้
ครั้นพอได้ยินคำสั่งของเย่ว์หยาง พวกเขาก็กรูเข้าไปลากพวกผู้คุ้มกันที่สลบอยู่ออกไปข้างนอกทีละคน ในขณะเดียวกัน เย่ว์หยางหักขาโต๊ะ และฟาดลงไม่กี่ครั้ง เพียงชั่วครู่เขาก็ทำให้พวกผู้คุ้มกันแขนขาหักไปจำนวนหนึ่ง
หญิงรับใช้ที่กล้าพูดออกมา ในตอนนี้กลัวจัดจนเป็นอัมพาตอยู่กับพื้น
มีบางส่วนที่เป็นลมไปแล้วด้วยความกลัว ตาของพวกเขาเหลือกขาวสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
เมื่อหญิงงามเห็นเย่ว์หยางควงขาโต๊ะที่โชกเลือดเตรียมจะฆ่าสาวรับใช้ผู้นั้น นางกอดเขาไว้แน่นทันที “พอเถอะซานเอ๋อ, หยุดได้แล้ว คนพวกนี้เป็นบ่าวรับใช้ชั้นเลว ไม่มีประโยชน์ที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมด พวกเขาถูกส่งมาที่นี่ตามคำสั่งคนอื่น แม่สี่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีต้องการจะระบายความโกรธให้ข้าและสั่งสอนบ่าวรับใช้พวกนี้ แต่เจ้าไม่ควรจะทำเกินเลยไป แค่ให้นางตบปากตัวเองก็พอ เจ้าต้องไม่ฆ่านาง”
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ สาวรับใช้นั้นที่เกือบจะสลบไปแล้วจึงเริ่มตบปากตัวเต็มแรงโดยไม่รอให้เย่ว์หยางสั่ง
ช่างเป็นเรื่องตลก หากนางปล่อยให้คุณชายสามที่ใครๆ เรียกว่าคนไร้ประโยชน์แต่อำมหิตมาก ทุบตีนาง แล้วนางจะรอดชีวิตได้อย่างไร?
เย่ว์หยางถูกหญิงงามกอดเอาไว้ไม่สามารถจะทุบตีสาวใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เตะบ่าว 2 คนที่อยู่ใกล้ที่สุด นี่ยิ่งทำให้หญิงรับใช้ยิ่งกลัวหนักจนขวัญแทบกระเจิง นางเริ่มขอให้เขาไว้ชีวิตนาง หญิงงามยังกอดบุตรชายไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พยายามห้ามเขาไม่ให้ใช้ขาโต๊ะเปื้อนเลือดตีหญิงรับใช้
ในใจนางกลัวเล็กน้อย แต่นางรู้สึกปลื้มใจมากที่บุตรของนางระบายความโกรธให้นาง น้ำตาที่นางกลั้นไว้ไม่ให้ไหลกลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ และนางเริ่มสะอื้นจนไม่อาจระงับยับยั้งได้อีก
พอเห็นเช่นนี้ เย่ว์ปิงและทารกหญิงโผวิ่งมาข้างหน้าทันที แม่และธิดาทั้งสองต่างกอดกันร้องไห้
“อย่าร้องไห้เลย, ข้าจะพาทุกคนไปปราสาทตระกูลเย่ว์เดี๋ยวนี้ และเราจะถามอาสี่ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แม่สี่! อย่าหวาดหวั่น.. อย่าร้องไห้เลย ข้าอยู่ที่นี่แล้ว จะไม่มีใครรังแกท่านได้อีก” เมื่อเย่ว์หยางพูดอย่างนี้ คำพูดของของเขาทำให้หญิงงามร้องไห้หนักกว่าเดิม ในเวลาที่นางไม่มีใครจะพึ่งพิงได้ บุตรชายของนางกลับยืนหยัดปกป้องนางอย่างกล้าหาญ เขากลายเป็นเสาหลักที่ค้ำยันครอบครัวไว้ ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่สัก นางคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้….
**************************