ผู้คนเริ่มพูดซุบซิบ เสียงกระซิบดังขึ้นมากมาย ทุกสายตาจับจ้องไปที่เหลิ่งรั่วปิง
ราวกับเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ยินเสียงของลั่วซูเยียง เธอใจเย็น นิ่งสงบ ราวกับดอกบัวสีขาวที่อยู่ใต้ละอองฝน เธอมัดปมให้กับเจี่ยนชิว
เวลานี้ลั่วเฮิ่งเองก็เบียดฝูงชนเข้ามา เขาตะคอกลั่วซูเยียงเสียงดัง “พูดเหลวไหลอะไรกัน” เขาไม่อยากมีปัญหากับเหลิ่งรั่วปิง เพราะเขารู้ว่าการมีปัญหากับเหลิ่งรั่วปิงเท่ากับมีเรื่องกับหนานกงเยี่ย คนอื่นไม่รู้ว่าหนานกงเยี่ยตามใจเธอมากแค่ไหน แต่เขารู้ดี สำหรับเขาแล้วเจี่ยนชิวไม่สำคัญแม้แต่น้อย เป็นฝีมือของเหลิ่งรั่วปิงหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ
เมื่อลั่วซูเยียงเห็นพ่อของตนเอง เธอรีบวิ่งไปหาลั่วเฮิ่ง ราวกับเป็นฟางเชือกสุดท้ายที่สามารถช่วยตนได้ “พ่อคะ หนูพูดความจริงนะคะ เธอเป็นคนทำร้ายแม่ ยัยนี่คือวิญญาณของเจียงหน่วนซิน…”
เพี๊ยะ!ลั่วซูเยียงยังไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือหนาตบเข้าที่หน้าของเธอ
ลั่วเฮิ่งตบหน้าเธออย่างแรง ตบจนมือของเขาชาไปหมด เขาตะคอกผู้ช่วยที่อยู่ด้านหลัง “ยังไม่รีบพาคุณหนูกลับไปอีก อยากให้เธอตกใจจนบ้าหรือไง!”
“ช้าก่อน!” เสียงเย็นยะเยือกของหนานกงเยี่ยเคล้าไปด้วยความอาฆาตดังขึ้นนอกฝูงชน
ราวกับทุกคนได้ยินเสียงฟ้าผ่าในวันแดดจ้า ถอยหลังตามสัญชาตญานทันที เพื่อเปิดทางให้หนานกงเยี่ย
ร่างสูงของหนานกงเยี่ยเดินเข้ามา นัยน์ตาเย็นยะเยือก คล้ายมีแสงไฟที่หนาวเย็นฉายออกมา ทำเอาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่กล้าสบตา เสียงดังระงมก่อนหน้านี้หยุดลงทันที พวกเขามองหนานกงเยี่ยราวกับเป็นทวยเทพ ต่างกำลังคาดเดาว่าเขาจะทำอะไรต่อ
ฝีเท้าของหนานกงเยี่ย ไม่รีบและไม่ช้า นิ่งสงบทว่าเต็มไปพละกำลัง ทุกย่างก้าวทุกรอยเท้า เดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชน ออร่าที่ทรงพลังของเขาคล้ายพายุ ดวงตาเหยี่ยวของเขากวาดมองฝูงชน จากนั้นหยุดลงที่ลั่วเฮิ่ง “ประธานลั่ว ลูกสาวของคุณบอกว่าเหลิ่งรั่วปิงเป็นคนทำร้ายภรรยาของคุณ ถ้าอย่างนั้นให้เธอเอาหลักฐานออกมาสิครับ ผู้หญิงของหนานกงเยี่ยไม่มีวันยอมจำนนรับความผิดโดยไม่มีหลักฐาน”
ลั่วเฮิ่งตกใจจนรีบโค้งตัวคำนับขอโทษ “คุณชายเยี่ย คุณอย่าถือสาลูกสาวของผมเลยครับ เธอสติไม่ดีเท่าไหร่ เอาแต่พูดเหลวไหล
หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “ประธานลั่ว คุณอย่าพูดแบบนี้เลยครับ อย่าทำเหมือนผมกำลังรังแกคุณ เรื่องทุกอย่างควรสืบหาความจริงต่อหน้าทุกคน” เขาหันไปมองมู่เฉิงซี “ดาบตำรวจมู่ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ คำพูดของคุณน่าเชื่อถือ คุณมาสืบเถอะครับ”
พูดจบ หนานกงเยี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เหลิ่งรั่วปิง เขาช้อนตัวเธอขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องเธอ
มู่เฉิงซีเดินตามหนานกงเยี่ยมาโดยตลอด เขานิ่งเงียบ เวลานี้หนานกงเยี่ยโยนเรื่องนี้ให้เขาแล้ว เขาเข้าใจว่าเพราะอะไร หนานกงเยี่ยต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เป้าหมายของเขาคือจัดการลั่วซูเยียง และคืนความบริสุทธิ์ให้กับเหลิ่งรั่วปิง ความเป็นจริงเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแค่เครื่องมือของหนานกงเยี่ยเท่านั้น ผลสรุปของคดีนี้ต้องออกมาตามความต้องการของหนานกงเยี่ยอยู่แล้ว
ดังนั้นมู่เฉิงซีจึงกระตุกยิ้มมุมปาก เขาพูดเสียงเรียบ “ทุกคนต่างก็รู้ดี ผมกับหนานกงเยี่ยเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงของเขา เรื่องนี้ผมไม่ควรเข้ามาจัดการ ดังนั้นคดีนี้ผมขอให้เจ้าหน้าที่คนอื่นมารับผิดชอบแทน” เขาหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองคน “พวกคุณไปสอบสวนคดีนี้เถอะ ไม่ต้องคิดว่ามีผมอยู่ด้วย”
ตำรวจทั้งสองนายลอบกลืนน้ำลาย คำพูดนี้มันน่ากระอักกระอ่วนมาก เขาเป็นถึงตำรวจยศสูงของเมืองหลง ส่วนพวกเขาเป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อย จะกล้าเพิกเฉยเขา? แต่นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบนใครจะกล้าขัดคำสั่ง เดี๋ยวต้องคอยระวังและสังเกตสีหน้าของเบื้องบนแล้วกัน
ด้วยเหตุนี้ตำรวจทั้งสองนายจึงเดินไปหาลั่วซูเยียง “คุณลั่วซูเยียงครับ รบกวนคุณเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกผมฟังอย่างละเอียดด้วยครับ”
หลังจากลั่วซูเยียงถูกลั่วเฮิ่งตบหน้า เธอมีสติขึ้นมา เวลานี้เธอกำลังมองเหลิ่งรั่วปิงที่อยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ยด้วยความหวาดกลัว จากนั้นหันกลับไปมองลั่วเฮิ่ง แล้วมองเจี่ยนชิวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ลั่วซูเยียงตกใจจนตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไร
เหลิ่งรั่วปิงฉลาดมาก เห็นได้ชัดว่าหนานกงเยี่ยกำลังปกป้องเธอ เธอรับมันด้วยความยินดี เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหนานกง ช่วยคนสำคัญกว่า ส่งคุณหญิงลั่วไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”
หนานกงเยี่ยมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรัก “ครับ คุณจิตใจดีแบบนี้อยู่เสมอ”
ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง คุณหมอตรวจดูอาการของเจี่ยนชิวในที่เกิดเหตุ หลังจากทำแผลให้เธอเรียบร้อย จึงยกเอขึ้นรถแล้วให้น้ำเกลือ
ทุกคนเริ่มพากันชื่นชมความใจดีของเหลิ่งรั่วปิง
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพอใจ เขามองไปที่ลั่วซูเยียง “ลั่วซูเยียง ผมให้โอกาสคุณตอนนี้ คุณพูดมาสิ เหลิ่งรั่วปิงทำร้ายแม่คุณยังไง”
ลั่วซูเยียงมองไปที่ลั่วเฮิ่งด้วยความสั่นเทา ลั่วเฮิ่งส่งสายตาตักเตือนเธอ ความหมายของพ่อเธอเข้าใจ พ่อไม่ต้องการให้เธอมีปัญหากับหนานกงเยี่ย ลั่วซูเยียงรู้สึกกลัว เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วพูด “ฉันจำไม่ได้ค่ะ”
หนานกงเยี่ยปรายตามองลั่วซูเยียง “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เมื่อกี้คุณเป็นคนตะโกนบอกว่าเหลิ่งรั่วปิงทำร้ายแม่ของคุณไม่ใช่หรอ ทำไมตอนนี้กลับบอกว่าจำไม่ได้ คุณเห็นทุกคนเป็นเด็กสามขวบหรือไง”
ลั่วซูเยียงเงยห้าขึ้นมองหนานกงเยี่ย ตอนที่สบตาเขา เมื่อเห็นสายตาโหดเหี้ยมและเลือดเย็นของเขา เธอตกใจจนสั่นไปหมดทั้งตัว เกือบจะล้มลงกับพื้น ริมฝีปากของเธอซีดขาว
หนานกงเยี่ยหันไปมองเวินอี๋ “เวินอี๋ คุณเล่ามาสิ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เวินอี๋รู้ว่าควรทำอะไร เธอพูดเสียงนิ่งสงบ “คุณเจี่ยนชิวและคุณลั่วซูเยียงชวนฉันกับพี่รั่วปิงมาดูจระเข้ คุณเจี่ยนชิวบอกว่าเธอสายตาไม่ดี อยากจะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ใครจะไปคิดว่าจะผลัดตกลงไป บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณลั่วซูเยียงตกใจมาก เธอจึงวิ่งหนีไปโดยที่ไม่ช่วยแม่ของตน สุดท้ายพี่รั่วปิงเป็นคนช่วยคุณเจี่ยนชิวขึ้นมาค่ะ เพื่อที่จะช่วยห้ามเลือดให้กับคุณเจี่ยนชิว พี่รั่วปิงถึงขั้นฉีกชุดราตรีราคาแพงของตนเองทิ้ง”
ทุกคนมองไปที่กระโปรงของเหลิ่งรั่วปิง ตามคำพูดของเวินอี๋ ชุดราตรีมูลค่าสามล้านหยวนของเธอถูกฉีกขาด อีกทั้งผ้าที่มัดแผลที่ขาของเจี่ยนชิวเป็นผ้าชนิดเดียวกันกับกระโปรงของเหลิ่งรั่วปิง ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงพากันพูดซุบซิบกันอีกครั้ง ต่างพากันต่อว่าลั่วซูเยียงว่าเป็นคนลืมบุญคุณ
มู่เฉิงซียืนอยู่ข้างเวินอี๋ เขาเลิกคิ้วขึ้นเงียบๆ นัยน์ตาของเขาฉายความตกใจ ในสายตาของเขาเวินอี๋เป็นคนที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะมีด้านที่ร้ายลึกแบบนี้ อีกทั้งยังพูดโกหกหน้าตายอีกด้วย ไม่รู้จริงๆ ว่าเหลิ่งรั่วปิงทำให้เธอเสียคน หรือเธอมีด้านมืดแบบนี้อยู่แล้ว
เสียงพูดคุยของทุกคนยังไม่ทันเงียบลง เวินอี๋พูดอีกครั้ง “คุณเจี่ยนชิวผลัดตกน้ำจนถูกจระเข้กัด คุณลั่วซูเยียงที่เป็นลูกสาวกลับวิ่งหนีไปแล้วทิ้งแม่ตนเองเอาไว้ อีกทั้งตอนกลับมายังใส่ร้ายพี่รั่วปิงอีก ไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าเธอมีเจตนาอะไรกันแน่” ปรายตามองลั่วซูเยียง “หรือว่าคุณลั่วซูเยียงอิจฉาที่พี่รั่วปิงเป็นคนที่คุณหนานกงรัก?”
“อื้ม ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เธอชอบคุณชายเยี่ยมานานแล้ว”
“ใช่ ลั่วซูเยียงดื้อด้านไม่ยอมตัดใจจากคุณชายเยี่ย”
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ยังกล้าชอบคุณชายเยี่ยอีก”
……
ฝูงชนพากันพูดไปต่างๆ นานา หัวเราะเยาะลั่วซูเยียง ไม่ว่าเธอจะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ลั่วเฮิ่่งกระชากผมของลั่วซูเยียงขึ้นมา เขาตบไปที่หน้าของเธออย่างแรงถึงสองครั้ง “ไร้ยางอาย!”
ความเป็นจริงเขาไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เวินอี๋พูดทั้งหมด แต่ความจริงเป้นยังไงมันไม่สำคัญเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือห้ามมีปัญหากับคุณหนานกงเยี่ย สำหรับลั่วซูเยียง เขาไม่ได้สนใจเธอแล้ว ก็แค่ลูกสาวที่ไม่เอาไหนเท่านั้น เสียไปก็เสียไปเถอะ เขายังจะมีลูกชายอีกคน
ลั่วซูเยียงถูกตบตีจนร้องไห้เสียงดัง เครื่องสำอางค์บนใบหน้าเปื้อนไปหมด เธอตะโกนเสียงดัง “หนูไม่ได้โกหก นางผู้หญิงคนนั้นเป็นผี พ่อต้องเชื่อหนูนะคะ…”
“ฉันว่าลั่วซูเยียงคงบ้าไปแล้ว เอาแต่ตะโกนว่าผีอยู่นั่นแหละ”
“ฉันก็คิดแบบนั้น ผีมีจริงที่ไหน”
……
ทุกคนมองไปที่ลั่วซูเยียง เหมือนกำลังดูเรื่องตลก พวกเขาหัวเราะเยอะและต่อว่าเธอต่างๆ นานา
เหลิ่งรั่วปิงเอนตัวซบไปที่หนานกงเยี่ยเงียบๆ บางทีความเงียบมีพลังมากกว่าการพูดเสียอีก ซึ่งเธอเงียบได้ถูกจังหวะมาก ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายพูดอธิบาย ทุกคนต่างก็ได้ข้อสรุปกันแล้ว เหลิ่งรั่วปิงมีความสุขมากที่ได้แสร้งเป็นคนดีที่น่าสงสาร
ดวงตาเย็นยะเยือกของหนานกงเยี่ย เคล้าไปด้วยความอาฆาต เขาเดินไปตรงหน้าลั่วซูเยียง ใช้ปรายเท้าเชยคางเธอขึ้นมา มองดูเธอด้วยความหยิ่งทระนง “พอความจริงเปิดเผย ก็คิดอยากจะแกล้งบ้า?”
“ไม่ใช่นะคะๆๆ คุณชายเยี่ย ฉันไม่ได้แกล้งบ้า เหลิ่งรั่วปิงเป็นผีจริงๆ ค่ะ คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่กินกับแม่ ระวังเธอจะทำร้ายคุณนะคะ!” ลั่วซูเยียงอธิบายด้วยความร้อนใจ อยากให้ทุกคนเชื่อตน
หนานกงเยี่ยเตะลั่วซูเยียงด้วยความรังเกียจ เขาหันไปบอกกับตำรวจทั้งสองสาย “สถานการณ์แบบนี้ควรจัดการยังไง”
ตำรวจทั้งสองคนตอบอย่างมีไหวพริบ “เพราะความเห็นแก่ตัว คุณลั่วซูเยียงป้ายความผิดให้คนอื่น ต้องโทษจำคุกสามเดือนครับ”
หนานกงเยี่ยพยักหน้า จากนั้นจับมือเหลิ่งรั่วปิงแล้วเดินออกไป
ลั่วซูเยียงถูกตำรวจใส่กุญแจมือ ลากตัวไปขึ้นรถตำรวจ เวลานี้ เธอยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง ร้องตะโกนเสียงดัง “คุณชายเยี่ย คุณต้องเชื่อฉันนะคะ เธอเป็นผีจริงๆ เหลิ่งรั่วปิงทำร้ายคนอื่น!”
“ชิ สันดานไม่เปลี่ยน!” ทุกคนพากันเยาะเย้ยเธอ
เหลิ่งรั่วปิงปล่อยให้หนานกงเยี่ยพาเธอเดิน มุมปากของเธอกระตุกยิ้ม
เวินอี๋เงยหน้าขึ้นบนฟ้าด้วยความได้ใจ เธอส่งยิ้มหวานให้คนบนฟ้า แล้วหันไปมองมู่เฉิงซี ซึ่งเวลานี้กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เวินอี๋เหมือนหัวขโมยที่ถูกจับได้ เธอรีบหุบยิ้มทันทีแล้วก้มหน้าลง ท่าทีของเธอทำให้มู่เฉิงซีหัวเราะเสียงดัง
อีกด้านหนึ่ง ลั่วเฮิ่งไม่สนใจว่าลั่วซูเยียงจะถูกจับกุมหรือไม่ เขาเป็นกังวลแค่เรื่องเดียว กลัวหนานกงเยี่ยจะไม่ร่วมกับเขา ด้วยเหตุนี้จึงรีบวิ่งตามหนานกงเยี่ยไปเหมือนสุนัข ก้าวผิดไปครึ่งก้าวแล้ว ลั่วเฮิ่งรีบประจบทันที “คุณชายเยี่ย ผมสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเองครับ จนสร้างปัญหาให้คุณ คุณชายเยี่ยเป็นคนใจกว้าง อย่าได้ถือสาเลยนะครับ”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้นขมวด สีหน้าไร้อารมณ์ “เรื่องส่วนตัวก็ส่วนเรื่องส่วนตัว เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน ทำหน้าที่ของคุณให้ดี ตั้งใจก่อสร้างแลนด์มาร์คเถอะครับ”
คำพูดนี้ทำให้ลั่วเฮิ่งสบายใจ เขาดีใจมาก “ขอบคุณคุณชายเยี่ยมากๆ เลยครับ ขอบคุณคุณชายเยี่ยครับ!”
“อืม ไปเถอะ ภรรยาของคุณบาดเจ็บสาหัส”
“ครับๆ”
หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ พวกเขาเดินออกไปจากงานเลี้ยง เข้าไปนั่งในรถ พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “คราวหน้าเวลาจะสร้างปัญหาช่วยเก็บกวาดให้สะอาด ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
เหลิ่งรั่วปิงนึถว่าสิ่งที่หนานกงเยี่ยหมายถึงคือ เขาสงสัยว่าเธอเป็นคนผลักเจี่ยนชิวลงน้ำ เธอจึงเบะปากแล้วพูดขึ้น “ปัญหาที่เกิดขึ้นกับฉัน คุณเป็นคนพามาไม่ใช่หรือไงคะ ใครใช้ให้คุณมีหน้าตาที่ดีและอำนาจยิ่งใหญ่จนทำให้ผู้หญิงทั้งเมืองหลงบ้าคลั่ง ฉันที่เป็นผู้หญิงของคุณกลายเป็นคนที่ถูกคนอื่นอิจฉาและจ้องทำร้าย ลั่วซูเยียงทำแบบนี้เพราะหลงรักคุณ เธอจึงร่วมมือกับแม่มาทำร้ายฉัน ฉันก็แค่ป้องกันตัวเอง ผิดด้วยหรอคะ”
ชิ…
หนานกงเยี่ยตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะชักแม่น้ำทั้งห้ามมาพูดได้เก่งขนาดนี้!