เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นาน เม้มกัดริมฝีปาก “คุณให้เวลาฉันคิดอีกสักหน่อยนะคะ”
“ผมยอมถอยหนึ่งก้าว เราหมั้นกันเถอะ หลังจากที่หมั้นกันแล้วผมจะยอมให้คุณกลับไปที่เมืองหลง” ไซ่ตี้จวิ้นรู้ เขาไม่สามารถรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้ ถ้าเธอไม่ไปจัดการเรื่องที่ค้างอยู่ในใจให้จบ เธอไม่มีวันอยู่ที่ประเทศเอ้าตูด้วยความสบายใจแน่นอน แต่เขากลัวมาก กลัวว่าเธอไปแล้วจะไม่กลับมา เขาอยากใช้การแต่งงานเป็นโซ่คล้องล็อคเธอเอาไว้ ในเมื่อขอแต่งงานแล้วเธอไม่ยอม ถ้าอย่างนั้นเขายอมถอยหนึ่งก้าว ใช้การหมั้นเป็นพันธนาการรั้งเธอเอาไว้
เหลิ่งรั่วปิงมองไซ่ตี้จวิ้นเงียบๆ ภายในใจของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะทำอย่างไรยังไงก็ยังคงสับสน จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหนื่อยใจ หมดเรี่ยวแรง มนุษย์เราก็เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ได้รับความรัก ก็จะสามารถเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าถูกรักจนอึดอัด ก็จะรู้สึกอ่อนแอจนไร้ไม่มีเรี่ยวแรง
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ภายใต้ความสับสนในใจ เธอก็พูดออกมาว่า “ได้ค่ะ”
หลังจากที่ไซ่ตี้จวิ้นได้ยินคำว่า “ได้ค่ะ” เขาคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข จับมือเหลิ่งรั่วปิงด้วยความดีใจ “รั่วปิง!”
ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกลับรีบหลบสายตาเปล่งประกายของเขา บางครั้งการถูกรักก็เป็นการกดดันอย่างหนึ่ง เธอรู้สึกว่าความรักของไซ่ตี้จวิ้นมันหนักอึ้งเกินไป
*****
ตั้งแต่ออกมาจากโถงนิทรรศการ หนานกงเยี่ยขึ้นไปนั่งบนรถ สั่งให้ก่วนอวี้ส่งเขากลับไปพักที่โรงแรม เขารู้สึกว่าในที่สุดตนก็จะสามารถกินข้าวได้ให้เต็มอิ่ม นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ได้แล้ว
บทสนทนาในวันนี้ เขามั่นใจอยู่สองเรื่อง ซึ่งทั้งสองเรื่องทำให้เขาอารมณ์ดี
เรื่องแรก เขามั่นใจว่าความสัมพันธ์ของเหลิ่งรั่วปิงและไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้พัฒนาไปจนถึงขั้นลึกซึ้ง
เรื่องที่สอง เขาแน่ใจว่าเหลิ่งรั่วปิงจะต้องกลับเมืองหลงอย่างแน่นอน
ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องแลนด์มาร์คเมืองหลง เขาเห็นความสับสนคิดโต้แย้งในแววตาคู่สวย เธอเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรต้องมีผลลัพธ์ แลนด์มาร์คเมืองหลงเป็นตราบาปในใจของเธอ ความรู้สึกผิดนี้ทำให้เธอไม่สบายใจ ดังนั้น เธอจะต้องกลับเมืองหลงเพื่อมาทำโปรเจคนี้ให้เสร็จอย่างแน่นอน ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการคิดพิจารณา เป็นแค่ขั้นต้นอนหนึ่งเท่านั้น
ขอแค่เธอกลับไปเมืองหลง เขาไม่มีวันปล่อยเธอไปเด็ดขาด
กลับไปถึงโรงแรม หนานกงเยี่ยรู้สึกหิวมาก เขาบอกให้ก่วนอวี้สั่งอาหาร ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากอาหารที่สุด บริกรในโรงแรมเข็นรถอาหารเปิดประตูเข้ามา เขาแทบจะอดรนทนไม่ไหว นั่งลงบนโต๊ะแล้วรีบกินทันที
ช่วงนี้ก่วนอวี้หวั่นไหวกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาของหนานกงเยี่ย ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมามากมาย แต่ก่วนอวี้รู้ หนานกงเยี่ยอารมณ์ดีมาก
คำเชิญของหนานกงเยี่ยในวันนี้ เหลิ่งรั่วปิงปฏิเสธ แล้วหนานกงเยี่ยดีใจเรื่องอะไร
ก่วนอวี้ไม่เข้าใจ คิ้วของเขาขมวดคิ้วเป็นปม “คุณชายเยี่ยครับ คุณเหลิ่งปฏิเสธคำเชิญของคุณชาย ต่อจากนี้พวกเราจะต้องทำยังไงครับ” เหลิ่งรั่วปิงไม่ร่วมงานกับบริษัทหนานกง ถ้าอย่างนั้นที่ดินมากมายที่หนานกงเยี่ยประมูลซื้อมาจะมีความหมายอะไร
“รอสายจากเธอก็พอแล้ว” หนานกงเยี่ยพูดนิ่งๆ กินอาหารคำโต ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม
ก่วนอวี้ “?”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองก่วนอวี้ แววตาของเขามีรอยยิ้มแฝงเอาไว้ “เธอจะต้องกลับเมืองหลงอย่างแน่นอน”
ก่วนอวี้นึกถึงเรื่องที่หนานกงเยี่ยโกหกว่าภาพสเก็ตเมืองหลงหายไป อยากเชิญนักสถาปนิกมาออกแบบใหม่ ทั้งยังพูดเชิงให้โอกาสกับเหลิ่งรั่วปิง “คุณชายเยี่ย คุณชายคิดว่าคุณเหลิ่งจะกลับมาเมืองหลงเพื่อโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงจริงๆ เหรอครับ”
“อื้ม” หนานกงเยี่ยพยักหน้า “ถึงแม้ตอนนั้นเธออยากจะใช้แลนด์มาร์คเมืองหลงในการแก้แค้นลั่วเฮิง แต่เธอตั้งใจออกแบบมันมาก เธอรักในการออกแบบสิ่งปลูกสร้าง เหลิ่งรั่วปิงไม่มีวันยอมให้ผลงานของตนเองพังแน่ อีกเรื่องหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าผลงานของเธอเกี่ยวข้องกับพ่อของเธอ อาจจะเป็นความปรารถนาของพ่อเธอก็ได้ ดังนั้น แลนด์มาร์คเมืองหลงเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอ ถ้าเธอไม่ยอมจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง เธอไม่มีวันสบายใจหรอก”
หนานกงเยี่ยให้ความสำคัญกับคำพูดมาก ถ้าสามารถใช้แค่คำพูดสั้นๆ คำเดียวในการจบบทสนทนาได้ เขาไม่มีวันพูดสองคำแน่นอน น้อยครั้งที่เขาจะพูดร่ายยาวแบบนี้ วันนี้จู่ๆ เขาก็พูดกับก่วนอวี้ตั้งมากมาย ทั้งหมดเป็นเพราะเขาอารมณ์ดีมาก
ก่วนอวี้รู้สึกดีใจจนตกใจ เขาอมยิ้ม ถ้าเหลิ่งรั่วปิงกลับเมืองหลงจริงๆ หนานกงเยี่ยต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรั้งให้เธออยู่ต่อ ชีวิตนี้เธออย่าแม้แต่จะคิดว่าจะออกไปจากเมืองหลงได้อีก ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ทุกคนก็จะมีความสุขมากขึ้น สี่เดือนที่ผ่านมานี้ หนานกงเยี่ยเอาแต่ทรมานตนเอง คนที่อยู่รอบตัวเขาก็พากันกดดันไปด้วย อึดอัดจนบรรยายไม่ได้จริงๆ
*****
ช่วงหัวค่ำ เหลิ่งรั่วปิงกินมื้อค่ำคนเดียว จากนั้นกลับไปที่คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เธอนั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป คลิ๊กเลื่อนภาพสเก็ตแลนด์มาร์คเมืองหลง มองดูภาพสเก็ตที่เธอทำด้วยตนเอง ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา
อาคารหลังนี้ เธอเป็นคนตั้งชื่อด้วยตนเอง “เฟยเทียน” สื่อถึงความรุ่งเรืองของเมืองหลง ที่ทะยานขึ้นไปบนฟ้า นี่เป็นความฝันของผพ่อ
มือเรียวยาวลูบจับหน้าจอแล็ปท็อปเบาๆ “พ่อคะ ขอโทษด้วยนะคะ หนูเป็นคนทำลายความฝันของพ่อด้วยตัวนเอง ตอนนี้หนูจะกลับไปทำความฝันของพ่อให้สำเร็จนะคะ”
หลังจากคิดพิจารณาอยู่นาน เหลิ่งรั่วปิงหยิบโทรศัพท์ออกมา เลื่อนไปที่ชื่อของหนานกงเยี่ย จากนั้นกดโทรออก
ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว คล้ายว่ากำลังรอสายจากเธอโดยเฉพาะ “สวัสดีครับ คุณฉู่?” เสียงของหนานกงเยี่ยลุ้มลึก เพราะเหมือนเสียงน้ำไหล
“คุณหนานกง ฉันกลับมาคิดทบทวนดูแล้วค่ะ ฉันสนใจโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลง” เหลิ่งรั่วปิงพยายามพูดเสียงนิ่งที่สุด รอยยิ้มและน้ำเสียงปรับให้ธรรมชาติที่สุด “ขอบคุณคุณหนานกงมากนะคะ ที่ให้โอกาสที่ดีขนาดนี้กับฉัน ฉันได้โอกาสที่ดีแบบนี้เพราะผู้หญิงที่คุณรักมากที่สุด ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ”
“ครับ” น้ำเสียงของหนานกงเยี่ยดูดีใจอย่างชัดเจน “แล้วคุณจะสามารถย้ายไปเมืองหลงเมื่อไหร่ครับ” ไม่รอให้เหลิงรั่วปิงตอบ หนานกงเยี่ยก็พูดเสริม “คุณก็รู้ใช่ไหมครับ แลนด์มาร์คเมืองหลงเป็นโปรเจคใหญ่ที่เคยถูกจับตามอง ข้าราชการระดับสูงต่างให้ความสำคัญกับโปรเจคนี้ การถล่มของตึกก่อนหน้านี้ทำให้เมืองหลงขายหน้ามาก ดังนั้นผมจึงใจร้อนกับโปรเจคนี้มาก”
“…” เหลิ่งรั่วปิงเม้มกัดฟัฝัน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยขยายเวลาอีกสองสามวันได้ไหมคะ ฉันมีเรื่องสำคัญต้องทำที่ประเทศเอ้าตู”
เรื่องสำคัญ? เธอมีเรื่องสำคัญอะไร เกี่ยวกับไซ่ตี้จวิ้น?
หนานกงเยี่ยคิ้วขมวดคิ้วเป็นปม “การมาประเทศเอ้าตูในครั้งนี้ของผม จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือหานักสถาปนิกมาออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงใหม่ โปรเจคนี้ต้องรีบทำให้เสร็จ ดังนั้นถ้าคุณมีธุระสำคัญจนทำให้ล่าช้าและเสียเวลานาน ผมก็จะประกาศรับสมัครนักสถาปนิกจากทั่วทุกมุมโลกแทน ส่วนคุณก็จะพลาดโอกาสนี้ไปนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจ เธอเปลี่ยนตนเองเป็นฉู่หนิงซยาโดยอัตโนมัติ “คุณหนานกง ก่อนที่จะไปเมืองหลง ฉันมีเรื่องใหญ่ในชีวิตที่ต้องจัดการ ฉันจะหมั้นกับแฟนของฉันค่ะ หลังจากหมั้นหมายกันแล้ว ฉันจะออกเดินทางไปเมืองหลงทันที”
หนานกงเยี่ย “…” เรื่องใหญ่ในชีวิตของเธอ หมั้นกับไซ่ตี้จวิ้น?!
มือของหนานกงเยี่ยบีบแน่น เขาแทบจะบีบโทรศัพท์จนพัง สิ่งที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในร่างกายของเขากำลังมีน้ำตาออกมา ราวกับว่าห้องทั้งห้องถูกทำลาย “คุณกับแฟนของคุณรักกันถึงขั้นนี้เลยเหรอครับ ทำไมต้องรีบหมั้นด้วย”
เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้ม “บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจหัวใจของผู้หญิง ผู้หญิงคนหนึ่งได้เจอกับคนที่รักตนเองจากใจจริง ยินดีที่จะแต่งงานกับเธอและใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยนะคะ ฉันโชคดีมากที่จะได้เจอกับเขา ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะหมั้นก่อนจะไปค่ะ”
หนานกงเยี่ย “…”
ใช่ ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจหัวใจของผู้หญิง ไม่สนใจเรื่องแต่งงาน ไม่สนแคร์คำสัญญาที่จะใช้ชีวิตกับคนคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิต เพราะเหตุนี้ เธอถึงปฏิเสธเขาใช่ไหม แต่ว่าตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว เขาอยากแต่งงานกับเธอ อยากอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ไม่มีผู้หญิงคนไหนนอกจากเธอ เธอจะให้โอกาสเขาได้ไหม
เธอเคยให้โอกาสเขา แต่เขากลับทำลายมันด้วยมือตัวเอง!
หนานกงเยี่ยหลับตาลงด้วยความปวดใจ เขาพยามข่มเสียงของตนเอง “นานเท่าไหร่ครับ”
“ครึ่งเดือนค่ะ”
“ครับ” หนานกงเยี่ยยิ้มเศร้า “ผมมีเรื่องที่ต้องสะสางในประเทศเอ้าตูสักพักหนึ่งเหมือนกัน หลังจากเสร็จงานแล้วคุณสามารถก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวของผม กลับเมืองหลงพร้อมกับผมก็ได้ครับ”
เขาใช้เวลาคิดอย่างรวดเร็ว การที่ทำให้เธอมีความคิดจะกลับไปเมืองหลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาไม่มีวันทำลายมัน ถึงแม้การหมั้นของเธอกับไซ่ตี้จวิ้นจะทำให้เขาแทบคลั่ง แต่เขาก็ไม่สามารถบีบบังคับเธอจนเกินไปไม่ได้ ก็แค่หมั้นเท่านั้น ยังสามารถถอนหมั้นได้ตลอดเวลา ขอแค่เธอกลับไปเมืองหลง การหมั้นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เขาจะต้องทำให้เธอกลับมาอยู่ข้างเขาอีกครั้งให้ได้
“ค่ะ ขอบคุณคุณหนานกงมากนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะข้องเกี่ยวกับหนานกงเยี่ยอีก กลับไปเมืองหลงในครั้งนี้ เธอจะต้องหักห้ามใจตนเองให้ได้ ห้ามเผลอใจเด็ดขาด การที่เธอตกลงหมั้นกับไซ่ตี้จวิ้นก็เป็นการตัดทางเลือกของตนเองเหมือนอกัน เพราะท้ายที่สุดเธอต้องกลับมาประเทศเอ้าตู
******
เป็นเพราะเวลาเตรียมงานมีน้อย พิธีหมั้นของไซ่ตี้จวิ้นและเหลิ่งรั่วปิงจึงไม่ได้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะมีคนในตระกูลดัง นักธุรกิจใหญ่รวมถึงดาราในประเทศเอ้าตูจะมาร่วมงาน แต่เมื่อเทียบกับฐานะของไซ่ตี้จวิ้น พิธีหมั้นในวันนี้กลับไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนัก
กู้จือเหาในฐานะที่เป็นคุณชายรองของบริษัทกู้ซื่อ แน่นอนว่าต้องได้รับการ์ดเชิญ เขาไม่อยากมาจริงๆ แต่หลังจากที่ถูกพ่อและพี่ชายสั่งสอนเขาจึงจำยอมมา คนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้คือเหลิ่งรั่วปิง เขารู้สึกว่าฉู่หนิงซยาคือสารหนู แค่อยู่ใกล้ก็จะถึงกับชีวิต
มือของเขาถูกหนานกงเยี่ยบิดจนหัก ต้องเข้าเฝือก ทั้งยังมีผ้าคล้องคอตลอดเวลา สภาพของเขาในเวลานี้ไม่น่ามองเท่าไรหร่ ถึงแม้จะถูกหนานกงเยี่ยทำร้ายถึงขั้นนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าบอกใครว่าตนเจอกับหนานกงเยี่ย และยังแขนหักเพราะเขา กู้จือเหาได้แต่บอกทุกคนว่าตนเองขับรถไม่ระวังทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นเท่านั้น ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตนจะซวยขนาดนี้เพราะฉู่หนิงซยา
ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงเห็นสภาพของกู้จือเหา เธออดไม่ได้ที่จะตกใจ จำได้ว่าวันนั้นเธอแค่เตะเขาเท่านั้น ไม่ได้ชกแขนเขา ทำไมถึงบาดเจ็บขนาดนี้ได้ เธออยากเดินเข้าไปถาม แต่พอกู้จือเหาเห็นเธอก็รีบเดินหนี เขาไม่ใช่คนเดิมที่คอยตามตอแยเธออีกแล้ว
หึ! เหลิ่งรั่วปิงส่ายหน้าไปมาด้วยความขันตลก ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากมาย
หนานกงเยี่ยอยู่ที่ประเทศเอ้าตู ถึงแม้เขาจะเคยมีเรื่องกับไซ่ตี้จวิ้น แต่ตามมารยาทแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นจึงต้องส่งการ์ดเชิญไปให้เขา ทางด้านหนานกงเยี่ยเองก็ให้เกียรติมาร่วมงาน
การมาของเขา ทำให้พิธีหมั้นดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที เหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับงานหมั้นนี้มาก หนานกงเยี่ยสวมชุดสูทสีดำ รองเท้าหนังสีดำทำ ผมของเขาเซ็ทมาอย่างดี ดูเป็นทางการมาก ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน ก็มีมาดออร่าราวกับเป็นราชา