สีหน้าของหนานกงเยี่ยยิ่งอยู่ก็ยิ่งดูไม่พอใจ อุณหภูมิภายในรถลดต่ำลงเรื่อยๆ
ก่วนอวี้เร่งความเร็วแล้วขับรถตามเหลิ่งรั่วปิงไป มือของเขายังคงสั่นเทาไม่หยุด เดิมทีเขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่ขับรถเก่งมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเหลิ่งรั่วปิงจะขับรถเก่งกว่าเขาสักอีก เธอเป็นใครกันแน่
แน่นอนว่าคำถามนี้ก็อยู่ในใจของหนานกงเยี่ยก็คิดอยู่เหมือนกัน เขากำหมัดแน่น ขอเพียงแค่มีอะไรมากระตุกความคิดเขาอีกสักนิด เขาก็พร้อมที่จะชกกระจกรถยนต์ในทันที
มู่เฉิงรู้สึกว่าในที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นก็สามารถยืนยันความคิดของเขาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นยะเยือก “หนานกง เหลิ่งรั่วปิงไม่ธรรมดาจริงๆ”
“หุบปาก!” หนานกงเยี่ยหันไปตะคอกมู่เฉิงซี จากนั้นก็รีบหันกลับมามองรถที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังขับอยู่ นัยต์ตาของเขามีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมาด้วยความโมโห
หนานกงเยี่ยที่กำลังโมโหอยู่นั้น ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา ทำให้ภายในรถเงียบสงัด แม้แต่หายใจยังต้องหายใจด้วยความระมัดระวัง
เหลิ่งรั่วปิงไม่คำนึงถึงความคิดของหนานกงเยี่ย เธอยังคงไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด เพราะรถที่ขับอยู่ด้านหน้ายังคงขับด้วยความเร็วสูง ด้านหน้ามีรถยนต์ทั้งหมดสามคัน เวินอี๋นั่งอยู่ในรถคันตรงกลาง เธอวิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ คนที่อยู่ภายในรถคันตรงกลางต้องเป็นบอสใหญ่ ส่วนรถอีกคันหน้าและคันหลังต้องเป็นบอดี้การ์ดอย่างแน่นอน เหลิ่งรั่วปิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว บอดี้การ์ดมีทั้งหมดแปดคน
ในที่สุด รถก็ขับไปยังถนนที่โล่งและกว้าง รถที่สัญจรไปมาก็น้อยลง ดูจากทางที่รถขับไปนั้นเหมือนจะขับไปยังวิลล่าริมน้ำที่อยู่แถวชาญเมือง
เหลิ่งรั่วปิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เธอตัดสินใจหยุดรถสามคันนี้ที่นี่ เพราะเธอไม่รู้ว่าถ้าไปถึงวิลล่าริมน้ำจะมีบอดี้การ์ดอีกกี่คน เธอกลัวว่าลำพังแค่เธอคนเดียวคงรับมือไม่ไหว
ดังนั้น เธอมองดูสถานการณ์บนท้องถนนอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายอย่างกะทันหัน แล้วเหยียบคันเร่งให้สุด เพื่อที่จะแซงรถยนต์สามคันที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นเธอก็หยิบมีดปลอกผลไม้ที่อยู่บนรถ พร้อมกับเล็งไปที่ยางรถยนต์คันข้างหน้าแล้วขว้างมีดออกไป หนึ่งวินาทีต่อจากนั้น เธอก็ยินเสียงเบรคด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยภาพของรถยนต์คันที่เธอขว้างมีดปักเข้ากับล้อรถยนต์ ทำให้รถขับเซไปทางซ้ายทีทางขวา รถยนต์คันนั้นสูญเสียการควบคุม จนในที่สุดก็ชนเข้ากับรั้วกั้นถนน ทำให้รถพลิกคว่ำและตายกันหมด
รถยนต์สองคันด้านหลังเหยียบเบรคในทันที ทำให้ตอนนี้รถยนต์ทั้งสองคันจอดสนิท
แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ได้หยุดรถ เพราะว่าเธอเห็นปืนสีดำสนิทในมือของบอดี้การ์ดคันด้านหลัง เวลานี้เธอไม่มีอาวุธจึงไม่สู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้าได้ เธอจำเป็นต้องวางแผน
ด้วยเหตุนี้ เธอไม่เพียงแต่ไม่หยุดรถแต่กลับเร่งความเร็วรถยนต์ ทำให้พวกเขาคิดว่าเธออยากจะหนี บอดี้การ์ดที่เหลืออีกสี่คนนั้นจึงแยกย้ายกัน สองในสี่อยู่คุ้มกันเจ้านาย และอีกสองคนที่เหลือก็รีบขับรถไล่ตามเธอมา
เหลิ่งรั่วปิงกระตุกมุมปากแล้วแสยะยิ้ม เธอกลับรถอย่างกะทันหัน แล้วเผชิญหน้ากับรถยนต์ที่กำลังขับตามมาอย่างรวดเร็ว เธอวิเคราะห์แล้ว รถยนต์ที่ขับไล่ตามเธอมานั้นเป็นแค่รถยนต์ธรรมดา แต่รถยนต์ที่เธอกำลังขับอยู่นี้เป็นรถของครอบครัวหนานกง เป็นรถอันดับต้นๆ ของโลก ถ้ารถสองคันนี้ชนกันขึ้นมา ฝ่ายนั้นต้องพังยับอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัด ฝ่ายนั้นคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งรั่วปิงจะทำแบบนี้ บอดี้การ์ดทั้งสองคนตกใจจนอ้าปากกว้าง แต่พวกเขายังไม่ได้ถึงดึงสติกลับมา ก็ได้ยินเสียง “ปั้ง” ดังสนั่น เส้นทางชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงแม้ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รถยนต์ของเธอก็พังยับจนไม่สามารถขับต่อไปได้อีก เธอส่ายหัวของตนเองที่รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากนั้นก็รีบลงจากรถยนต์อย่างรวดเร็ว เธอเดินไปเอาปืนมาจากตัวของเขา และเล็งไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองคนแล้วยิงปืนออกไปสองนัดอย่างไม่ลังเล เธอยิงปืนได้แม่นมาก บอดี้การ์ดทั้งสองคนยังไม่ทันฟื้นขึ้นมาจากการถูกรถชน ก็ถูกยิงทะลุระหว่างคิ้วและเสียชีวิตในทันที
เหลิ่งรั่วปิงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เธอกระทืบเท้าข้างซ้ายและข้างขวา เพื่อหักส้นที่แหลมสูงของรองเท้า จากนั้นก็วิ่งไปด้วยความรวดเร็วเหมือนสปริง เธอวาดเส้นตรงที่สวยงามบนพื้น วิ่งไปยังรถที่จับตัวเวินอี๋เอาไว้ และเอาปืนชี้หน้าผู้ชายแก่ๆ ที่อยู่ในรถยนต์
Related