สาเหตุที่หนานกงเยี่ยรู้สึกแย่ เป็นเพราะเหลิ่งรั่วปิงออกไปกับผู้ชายคนอื่น ถึงแม้เขาจะรู้ดีแก่ใจว่าเหลิ่งรั่วปิงกับลั่วเฮิ่งไม่มีทางเป็นอะไรกัน แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ แค่มีผู้ชายมาอยู่ข้างๆ เธอ เขาก็รู้สึกไม่ดี หนานกงเยี่ยเองก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้เหมือนกัน ทำไมตนเองต้องไร้เหตุผลถึงขั้นนี้ด้วย
ลั่วเฮิ่งเลือกภัตตาคารที่หรูที่สุดในเมืองหลง เขาเปิดห้องวีไอพี สั่งอาหารขึ้นชื่อราคาแพง เวลานี้เขาแทบอยากจะบูชาเหลิ่งรั่วปิงขึ้นหิ้ง
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ มองดูสิ่งที่เขาทำ นัยน์ตาสีนิลของเธอหยั่งลึก มีแสงสะท้อนจากนัยน์ตาคู่สวย เธอจะให้เขาเสพสุขอีกสักระยะหนึ่ง
“คุณเหลิ่ง การร่วมมือกันทำโปรเจคโรงแรมอิมพีเรียลของเราเป็นไปด้วยดี นี่คือค่าเหนื่อยของคุณ” ลั่วเฮิ่งยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหยิบเช็คมาวางตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงไม่เล่นตัว เธอหยิบเช็คมาดู จากนั้นเก็บเข้ากระเป๋า “คุณลั่วทำตามที่พูดเอาไว้ หวังว่าการร่วมงานกันในครั้งนี้ของเราจะเป็นไปได้ด้วยดีเหมือนกันนะคะ”
“ฮ่าๆๆ…” ลั่วเฮิ่งหัวเราะจนลืมรักษาภาพลักษณ์ เขายกเหล้าขึ้นมา “นี่ครับ ผมขอดื่มให้คุณเหลิ่งหนึ่งแก้ว”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มหวาน เธอยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วชนกับลั่วเฮิ่ง จากนั้นดื่มมันลงไป สิ่งที่ไม่มีใครเห็นก็คือส่วนลึกในดวงตาสีนิลของเธอ เต็มไปด้วยความเสียงคำรามของความแค้น
วางแก้วลง ลั่วเฮิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณเหลิ่งครับ การก่อสร้างแลนด์มาร์คในครั้งนี้ คุณจะเริ่มลงมือจากส่วนไหนครับ”
“โปรเจคโรงแรมอิมพีเรียล พวกเราใช้ส่วนต่างของราคาเหล็ก ถึงแม้ฉันกับประธานไซ่จะสนิทกันมาก แต่ฉันก็ไม่ควรให้ทำคอยปลอมแปลงเอกสารให้ตลอดเวลา เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นถึงประธานบริษัท”
“ครับๆๆ” ลั่วเฮิ่งพยักหน้า คนอย่างไซ่ตี้จวิ้น ทำแค่ครั้งเดียวก็ถือว่าทำผิดมากแล้ว
“ดังนั้น สำหรับโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลง พวกเราต้องแอบทำด้วยตนเองค่ะ”
ลั่วเฮิ่งเบิกตากว้าง มองดูเหลิ่งรั่วปิงเหมือนเด็กน้อยที่กำลังตั้งใจฟังอาจารย์สอน
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม “ขอร่างงานออกแบบให้ฉันหน่อยค่ะ”
ลั่วเฮิ่งเชื่อฟังเป็นอย่างดี เขาหยิบร่างงานออกแบบออกมาจากกระเป๋า แล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
เหลิ่งรั่วปิงพลิกร่างงานออกแบบ แล้วหยุดลงที่หน้าหนึ่ง นิ้วเรียวยาวของเธอชี้ไปยังภาพ “พวกเราต้องลงมือจากที่นี่ค่ะ ตอนที่คุณก่อสร้างแลนด์มาร์ค คุณลดขนาดของที่นี่ลงห้ามิลลิเมตร โปรเจคใหญ่ขนาดนี้ ลดจุดนี้ไปแค่มิลลิเมตร ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายมหาศาลได้แล้วค่ะ”
ลั่วเฮิ่งขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะโลภมาก แต่รู้ดีว่าการทำแบบนี้จะส่งผลเสียอย่างไร การก่อสร้างให้ความสำคัญกับความแม่นยำที่สุด พลาดไปไม่กี่มิลลิเมตร ถึงแม้มันจะดูไม่ออก แต่การเปลี่ยนขนาดในภาพร่างงานออกแบบโดยพลการ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะมีความผิดร้ายแรง “คุณเหลิ่งครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ทำไมคะ คุณลั่วไม่เชื่อใจฉันหรอคะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ไม่ต้องร่วมงานกันแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันบอกให้คุณหนานกงเปลี่ยนผู้รับเหมาเอง” เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้น เธอจงใจให้เขาติดกับ เธอรู้ดีว่าลั่วเฮิ่งโลภมากแค่ไหน อ้อยเข้าปากช้างไม่มีวันคายออกมาหรอก
“ไม่ครับๆๆ ผมไม่ได้ไม่เชื่อใจคุณเหลิ่งนะครับ คุณเหลิ่งอย่าโมโหเลยครับ” ลั่วเฮิ่งรีบประจบ “จากโปรเจคโรงแรมอิมพีเรียลที่ผ่านมา ทำให้ผมเชื่อใจคุณเหลิ่งมากครับ ทำตามที่คุณเหลิ่งพูดเถอะครับ ตอนก่อสร้างผมจะแอบลดขนาดลงห้ามิลลิเมตรครับ”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม “แบบนี้ถึงจะถูกสิคะ จะหาเงินได้ยังไงถ้าไม่มีความกล้า ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นถึงสถาปนิก ฉันมั่นใจกับผลงานของตนเอง การแก้ไขปรับลดขนาดแค่ห้ามิลลิเมตรไม่ส่งผลอะไรแน่นอนค่ะ อีกทั้งตอนตรวจสอบอาคารก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องยิบย่อยนี้ ทำงานง่ายๆ ก็สามารถกวาดเงินก้อนใหญ่ พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำคะ”
“ถูกต้องครับๆๆ” ลั่วเฮิ่งยิ้มแล้วพยักหน้า เมื่อครู่เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หนานกงเยี่ยพูดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าคำพูดของเหลิ่งรั่วปิงเท่ากับเป็นคำพูดของเขา หนานกงเยี่ยตามใจเธอมากขนาดนี้ เขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อเธอ
“ขอให้งานของเราผ่านไปด้วยดีค่ะ!” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมา
“ขอให้งานของเราผ่านไปด้วยดีครับ!” ลั่วเฮิ่งยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมา
ตอนที่ทั้งสองชนแก้วกัน สิ่งที่เขาเห็นคือธนบัตรหลากสี ส่วนสิ่งที่เธอเห็นคือภาพเขาตกนรก
*****
หลังจากแยกย้ายกับลั่วเฮิ่ง ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว เหลิ่งรั่วปิงโบกรถแล้วกลับไปที่วิลล่าหย่าเก๋อ
สิ่งที่ทำให้เธอตกใจก็คือ ภายในวิลล่าหย่าเก๋อไม่ได้เปิดไฟ ทุกอย่างมืดไปหมด แบบนี้มันไม่ปกติ ต่อให้หนานกงเยี่ยไม่กลับมา แต่ที่นี่ก็มีสาวใช้อยู่หลายคน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เปิดไฟ
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย ไม่มีพระจันทร์และดาว ทำให้สวนหน้าวิลล่ามืดมาก
เธอขมวดคิ้วเป็นปม หยิบใบมีดออกมาจากกระเป๋า เดินไปที่ประตุด้วยความระมัดระวัง ตอนที่เธอเดินเข้าไปด้านใน เห็นเงาดำๆ อยู่ตรงประตู เหลิ่งรั่วปิงเตะไปที่เงานั้นทันที เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นตามด้วยเสียงล้ม
ตอนที่เสียงร้องดังขึ้น เหลิ่งรั่วปิงรู้ทันทีว่าเงานั้นเป็นใคร เขาคือพ่อบ้านของวิลล่าหย่าเก๋อ
“พ่อบ้าน พ่อบ้านมาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่เปิดไฟคะ”
พ่อบ้านยิ้มด้วยความเจ็บปวด จับสะโพกแล้วลุกขึ้นยืน “คุณเหลิ่งครับ ผมกำลังรอคุณเหลิ่งอยู่ครับ วันนี้คุณชายเยี่ยดูอารมณ์ไม่ดี คุณชายไม่ให้เปิดไฟครับ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่เข้าใจ ทำไมหนานกงเยี่ยถึงอารมณ์ไม่ดี ทำตัวเป็นเด็กไปได้ พออารมณ์ไม่ดีก็ไม่ให้เปิดไฟ ปล่อยให้คนอื่นๆ ทำงานท่ามกลางความมืด เอาแต่ใจตนเองมากเกินไปแล้ว
“คุณหนานกงอยู่ไหนคะ”
“นั่งอยู่ในห้องรับแขกครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเก็บใบมีดของเธอ สาวเท้าเดินเข้าไปในห้องรับแขก เธอเห็นหนานกงเยี่ยนั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องที่มืดสนิทนี้ยื่นมือออกมาก็ยังมองไม่เห็น มีเพียงแสงไฟกระพริบจากโทรศัพท์ของเขา แสงไฟส่องสะท้อนไปที่ใบหน้า แม้จะมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของเขาที่แผ่ซ่านออกมา ถึงแม้ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่รังสีความเย็นของเขาแผ่ซ่านออกมาจนทำให้อากาศในห้องเย็นไปหมด ภายใต้แสงสลัวของโทรศัพท์ที่ส่องไปยังใบหน้าของเขา เผยให้เห็นว่าใบหน้าของเขาทำเย็นชามาก
ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาขยับตัวเล็กน้อย ทว่ายังคงเย็นยะเยืก
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว เธอร้องเรียกเสียงเบา “คุณหนานกง”
หนานกงเยี่ยวางโทรศัพท์ลง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หึ คุณรู้ด้วยหรอว่าต้องกลับมา”
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ผู้ชายคนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งขี้น้อยใจ “ฉันไปประสานงานกับผู้รับเหมา เป็นการพูดคุยกันครั้งแรก ดังนั้นจึงใช้เวลานานนิดหน่อย”
หนานกงเยี่ยกดรีโมทในมือ เสี้ยววินาทีไฟในห้องรับแขกส่องสว่าง เหลิ่งรั่วปิงรีบหลับตาลง ตอนที่เธอลืมตาขึ้น หนานกงเยี่ยเดินมาตรงหน้าเธอแล้ว ดวงตาคู่สวยของเขามองมาที่เธอด้วยความเจ็บปวด
เจ็บปวด เธอมั่นใจว่าตนเองเห็นความเจ็บปวดจากแววตาของเขา คิดไม่ถึงจริงๆ ผู้ชายเย็นชาและเผด็จการอย่างหนานกงเยี่ย จะมีความรู้สึกเจ็บปวด
หนานกงเยี่ยยกมือขึ้นจับคางของเธอ เขาเชยคางเธอขึ้น “ทำไมคุณถึงไม่โทรศัพท์มาหาผม” น้อยครั้งมากที่เธอจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขา มีครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอเป็นฝ่ายโทรศัพท์หาเขา คือตอนที่สมองของเธอกระทบกระเทือนเล็กน้อย เขาหยุดงานของเธอทุกอย่าง เธอจึงโทรมาโวยวายกับเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
เหลิ่งรั่วปิวตลกกับท่าทีเศร้าของผู้ชายเย็นชาอย่างหนานกงเยี่ย “คุณหนานกงทำงานหนักทุกวัน ส่วนฉันเป็นแค่สถาปนิกตัวเล็กๆ โทรหาคุณกลัวจะเป็นการรบกวน แล้วถ้าหากไปขัดจังหวะตอนที่คุณกำลังออกเดตกับสาวสวยเข้าละคะ จะไม่เป็นการทำให้อารมณ์เสียหรอ”
“เหลิ่งรั่วปิง!” หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอด เขาบีบคางเธอแรงขึ้น
เหลิ่งรั่วปิงยิ่งรู้สึกตลก เธอผลักมือเขาทิ้ง แล้วกอดเอวเขาเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเยี่ย “คุณหนานกงคิดถึงฉันหรอคะ”
หนานกงเยี่ยเบะปาก ไม่ได้พูดอะไร กลิ่นหอมอ่อนๆ ในตัวเธอ ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนระทวยไปหมด ความโกรธที่มีจางหาย ถูกต้องแล้ว เขาคิดถึงเธอและที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาหึง ถึงแม้การหึงในครั้งนี้จะดูแปลกไปหน่อย แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลย เพราะหึงอย่างไม่มีเหตุผล เขาจึงประหม่าที่จะพูดออกมา
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วตบหน้าอกเขาเบาๆ “พอได้แล้วค่ะ คุณหนานกงอย่าโมโหเลยนะ ตอนนี้คุณเหมือนเด็กน้อยเลย”
เด็กน้อย? เธอหาว่าเขาเป็นเด็กน้อย!
หนานกงเยี่ยรู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกอย่างแรง เขาดึงตัวเธอเข้ามากอด จากนั้นจูบเธอด้วยความโหยหา เขาทั้งเผด็จการ รุนแรง อยากที่จะให้จูบนี้ของเขาปราบพยศเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงนึกว่าเขาจะจูบเธอนาน แต่คิดไม่ถึงเขาจูบเธอแค่ไม่นานก็คลายจูบ แววตาคมเข้ม “คุณไปดื่มมา?”
“ค่ะ…อร๊าย!” เขาดึงตัวเธอเข้าไปใกล้ด้วยความรุนแรง เหลิ่งรั่วปิงเจ็บจนสูดลมหายใจเข้า “คุณหนานกง คุณจะทำอะไรของคุณ”
“ต่อไปนี้ห้ามดื่มกับผู้ชายคนไหนอีก!” ถึงแม้เธอจะเป็นคนคอแข็ง ทว่าหากเธอเมาขึ้นมาจะทำยังไง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ทำให้ผู้ชายเกิดความคิดไม่ซื่อเอาได้
เหลิ่งรั่วปิงหมดความอดทนกับความเผด็จการของเขา เธอผลักเขาออกแล้วเดินขึ้นชั้นบน “ฉันเหนื่อยแล้ว จะไปอาบน้ำแล้วเข้านอนค่ะ”
ขณะที่เธอเดินก้าวไปบนบันไดขั้นแรก ด้านหลังก็มีเสียงของหนานกงเยี่ยดังขึ้นด้วยความหงุดหงิด “ผมยังไม่ได้กินข้าว ไปทำอาหารให้ผมเดี๋ยวนี้!”
เหลิ่งรั่วปิงหยุดเดิน หันไปมองหนานกงเยี่ยด้วยสายตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน “คุณหนานกง ที่บ้านมีแม่ครัวตั้งหลายคนไม่ใช่หรอคะ”
หนานกงเยี่ยไม่สนใจสายตาของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ “ผมอยากกินฝีมือคุณ ไปทำเร็วเข้า!” เขายังไม่เคยกินอาหารฝีมือเธอ ไม่รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของเธอจะเป็นยังไง
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินขึ้นชั้นบนด้วยความดื้อดึง “ฉันเหนื่อยแล้ว ต้องการพักผ่อนค่ะ” เธอไม่ใช่แม่นมของเขาสักหน่อย ทำไมเธอต้องปรนนิบัติรับใช้เขาด้วย
หนานกงเยี่ยโมโหกับความดื้อของเธอ เขาเดินตามเหลิ่งรั่วปิงไป แล้วช้อนตัวเธอขึ้นมาไว้บนบ่า จากนั้นเดินสาวเท้าเข้าไปในห้องครัว
“คุณหนานกงเยี่ย ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
เหลิ่งรั่วปิงทั้งเตะทั้งตีเขา แต่หนานกงเยี่ยกลับไม่สนใจเธอเลย เขาเดินไปถึงห้องครัวแล้ววางเธอลง “รีบทำอาหารให้ผมทานเร็วเข้า ผมหิวแล้ว!”
เหลิ่งรั่วปิงเตะเท้าของเขาด้วยความโมโห หนานกงเยี่ยไม่หลบ ตอนที่เธอเตะเขา หนานกงเยี่ยกลับหัวเราะ เหลิ่งรั่วปิงทั้งโมโหทั้งจนปัญญา เธอถอดเสื้อกันหนาวแล้วโยนไปตรงหน้าหนานกงเยี่ย จากนั้นหันหมุนตัวหันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง
เหลิ่งรั่วปิงขัดขืนและดื้อดึงทว่าท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมจำนน หนานกงเยี่ยเอาชนะเธอโดยการอาศัยพลังและความหน้าด้านของตนเอง เขายิ้มร่าให้กับชัยชนะนี้ หนานกงเยี่ยเอาเสื้อกันหนาวของเหลิ่งรั่วปิงไปแขวนไว้ จากนั้นเดินกลับมาในห้องครัว เขาผูกผ้ากันเปื้อน แล้วเดินไปยืนข้างๆ เธอ
“คุณจะทำอะไรคะ” เหลิ่งรั่วปิงมองดูเขาด้วยความตกใจ ท่านประธานผู้แสนเย็นชาที่สามารถหาเงินได้หลายสิบล้านต่อนาที จู่ๆ กลับใส่ผ้ากันเปื้อนกะทันหัน ไม่ว่าจะดูยังไงภาพนี้ก็น่าตกใจมาก