“ก่อนหน้านี้ ประวัติการโทรเมื่อสองสามวันก่อนคุณลบทิ้งไปใช่ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเลขาไม่คิดว่าโม่หานจะถามเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้ว ตอบกลับเสียงสั่น “ปะ……เปล่าค่ะ”
“เปล่า?คือไม่มีคนโทรมา หรือไม่ได้ลบ?คุณรู้ไหม ว่าฉันเกลียดคนโกหกที่สุด ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่โม่กรุ๊ปต่อไป คุณก็บอกความจริงมาจะดีที่สุด” เสียงของโม่หานเย็นชาลงจนทำให้คนฟังตัวสั่น
“ผู้จัดการมู่เป็นคนลบ เธอบอกว่าเป็นเบอร์โฆษณาให้ฉันไม่ต้องบอกคุณ”
“คุณคิดว่ามือถือของฉัน จะมีเบอร์โฆษณาโทรมาเหรอ?” โม่หานตวาดด้วยความโกรธ แล้ววางสายไป
คุณนายโม่ดึงแขนของเขา “ไม่เป็นไรหรอก เด็กเป็นไข้นั่นเพราะว่าร่างกายไม่ดี คุณอย่าร้อนใจไปเลย อีกอย่างถึงแม้ว่าคุณจะไปแล้ว ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คุณ……”
“เพล้ง” เสียงถ้วยตกลงบนพื้น
คุณนายนายท่านโม่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม : “นี่คือสิ่งที่คุณพูดในฐานะคนเป็นย่าเหรอ?เด็กไม่กี่เดือนมีไข้สูงมาหลายวัน คนโตยังทนไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับเด็ก เมื่อตอนเด็กๆโม่หานป่วย คุณลืมไปแล้วเหรอ เขาเป็นไข้จนเพ้อ คุณก็ทุกข์ใจจนเป็นลมหมดสติไป คุณลืมไปแล้วเหรอ?ทำไมพอถึงหลานถึงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติล่ะ”
พูดจบก็หันไปมองโม่หาน “พาพี่เลี้ยงไป แล้วให้คนขับรถมารับพวกเราด้วย”
“แม่ คุณก็ไปด้วยเหรอ?” คุณนายโม่ลุกขึ้นตามมา แล้วพูดอย่างประหลาดใจ
“ถ้าไม่ไปอีก ลูกชายคุณก็ต้องเป็นโสดแล้ว”
“แม่ คุณล้อเล่นอะไรกัน ถ้าโม่หานเป็นโสด บนโลกใบนี้ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนได้แต่งงานแล้ว”
คุณนายนายท่านโม่ถลึงตาใส่เธอ แล้วเคาะหน้าผากเธอ “คุณนะคุณ จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ต้องเปลี่ยนมุมมองด้วย ลูกสะใภ้นะมีเยอะแยะมากมาย แต่ลูกสะใภ้ที่ดี มันเป็นโชคชะตาพรหมลิขิต”
คุณนายโม่เลิกคิ้ว จับมือแม่ “แม่ คุณดูสิแม่ของมู่เฉียว พูดจาไม่น่าฟังเลย เหมือนครอบครัวเราไปทำอะไรลูกสาวเธอ คนอย่างนี้ จะสอนลูกสาวให้ดีได้อย่างไร ฉันเห็นมู่หยิงแล้วยังสบายใจกว่าเธอเลย ถึงอย่างไรก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคม ไม่เหมือนกับชาวบ้านเหล่านี้……”
“คุณย่าไปกันเถอะ รถมาแล้ว” ส่วนคำพูดของแม่ โม่หานไม่ได้ฟังต่อพูดตัดบทไปเลย
บนรถ
“ยัยเด็กมู่คนนั้นมีกลอุบายอะไรอยู่ใช่ไหม” หลังจากคุณนายนายท่านขึ้นรถ ก็เอ่ยถาม แต่ในน้ำเสียงมีความแน่ใจ
โม่หานทำเสียงอืมตอบกลับ
“นับวันยิ่งทำตัวแย่ลงจริงๆ โม่หาน ถ้าคุณยังปล่อยปละละเลยแบบนี้ต่อไป ครั้งหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ย่าจะไม่นิ่งดูดายอีกแล้ว อีกอย่างคำพูดที่ฉันพูดวันนี้ ระหว่างคุณกับมู่หยิงฉันไม่สนใจว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเธอ แต่หลานสะใภ้อย่างนี้ ตระกูลโม่ของเราไม่ต้องการ”
“คุณย่า”
“คุณก็รู้ว่าปู่ของคุณรับฟังฉัน แม่คุณคนเดียว ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบเสี่ยวเฉียว หย่ากันแล้ว หลานสะใภ้ตระกูลโม่ก็ไม่สามารถเป็นมู่หยิงไปได้ คุณให้เธอล้มเลิกความคิดไปซะ หนี้บุญคุณของเธอ ยกเว้นการแต่งงาน ตระกูลโม่ก็สามารถให้ได้หมดทุกอย่าง”
พูดจบ คุณนายนายท่านโม่ก็หลับตา ไม่พูดอะไรอีก
ไม่รู้เพราะอะไร โม่หานถึงได้รู้กสึกโล่งอกสบายใจ มู่เฉียวนั่งอยู่ข้างๆเตียง มือลูบๆอยู่ที่หน้าผากของโม่เสี่ยวโยว ไม่ได้เจอกันหลายวัน สีหน้าเธอหม่นหมอง ถุงใต้ตาชัดเจน คนดูเหี่ยวแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก
ผลักประตูเข้าไป
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นเห็นเป็นโม่หานกับคุณนายนายท่านโม่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็มองกลับไปที่โม่เสี่ยวโยวอีกครั้ง
ไข้ขึ้นสูงมาหลายวันทำให้หน้าเธอแดงเป็นวงกลม คุณนายนายท่านโม่เห็น ก็สงสารจนน้ำตาไหล “เสี่ยวเฉียว หลายวันมานี้ต้องลำบากคุณเลย”
มู่เฉียวอยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน ทำให้เธอไม่มีเรี่ยวแรงเลย คุณไปพักผ่อนเถอะ ทางด้านเสี่ยวโยว ฉันจะดูแลเอง คุณวางใจได้ ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ” คนที่พูดคือพี่เลี้ยง
มู่เฉียวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นอีกวันหนึ่งแล้ว มู่เฉียวลืมตา แต่พบว่าอยู่ที่ตระกูลโม่
“เสี่ยวโยว” เธอลุกขึ้นนั่ง
“เธออยู่ที่ห้องของตัวเอง ไข้ลดแล้ว รับกลับมาแล้ว” คนที่พูดคือโม่หาน
มู่เฉียวจึงพบว่าโม่หานนั่งอยู่ที่หน้าต่างห้องของเธอกำลังดูเอกสารบางอย่าง อดไม่ได้ที่จะเขินอายเล็กน้อย
เปิดผ้าห่มออก เธอลุกขึ้น ไปห้องของโม่เสี่ยวโยว คุณป้ากำลังหยอกเย้าอยู่กับเธอ เธอก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ในใจจึงรู้สึกโล่งอก
กลับมาถึงห้อง ก็หยิบมือถือ โทรศัพท์ไปหาแม่
“แม่ เสี่ยวโยวไข้ลดแล้ว”
“ดีแล้วๆ คุณก็ดูแลสุขภาพนะ ลูกยังเด็กแบบนั้น คุณสุขภาพดี จึงจะมีกำลังในการดูแลเธอ”
มู่เฉียวตอบอืมคำหนึ่ง แล้วเดินไปยังห้องรับแขก “แม่ คุณโทรศัพท์มาหาครอบครัวของโม่หานเหรอ?”
“เมื่อวานแม่สามีของคุณโทรมา ฉันก็เลยได้โอกาสพูดไป เฉียวเอ๋อ คุณอยากจะหย่า ก็หย่าเถอะ ทางด้านของพ่อ รอให้คุณตัดสินใจแล้ว แม่จะค่อยๆพูดกับเขาเอง”
“แม่……”
“คุณเป็นคนหนึ่งที่แม่เป็นห่วงตั้งแต่เล็กจนโต คุณคือเลือดเนื้อบนร่างกายของแม่ แม่ทำใจไม่ได้ที่ลูกรักของตัวเอง จะถูกคนอื่นจงเกลียดจงชังแบบนี้
มู่เฉียวสะอื้นไห้
“เอาล่ะ พ่อของคุณกลับมาแล้ว ฉันวางสายแล้วนะ มีปัญหาอะไรก็โทรมา คิดถึงบ้าน ก็กลับมา”
“อื้ม”
วางสายโทรศัพท์แล้ว มู่เฉียวก็นั่งในลอยอยู่บนโซฟา
“ไปทานข้าวที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะ” จู่ๆเสียงของโม่หานก็ดังเข้ามา
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไป เธอไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินอะไรไหม เพียงแต่ เธอก็ไม่ได้สนใจ
ระหว่างคนทั้งสอง ก็ไม่ได้มีความรักความผูกพันอยู่แล้ว เรื่องแล้วเรื่องเล่า ยิ่งทำให้หัวใจของมู่เฉียว จมดิ่งลงไปจนถึงจุดต่ำสุด ตอนนี้เธอรอให้ถึงเวลา หลังจากหย่าแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นไป ก็ทางใคร ทางมัน
ลุกขึ้น เดินไปห้องโถงด้านหน้า โม่หานเดินไปได้ครึ่งทาง ก็รับโทรศัพท์ แล้วบอกว่าไม่ทานแล้ว ต้องไปบริษัทก่อน
บนโต๊ะอาหาร เธอยังคงเคยชินคีบอาหารให้คุณย่า ตักซุปให้คุณปู่ เลือกอาหารให้แม่สามี ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับมาสงบเหมือนเดิม
แค่การเงียบสงบของเธอ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ ในใจทุกคนก็คิดไปต่างๆนานา
“มู่เฉียว ต่อไปคุณมีเรื่องอะไร โม่หานยุ่งอยู่ โทรศัพท์หาเขาไม่ได้ คุณก็โทรมาที่บ้านนะ คุณดูสิคุณทำแบบนี้ ทางบ้านพ่อแม่ของคุณก็ตำหนิครอบครัวของเราว่าปฏิบัติกับคุณไม่ดี คุณพูดความในใจออกมาสิ คุณแต่งเข้ามาในครอบครัวของพวกเรา เคยปฏิบัติไม่ดีกับคุณตั้งแต่เมื่อไร กินดี อยู่ดี อีกทั้ง…..”
“พูดให้น้อยๆหน่อย” นายท่านโม่นานทีจะเอ่ยปาก
คุณนายโม่จ้องมองมู่เฉียว “พ่อ หรือว่าฉันพูดผิด?คำพูดเหล่านั้นที่แม่ของเธอพูดเมื่อวาน ประโยคไหนที่ไม่เหมือนบอกว่าพวกเราทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานมาตลอด เด็กเป็นไข้ โทรหามาหานไม่ได้ แล้วโทรมาที่บ้านไม่ได้เหรอ?ทำไมจะต้องหาเรื่องแบกรับไว้คนเดียวด้วย”
มู่เฉียวกลืนอาหารที่อยู่ในปาก เธอค่อยๆลุกขึ้นยืน อ้าปาก ทุกคนคิดว่าเธอจะตอบโต้สักสองสามคำ
แต่ผิดคาด เธอไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่หันตัวกลับ พยักหน้ากับสองสามีภรรยาตระกูลโม่เล็กน้อย แล้วออกจากห้องอาหาร
อะไรที่เรียกว่าเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือทีความคิดที่โง่เขลา?เธออธิบายได้ดีที่สุด