มู่เฉียวเม้มปาก “สมองคุณมีปัญหาหรือเปล่า?”
เธอพูดจบ ก็วิ่งเหยาะๆออกไป ทั้งร้อนรนทั้งหงุดหงิด
เพราะเรื่องนี้ของโม่หาน เธอไม่มีความตั้งใจในการทำงานเลย ช่วงนี้เองก็ไม่ได้ยุ่ง เสี่ยวโหรวคนเดียวก็สามารถรับมือได้
เธอยังไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับโม่หาน บอกพวกเขาว่าโม่หานไปคุยงานที่ต่างประเทศ
เดินอยู่บนถนนคนเดียวอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง? ถ้าหากโม่หานละทิ้งตัวเอง ถึงเธอจะขอความช่วยเหลือจากใคร คาดว่าสุดท้ายคงเทียบไม่ได้กับคำพูดเพียงคำเดียวของเขา
เธออยากไปขอร้องเขา ให้เขาเห็นแก่เธอกับลูก ไม่ต้องทำแบบนี้ แต่ว่า……
เธอเดินตั้งแต่เช้าจนฟ้ามืด แล้วเธอก็ได้รับสายจากคุณนายโม่
“เธออยู่ไหน?”
“อยู่ถนนกลางเมือง”
“เธอมาที่……”เธอบอกที่อยู่มา
เจอกับคุณนายโม่อีกครั้ง เธอยิ่งซูบผอมลงมากกว่าเดิม
“ตอนนี้โม่หานไม่ยอมเจอกับฉัน เธอไปเจอกับโม่หาน บอกเขาว่า ถ้าหากเขาเข้าคุก ฉันจะยอมตาย” ตอนที่คุณนายโม่พูดคำนี้ มู่เฉียวเห็นความตั้งใจในสายตาของเธอ เธอรู้สึกโล่งใจ บางที แบบนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ใครเป็นคนผูกคนนั้นต้องเป็นคนแก้
“เขาทำเพื่อคุณ……”
“ฉันไม่ให้เขาทำเพื่อฉัน!”เสียงของคุณนายโม่ดังขึ้นทันที
มู่เฉียวก้มหน้า คิดๆแล้วก็พูดขึ้น “เขามีความสามารถมากพอที่จะไม่ให้ตัวเองติดคุก แต่เขาเลือกทางนี้ ก็เพราะอยากให้คุณสบายใจ”
เห็นได้ชัดว่าคุณนายโม่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียวจะพูดแบบนี้กับเธอ ความเข้าใจของเธอที่มีต่อลูกชาย จำกัดอยู่เพียงแค่วัยเด็กเท่านั้น พอโตขึ้นโม่หานก็กลายเป็นคนนิ่งขรึม พูดกับเธอน้อยมาก เดิมทีเธอคิดแค่ว่าลูกชายของเธอแค่ไม่อยากให้เธอติดคุกเท่านั้นเอง
“เธอบอกว่า เขาสามารถช่วยตัวเองได้?”
มู่เฉียวพยักหน้า
คุณนายโม่ปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก ที่แท้ หลายปีมานี้ เธอไม่ได้สูญเสียทุกอย่าง เธอยังมีลูกชายที่กตัญญูที่สุดในโลกนี้
น้ำตาของมู่เฉียวไหลตามลงมา เดิมทีเธอคิดว่าคุณนายโม่รู้เหตุผลข้อนี้ ตอนนี้เห็นแล้ว ว่าเธอไม่รู้ นี่เป็นวิธีปฏิบัติต่อคนอื่นที่ดีของโม่หาน ไม่เคยโอ้อวดทำตัวสูงส่ง แต่เป็นการสละให้ทีละน้อย
ต่อมา มู่เฉียวก็ไม่รู้ว่าคุณนายโม่ใช้วิธีอะไร โม่หานได้ออกมาหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์
นอกจากนี้ เขายังระบุหลักฐานการก่ออาชญากรรมของชายคนนั้นด้วย
ไม่มีใครอยากล่วงเกินคนที่‘มีชีวิต’อยู่ เพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วเพียงคนเดียว อีกอย่างเป็นคนที่เก่งมากถึงขนาดที่สามารถทำให้พวกเขาตกงานได้ตลอดเวลา ดังนั้น เรื่องทั้งหมดก็คลี่คลายลงอย่างเงียบๆ
ทำให้มู่เฉียวได้เห็นถึงสำนวนที่ว่ามีเงินก็สามารถสั่งผีให้โม่แป้งได้
เมื่อมองไปยังเขาที่พิงอยู่ตรงประตู มู่เฉียวคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น เธอถึงได้รู้ว่า โม่หานกลับมาแล้วจริงๆ
เธอร้องไห้ขึ้นมาก่อน ต่อมาถึงได้โกรธ
กัดเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างแรง
เธอได้ยินเสียงครางของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่ได้หยุดเธอ คิดๆแล้ว เธอก็รู้สึกทำไม่ลง
ชายหนุ่มก้มหน้าลง นิ้วเรียวเชยคางเธอขึ้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก
พ่อมู่รีบหันหลัง
มู่เฉียวหลับตาและผลักโม่หานออกไปอย่างอายๆ “พ่อ ทำไมถึงได้กลับดึกขนาดนี้?”
ตั้งสามทุ่มแล้ว ปกติเวลาสามทุ่มกว่า พ่อมู่ต้องนอนอยู่บนเตียงแล้ว
สีหน้าของโม่หานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง สายตาไปตกอยู่ตรงมือของพ่อมู่ที่ถือถุงยาไว้ “พ่อครับ คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
มู่เฉียวถึงได้เห็นว่าพ่อถือยาไว้หลายกระปุก เดินเข้าไป หยิบยาจากมือเขามา พ่อมู่อยากแย่ง แต่ก็ไม่ทัน ไม่มีอะไร”
“แม่ ปวดกระเพาะ? ทำไมหนูไม่รู้?”
พ่อมู่เปิดประตู หันกลับมามองโม่หาน “เขาไม่เป็นไร อาการปวดกระเพาะของแม่ลูกก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”
มู่เฉียวเบิกตากว้างมองพ่อ คำพูดนี้ หมายความว่ายังไง?
ดึงโม่หานและพ่อเข้ามาด้วยกัน
แม่กุมกระเพาะเทน้ำอยู่ในห้องครัว พอเห็นโม่หานเข้ามา สีหน้าก็นิ่งไป รีบวางแก้วน้ำในมือ “โม่หาน นาย…..นายกลับมาแล้วเหรอ?”
โม่หานพยักหน้า “ทำให้แม่เป็นห่วงแล้ว”
แม่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีๆ”
“พวกคุณรู้ได้ยังไง?”มู่เฉียวถาม
โม่หานกระซิบข้างหูมู่เฉียว “คุณภรรยา ขอโทษนะ ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกมา ก็เลย……”
“ก็เลย วานให้พ่อกับแม่ หาใครให้ลูกสักคน”
มู่เฉียวหันไปจ้องเขม็งที่โม่หาน “ที่แท้ คุณคิดไว้หมดแล้ว?”ก็มีแต่เธอที่เหมือนกับคนโง่ ฝืนยิ้มปิดบังพ่อกับแม่อยู่ทุกวัน
“คุณภรรยา……”
“คุณเข้ามานี่เลย”มู่เฉียวโกรธแล้ว
โม่หานมองพ่อมู่ “พ่อครับ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่พูดออกมา?”
“ฮึ” พ่อมู่ส่งเสียง “ฉันกับแม่นายตีนายไม่ได้ ให้ภรรยานายเป็นคนจัดการ ผิดเหรอ?”
โม่หานส่ายหน้า
เข้าห้องไปแล้ว มู่เฉียวไม่ได้ต่อว่าทุบตีโม่หาน แต่ทำเหมือนเช่นเคย เธอเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอน
แต่ยิ่งเงียบแบบนี้ โม่หานก็ยิ่งร้อนรนใจ
เขาออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ มู่เฉียวได้หลับตาลงแล้ว
เขากอดเธอจากข้างหลัง
มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร กับโม่หาน เธอทั้งปวดใจ ทั้งโกรธ
“ขอโทษ ที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
มู่เฉียวไม่พูด
“ชีวิตครึ่งแรกของแม่ผม ลำบากมาก ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ เธอจะต้องยอมไปติดคุกและใช้ชีวิตครึ่งหลังอยู่ในนั้นอย่างไม่ลังเล ผม……”
เขาพูดเล่าเหตุการณ์ในอดีตของคุณนายโม่อย่างเป็นระยะๆ
มู่เฉียวไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย
ตอนแรกเธอฟังเขาพูด ต่อมา เธอหลับไปจริงๆ หลายวันมานี้ เธอเครียดมาก แทบจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลยสักคืน
มองมู่เฉียวที่มีลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก็คิดถึงคำพูดของทนายเลวๆคนนั้น
“ภรรยาคนนั้นของนาย ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ฉันบอกว่าจะใช้นายไปแลกอิสรภาพของนายกับเหอเจี๋ย เธอบอกว่านายจะไม่ชอบใจที่เธอทำแบบนี้ ฉันก็พูดไปอีกว่า นอนกับฉันหนึ่งคืน แล้วฉันจะช่วยนายเอง เธอก็บอกว่าฉันเป็นประสาท ยังหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ทุบลงกับโต๊ะ ถามฉันว่าจะช่วยนายออกมาได้ยังไง นายว่าคนรักแบบนี้ นายหามาจากไหน? เพื่อนรัก เรามาแบ่งกันไหม?”
หลังจากทนายความคนนั้นถูกซ้อมไปสองสามที ก็พูดสาบานขึ้นว่า “ฉันจะต้องหาคนที่ดีกว่าของนายให้ได้”
เขายิ้ม มู่เฉียวของเขา บนโลกนี้มีเพียงคนเดียว
วันต่อมามู่เฉียวตื่นขึ้น ข้างเตียงไม่มีเงาของโม่หานอยู่ เธอแทบจะกระโดดออกจากเตียง พุ่งออกไปนอกห้อง ในห้องอาหารมีผู้ใหญ่กับเด็กคนหนึ่ง ได้ยินเสียงจึงมองมาทางเธอ
“เขาไปทำงานแล้ว” พ่อเอ่ยปากพูดขึ้น
เห็นมู่เฉียวโล่งใจ ก็หันไปสบตากับแม่ “ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป คุณเห็นไหม?”
มู่เฉียวปิดประตูอย่างเขินๆ เปลี่ยนชุด ล้างหน้า แต่งหน้าอ่อนๆให้ตัวเอง
คนเจอกับเรื่องดีๆอารมณ์ก็จะรู้สึกสดชื่น มองดูแล้ว คนดูสวยขึ้นเป็นกอง
พอถึงบริษัท เพิ่งจะเข้าประตูล็อบบี้ ก็เจอเข้ากับโม่หานที่เตรียมตัวออกไปข้างนอก
ผู้บริหารระดับสูงหลายคนกำลังรายงานบางสิ่งให้เขาฟัง เขาก้มหน้าลง ไม่เห็นมู่เฉียวตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อทั้งสองเดินสวนทางกัน มู่เฉียวก็ขมวดคิ้ว ไหนบอกว่าคู่รักจะมีกระแสจิตต่อกันไง? ขี้โม้สิ เธอมองเขานานขนาดนี้ เขาไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ