ตอนที่ 1347: การตีกระบี่ (2)
“ตีกระบี่งั้นเหรอ ? กระบี่อะไรกันที่เจ้าต้องการจะตี ? มันทรงพลังจนสามารถฆ่าสองจักรพรรดิได้เลยหรือ ? เจ้ากำลังจะไปฝึกทักษะลับแทนหรือเปล่า ? ” ยาดริมมองไปและถามออกไปด้วยความสงสัย นางเข้าใจความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินเป็นอย่างดีในระหว่างที่อยู่ด้วยกันในทะเลแห่งความสิ้นหวัง นางสันนิษฐานว่าเขาได้ครอบครองสมบัติบางอย่างที่ทรงพลัง แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้อยู่เพียงระดับเซียนจักรพรรดิเท่านั้น เขาจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากถ้าได้ต่อกรกับเซียนจักรพรรดิที่อยู่มาเป็นเวลานาน
นี่เป็นเพราะว่าเจ้าศาลาแห่งศาลาเทพเจ้าอสรพิษได้ครอบครองทักษะลับที่ทรงพลัง ซึ่งมากกว่า 1 อย่างด้วยซ้ำ หลังจากการสังเกตดูเจี้ยนเฉินแล้ว นางเข้าใจว่าพลังของเขาที่เขาใช้นั้นทรงพลัง แต่เขาไม่เคยใช้ทักษะลับมาก่อน
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าและพูดว่า ” ข้าไม่ได้จะไปฝึกทักษะลับที่ทรงพลัง ข้าจะไปตีกระบี่ที่มันเหมาะสมกับข้า”
ยาดริม ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก นางมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความแปลกใจ ราวกับว่านางไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ความจริงทั่วไปว่ามนุษย์ทุกคนของทวีปเทียนหยวนฝึกฝนกำลังเซียนและจะบีบอัดอาวุธเซียนของตนเองจากมัน นางไม่เคยเห็นใครที่เป็นไปตามข้อเท็จจริงนี้เลย
แม้แต่ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎของเซียนผู้คุมกฎ ยุทธภัณฑ์ราชาของเซียนราชาและยุทธภัณพ์จักรพรรดิของเซียนจักรพรรดิ ทั้งหมดก็ถูกบีบอัดมาจากพลังเซียนโดยตัวของเจ้าของเอง มันเกิดจากพลังงานซึ่งทำให้มันทนทานกว่าเหล็ก
“เจี้ยนเฉิน เราจะรอครึ่งปีถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น การสร้างร่างกายใหม่ของข้าเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างมาก แต่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แค่รออีกครึ่งปีก็คงจะไม่เป็นไร” เทพเจ้าแห่งท้องทะเลเห็นด้วยกับคำแนะนำของเจี้ยนเฉิน เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการอยากจะเห็นข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในการฟื้นคืนชีพและจะทำลายทุกอย่างที่พวกเขาได้ทำกันมา
เจี้ยนเฉินลดขนาดโถงศักดิ์สิทธิ์ให้เหลือขนาดเท่ากำปั้นและให้มันกับยาดริม เพื่อที่ว่านางจะเอามันกลับไปให้ศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่เผ่าเต่า เขาพูดกับผู้อาวุโสก่อนที่จะเข้าไปเก็บตัวคนเดียว ในขณะเดียวกัน เถี่ยต้าก็เข้าไปเก็บตัวฝึกฝนคนเดียวเช่นกัน เจี้ยนเฉินได้ให้ลูกท้อเมฆม่วงระดับ 5 กับเขาและสมบัติสวรรค์ระดับอมตะบางส่วน เขาวางแผนในการใช้สมบัติสวรรค์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา
อย่างไรก็ตาม เขาอยู่ในระดับเดียวกันกับเจี้ยนเฉิน เขาครอบครองพลังการต่อสู้ในระดับเซียนจักรพรรดิ แต่การฝึกฝนของเขายังคงอยู่ในระดับเซียนราชา
เผ่าเต่ายังคงมีชื่อเสียงในอาณาจักรทะเลอยู่ตอนนี้ แขกต่างพาเยี่ยมเขาจากทุกแห่งหนและพวกเขาทั้งหมดก็สุภาพอย่างมาก แม้แต่ผู้คนจากตระกูลที่ทรงอำนาจก็ไม่กล้าที่จะวางมาดเป็นผู้สูงส่งเมื่อเขาได้มาเยี่ยมเผ่าเต่า ดังนั้นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจึงไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของเผ่า พวกเขาเข้าไปเก็บตัวและตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก พวกเขาจะไม่ปรากฏตัวจนกว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จสิ่งที่พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้
ใต้พื้นลึกในห้องมืด หอคอยสีทองขนาดเท่ากับกำปั้นได้ลอยขึ้นในอากาศพร้อมกับแสงส่องออกมา เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ข้างในหอฝ่าบาทในมิติเทียมขณะที่เขากำลังติดต่อกับจิตวิญญาณกระบี่
“นายท่าน มีขั้นตอนหลัก 2 ขั้นตอนในการตีกระบี่ ขั้นตอนทั้งสองนั้นสำคัญที่สุดในการตีกระบี่ ขั้นตอนแรกคือการหลอมวัสดุโดยการใช้เปลวไฟของท่านเอง อย่างไรก็ตาม คุณภาพของวัสดุต้องใกล้เคียงกับความแข็งแกร่งของเปลวไฟ ถ้าคุณภาพวัสดุสูงเกินไปและเปลวไฟอ่อนแอเกินไป มันก็จะไม่หลอมละลาย ดังนั้นจะไม่สามารถตีมันได้ ”
“ขั้นตอนที่สองเป็นตัดตัดสินว่าการตีกระบี่จะสำเร็จหรือไม่ พวกมันต้องการถูกสลักด้วยคำจารึกกระบี่ คุณภาพของกระบี่อมตะไม่ได้เกี่ยวแค่วัสดุในการตี แต่มันยังเกี่ยวกับพลังของจารึกอีกด้วย ยิ่งกระบี่ทรงพลังมากเท่าไหร่ จารึกของมันก็ต้องทรงพลังมากเท่านั้น
เจี้ยนเฉินพบปัญหาขึ้นมาทันทีหลังจากเขาได้ยินเช่นนั้น เขารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากในการตีกระบี่ แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะซับซ้อนขนาดนี้ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเปลวไฟหรือจารึกกระบี่ ข้อตกลงครึ่งปีของเขากับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตวิญญาณกระบี่ได้บอกกับเขา
มันดูเหมือนกับเขามีหลายอย่างต้องเรียนรู้ถ้าเข้าต้องการตีกระบี่ ครึ่งปีอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป
“นายท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมันมาก เนื่องจากเราพูดว่าท่านต้องการครึ่งปีในการตีกระบี่ ท่านจะสามารถทำมันได้ทันเวลาแน่นอน เปลวไฟผลึกถูกแบ่งเป็น 3 ระดับใหญ่ ๆ ซึ่งมันคือ เปลวไฟผลึกสาม เปลวไฟผลึกหก และเปลวไฟผลึกเก้า เปลวไฟผลึกสามเป็นเปลวไฟที่อ่อนที่สุดและสามารถหลอมวัตถุที่ไม่ได้สูงไปกว่าระดับอมตะ อย่างไรก็ตาม เปลวไฟผลึกเหล่านั้นถูกผลิตโดยการหมุนรอบและเผาไหม้ของพลังงานในร่างกายโดยการใช้ทักษะลับ เราจะส่งมอบทักษะลับนี้ให้กับท่านอาจารย์ ด้วยความสามารถของนายท่าน ท่านจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วและด้วยพลังบรรพกาลของท่าน เปลวไฟจะสามารถเป็นเปลวไฟโกลาหลได้อย่างแน่นอน ถึงแม้พวกมันอาจจะไม่ใช้เปลวไฟโกลาหลที่แท้จริง แต่พวกมันก็ทรงพลังมากกว่าเปลวไฟผลึกในระดับเดียวกัน พวกมันจะสามารถหลอมวัสดุขั้นอมตะได้ ”
เจี้ยนเฉินได้รับข้อมูลความเข้าใจในการตีกระบี่จากคำอธิบายนั้น การสร้างเปลวไฟบรรพกาลเกี่ยวดองกับการเผาไหม้พลังบรรพกาลภายในตัวเขาซึ่งมันจะถูกดูดกลืนอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินเพียงถึงเพียงขั้น 4 เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงอยู่ในขั้นเท่ากับขนาดถั่วเขียวเท่านั้น เขาไม่มีพลังโกลาหลมากมาย ไม่เพียงพอในการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเปลวไฟบรรพกาล
เจี้ยนเฉินคว้าลูกท้อเมฆม่วงระดับ 5 จากแหวนมิติของเขาและกินมันเข้าไปอย่างไม่ลังเล เขามีพลังมหาศาลขยายออกจากร่างการของเขา ปริมาณของพลังงานน่าตกใจอย่างมากแต่มันบริสุทธิ์และอ่อนโยน ทำให้ดูดกลืนมันเข้าไปอย่างง่ายได้ และมันจะไม่ก่อปัญหาอะไรให้กับร่างกายของเขา เช่น การระเบิดของร่างกายจากการที่พลังงานมากจนเกินไป
เจี้ยนเฉินเริ่มโคจรพลังงานของเขาขณะที่เขาเริ่มดูดซับพลังงานมากมายในลูกท้อนี้ ลูกท้อเมฆม่วงระดับ 5 สามารถเพิ่มการพัฒนาของเขาเป็นเวลา 2,500 ปีได้ ช่วงเวลานี้ถูกคำนวณตามเวลาของโลกสูงกว่า อาทิ ทวีปเทียนหยวน มันเพียงพอที่จะแทนที่ 1 หมื่นปีของการพัฒนาของคนผู้หนึ่งหรือไม่ก็มากกว่านั้น
แน่นอนว่า ความสามารและพรสวรรค์เป็นปัจจัยเช่นกันที่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ทุก ๆ คนมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าพวกเขาใช้เวลาในการฝึกฝนแตกต่างกันในระดับการพัฒนาที่เหมือนกัน ถ้าลูกท้อถูกกินไปโดยอัจฉริยะ มันจะเท่ากับ 1,000 ปีของการพัฒนาไม่ก็น้อยกว่านั้น
พลังงานมากมายได้ก่อตัวหมุนรอบเจี้ยนเฉิน ตอนนี้เขากำลังกลั่นกรองและดูดกลืนพลังอย่างรวดเร็วเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ พลังบรรพกาลของเขาดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด ในขณะที่ปริมาณมหาศาลของพลังไหลเข้าไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันค่อย ๆ โตขึ้นในอัตราทีละนิด ๆ
7 วันต่อมา พลังงานจากลูกท้อได้หายไปหมด โดยถูกดูดกลืนโดยเจี้ยนเฉินจนไม่เหลืออะไร ลูกท้อระดับ 5 ได้เพิ่มเม็ดพลังบรรพกาลของเขามาเป็นขนาด 1 นิ้ว มันดูค่อนข้างเล็กกว่าขนาดไข่ของนกพิราบเสียด้วยซ้ำ
เจี้ยนเฉินได้สังเกตเม็ดพลังบรรพกาลของเขาและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ผลกระทบของลูกท้อไม่ได้มากมายเท่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ ปริมาณของพลังที่เขาต้องการสำหรับการพัฒนาได้เพิ่มมาไม่มากเท่าไหร่หลังจากเขาไปถึงขั้นที่ 4 ของร่างบรรพกาล