ตอนที่ 1355: เซียนจักรพรรดิที่อ่อนแอ (2)
มารราคะไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่นิดเดียวเมื่อเขาเห็นสัตว์อสูรทั้งสามไปถึงกระบี่ได้ในเวลาเดียวกัน ขณะที่กำลังหลบหลีกกระบี่อีกเล่มอยู่ เขาบ่นในใจและสบถด่าเซียนจักรพรรดิอีกสองคนของทวีปเทียนหยวนว่าไม่ไขว้คว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่เป็นเพราะว่ามารราคะรู้ดีว่ากระบี่ทั้งสองนั้นไม่อ่อนแอไปกว่าอาวุธโบราณของตระกูลผู้พิทักษ์เลย เขารู้ว่าที่จริงแล้วมันทรงพลังมากกว่านั้น แม้แต่เซียนจักรพรรดิก็ก็อาจจะไม่สามารถสยบกระบี่ทั้ง 2 นี้จากการถอยออกมาล่วงหน้าก่อนได้ มีเซียนจักรพรรดิ 4 คนที่ปรากฏอยู่ที่นี่ แต่มี 3 คนเป็นสัตว์อสูร และเขาก็เป็นเพียงมนุษย์เพียงคนเดียว แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะสยบกระบี่หนึ่งในนั้นได้ แต่เขาก็คงทำได้แค่พยายามอย่างลังเล
กระบี่ทั้งสองถูกห่อหุ้มด้วยแสงสุกสว่างเป็นชั้น ๆ แสงปิดบังใบมีดของกระบี่เอาไว้ ทำให้พวกมันมองเห็นไม่ชัด
มารราคะและสัตว์อสูรทั้งสามคว้าไปที่กระบี่พร้อมกัน พวกเขาทั้งหมดเตรียมการสำหรับการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ไม่เพียงแต่พวกเขาหุ้มแขนของตัวเองด้วยพลังเซียนเท่านั้น แต่ร่างกายของพวกเขายังกระพริบด้วยแสงอีกด้วยขณะที่พลังงานที่มากมายได้ถูกก่อตัวขึ้นเป็นม่านพลังรอบ ๆ พวกเขาเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่พวกเขาสัมผัสกับแสงรอบ ๆ กระบี่ เลือดก็พุ่งออกมาจากมือของพวกเขา แสงไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่มันยังมีความสามารถในการตอบโต้อีกด้วย แสงทะลุผ่านการป้องกันของพลังเซียนที่อยู่รอบ ๆ เซียนจักรพรรดิและทำให้พวกเขาเลือดออกเป็นปริมาณมากในช่วงเวลาเดียว
เซียนจักรพรรดิทั้งสี่รีบถอนมือของพวกเขากลับมา พวกเขาได้รับบาดแผลลึกมาก จนบางคนก็ลึกถึงขนาดมองเห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ข้างใต้นั้น
เซียนจักรพรรดิต่างตกใจ พวกเขาทั้ง 4 คนไปถึงจุดสูงสุดของโลกของความแข็งแกร่งของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขายังไม่สามารถสัมผัสกับกระบี่ทั้งสองนั้นได้เลย พลังของกระบี่ได้เกินกว่าความเข้าใจใด ๆ ของพวกเขาในเรื่องสมบัติของโลกโดยสิ้นเชิง
ไม่เคยมีสมบัติวิเศษเช่นนี้ปรากฏขึ้นในโลกมาก่อน ที่ ๆ แม้แต่เซียนจักรพรรดิก็ไม่สามารถสัมผัสมันได้ พวกเขาจะสยบมันได้อย่างไรกัน ?
“สมบัติพวกนั้นไม่สามารถได้มาด้วยกำลังจริง ๆ พวกมันสามารถได้มาด้วยเพียงโชคเท่านั้น” บรรพชนจักรพรรดิของจักรวรรดิเฟยลี่พึมพำ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพอใจ เนื่องจากเซียนจักรพรรดิไม่สามารถได้พวกมันมาด้วยกำลัง จึงเห็นได้ชัดว่าเซียนราชาก็มีโอกาสที่จะได้กระบี่พวกนั้นมาด้วยตัวของพวกเขาเองเช่นกัน จักรพรรดิโบราณละทิ้งความคิดของเขาทันที เขาปิดตาลงและเริ่มพยายามเชื่อมต่อกับสมบัตินั้นผ่านความคิดด้วยความตั้งใจที่พิเศษ
ผู้คนทั้งหมดรอบ ๆ ผู้ที่ใช้กระบี่ก็ทำตามจักรพรรดิโบราณเช่นกัน พวกเขาบางคนส่งเศษเสี้ยวของวิญญาณไป บางคนก็อุทิศจิตใจไปที่มันและคนอื่น ๆ ก็พยายามใช้ความเข้าใจของกระบี่ของพวกเขาเพื่อทำให้มันจดจำและยอมรับพวกเขาในฐานะผู้ครอบครอง มันมีหลายวิธีที่แตกต่างในตอนนั้น
ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ผู้เชี่ยวชาญของร้อยเผ่าพันธุ์ทั้งหมดหวนกลับมา พวกเขาทั้งหมดรักษาระยะห่างไว้ขณะที่กำลังจ้องมองอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่เข้าใกล้ไปกว่านั้นและพวกเขาก็วางแผนในการชิงสมบัตินั้นมาเพื่อตัวของพวกเขาเอง
“แฮงค์ เจ้ามั่นใจไหมว่ากระบี่ทรงพลังทั้งสองนั้นไม่ใช่สมบัติที่เกิดมาจากโลก แต่ถูกหล่อหลอมโดยใครบางคน ? ” หญิงชราผอมบางถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ลูกตาของเธอเป็นสีเขียวหยกและเมื่อจ้องมองใกล้ ๆ มันดูเหมือนกับเปลวไฟสีเขียวทั้งสองที่กำลังแผดเผาในตาของเธอ
เธอเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพเจ้าแห่งเปลวไฟและเป็นเซียนราชาขั้นสูงสุด
เหล่าครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพถูกให้พรตามธรรมชาติที่มีพลังเหนือกว่าไฟ พวกเขาครอบครองไฟสีเขียวภายในตัวตั้งแต่เกิดมา เปลวไฟไม่สามารถแผดเผาสิ่งของใด ๆ ได้ มีเพียงชีวิตเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาเป็นที่โด่งดังในฐานะครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพเจ้า
ข้าง ๆ เธอเป็นคนแคระพร้อมกับอุปกรณ์ป้องกันสวรรค์ เขาพยักหน้าและพูดว่า “โปรดอย่าสงสัยการตัดสินใจของราชาคนแคระ ถ้าเราเหล่าคนแคระอ้างว่าเราเป็นผู้ตีกระบี่อันดับสอง ฉะนั้นแล้วไม่มีใครในโลกนี้สามารถอ้างได้ว่าพวกเขาเป็นที่ 1 จากประสบการณ์ของข้า ข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่ากระบี่ทั้งสองนั่นถูกตีโดยบางคนและไม่ได้เกิดขึ้นมาจากโลก”
“กระบี่ทั้ง 2 ครอบครองพลังที่หยั่งไม่ถึงทันทีที่พวกมันถูกตีขึ้นมา ดังนั้นสนใจเพียงแค่คนที่ตีกระบี่นี้น่ากลัวเพียงใด ? ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในทวีปเทียนหยวนเลย” หมาป่าไลแคนสีดำถอนหายใจด้วยความแปลกใจ
“คนที่ตีกระบี่ทั้งสองนี้ เป็นไปได้ว่าเหนือกว่าเซียนจักรพรรดิและไปถึงขอบเขตดั้งเดิม เขาอยู่ในระดับเดียวกับการมีอยู่ในเมืองทหารรับจ้าง” ผู้หญิงสวยคนหนึ่งพูดออกมา เธอดูเหมือนอายุ 20 ปีและมีความงดงามอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ครึ่งร่างของเธอเป็นงู
เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญของลาเมียและเป็นส่วนหนึ่งของร้อยเผ่าพันธุ์เช่นกัน
“ถ้ามันเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตดั้งเดิมจริง ๆ มันคงไม่ดีต่อเราแน่” ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 11 คนพูด เธอเป็นหญิงสาวที่ครอบครองความงาม แต่ด้วยมีความเป็นพระเจ้าผสมอยู่ เสียงของเธอกลับมีเสียงที่ไพเราะ อย่างไรก็ตาม อายุที่แท้จริงของเธอไม่เหมือนกับหน้าตาของเธอตอนนี้ เธอเป็นเซียนราชาขั้นสูงสุด ผู้ที่อยู่มากว่าพันปี
สัตว์อสูรระดับ 9 ในอากาศ ทั้งหมดต่างเผยท่าทางที่น่ารังเกียจออกมา พวกมันไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสกระบี่นั้นได้เมื่อพวกมันร่วมมือกัน ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอายสำหรับเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะยากสำหรับพวกมันในการเอากระบี่มา แต่พวกมันก็ไม่สามารถออกไปได้หลังจากสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้
ความมุ่งร้ายบาง ๆ ปรากฏออกมาจากดวงตาของไคเซอร์ เขาพูดอย่างโกรธเคือง ” ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อว่าข้าไม่สามารถสยบกระบี่นั้นได้แม้แต่เล่มเดียว” มือหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นกรงเล็บมังกรทันที มันทรงพลังและหุ้มด้วยเกล็ด จากนั้นเขาก็พุ่งไปที่กระบี่สีม่วงอีกครั้ง
ทันทีที่กรงเล็บสัมผัสกับแสงของกระบี่ เสียงเสียดสีของเหล็กก็ดังออกมาและเกิดการปะทุ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะสัมผัสกระบี่นั้นได้ เขาก็ได้รับบาดเจ็บจากแสงและทำให้เขาต้องถอยกลับมา กรงเล็บของเขาเต็มไปด้วยเลือดปริมาณมาก เกล็ดที่อยู่ในกรงเล็บแตกและเผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ข้างใต้ผิว
แลงคีรอสอ้าปากค้างก่อนจะถอนหายใจ “สมบัตินี้ทรงพลังเกินไป แม้แต่ไคเซอร์ก็มาสามารถสัมผัสด้ามกระบี่มันได้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถปราบพวกมันได้ในโลกนี้”
ในช่วงเวลานี้ มีเรือนร่างปรากฏออกมาจากลาวา เขาส่องแสงสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ขึ้น ทำให้เห็นภูเขาไฟรอบ ๆ ทั้งหมด
ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่เรือนร่างที่ปรากฏตัวออกมาจากลาวา อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่สามารถเห็นได้คือเรือนร่างสลัว ๆ ไม่มีใครมองเห็นผ่านแสงนั้นได้
เรือนร่างนั้นยืนอยู่บนภูเขาไฟ ขณะที่แสงรอบ ๆ ตัวเขาค่อย ๆ หายไป ร่างกายหน้าตาของเขาจึงปรากฏออกมา
” นั่นมันเจี้ยนเฉินนี่ ที่จริงแล้วเป็นเขามาตลอดที่อยู่ข้างใต้ลาวานั่น ”
“ว่ากันว่าเจี้ยนเฉินหายตัวไปจากทวีปเทียนหยวนเป็นเวลานานเลยนี่ เขาหลบอยู่ที่นี่มาตลอดเพื่อฝึกฝนสินะ”
คนบางส่วนจำเขาได้ทันทีที่เจี้ยนเฉินปรากฏตัวออกมาและพวกเขาก็ร้องอุทานออกมาทันที เขามีชื่อเสียงในทวีปนี้แล้วตอนนี้ แทบจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนเลยที่ไม่รู้จักเขา
ผู้เชี่ยวชาญของร้อยเผ่าพันธุ์จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชาคนแคระ แฮงค์ ดวงตาของเขาเปิดกว้างมาก เขาจำเจี้ยนเฉินไม่ได้ แต่เขารู้ว่ามันดูเหมือนกับว่าคน ๆ นั้นที่ตีกระบี่ทั้งสองเล่มอยู่ในความลึกของลาวา
“นั่นมันผู้คุมกฎแห่งเผ่าเต่าไม่ใช่หรือ ? ” ผู้เชี่ยวชาญแห่งเผ่าพันธุ์ทะเลมองหน้ากันและกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นสมาชิกของศาลาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกับเจี้ยนเฉิน พวกเขาจำเขาได้เพียงการมองเพียงครั้งเดียว
แสงอาฆาตพุ่งออกมาจากดวงตาของไคเซอร์และแลงคีรอสทันทีที่พวกเขามองไปที่เจี้ยนเฉิน มารราคะมองไปที่พวกเขาทั้ง 2 คนและยิ้มอย่างเป็นปริศนา
เจี้ยนเฉินยืนอยู่บนภูเขาไฟ สีหน้าของเขาซีดและซูบผอมราวกับว่าเขาป่วย แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ท่าทางของเขาจะตั้งตรงจนทำให้รู้สึกว่าเขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ดวงตาของเขาสว่างและเปล่งแสงด้วยจิตวิญญาณออกมา
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ไคเซอร์และแลงคีรอส ในอากาศ ดวงตาของเขาคมมากในช่วงนั้น เขาเยาะเย้ย “ไคเซอร์ แลงคีรอส ข้าไม่คิดว่าข้าจะเจอกับพวกเจ้าทั้งสองคน ทันทีที่ข้าปรากฏตัวออกมาจากการเก็บตัว นั่นมันวิเศษไปเลย ประหยัดเวลาข้าในการตามหาพวกเจ้า”
สีหน้าของไคเซอร์และแลงคีรอสเย็นชาขึ้นมาทันที ไคเซอร์จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินและเยาะเย้ยกลับ ” เจี้ยนเฉิน ผู้ช่วยสัตว์อสูรทั้ง 3 ของเจ้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าไม่มีค่าอะไรเลยนอกจากมดตัวหนึ่งต่อหน้าพวกข้าเมื่อไม่มีการปกป้องจากพวกมัน การบดขยี้เจ้านั้นเป็นงานกล้วย ๆ เท่านั้น”
“นั่นเป็นกรณีเมื่อก่อน แต่เจ้าน่าจะไม่มีความสามารถนั้นอีกต่อไปในวันนี้ แลงคีรอส ถึงเวลาที่จะแสดงความแตกต่างแล้วละ” เจี้ยนเฉินพูด แม้ว่าเขาจะดูเหมือนอ่อนแอมากตอนนี้ เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าเขาจะสามารถรับมือกับเซียนจักรพรรดิทั้งสองได้