ตอนที่ 1492: มรดก
เจี้ยนเฉินหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะนั้นความเห็นของเขาที่มีต่ออัครสูงสุดอนัตตานั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเคยต่อสู้กับนิพพานอมตะเที่ยงแท้มาก่อน นางได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและถูกขังอยู่ในหอคอยอนัตตา นางเผชิญกับการซุ่มโจมตีของจักรพรรดิอมตะ ต้าจี ทำให้นางบาดเจ็บมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น จริง ๆ แล้วนางยังมีพลังที่จะยืนหยัดต่อสู้กับอัครสูงสุดของโลกเซียน พลังของนางช่างน่าตกใจเพียงใด ?
“อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสเกินไปหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น วิญญาณของข้ากำลังจางหายไปและข้ากำลังจะตายในรอยแตกของมิติ ในช่วงเวลาสุดท้าย ข้าจึงส่งชิ้นส่วนของวิญญาณของข้าไปยังหอคอยอนัตตาเพื่อทิ้งมรดกไว้เพื่อที่มรดกของข้าจะไม่จบลง ในขณะเดียวกัน เจ้าก็เป็นคนแรกหลังจากที่ข้าต้องรอคอยมานานสามล้านปี ไหน ๆ เจ้าก็มาถึงที่นี่ มันก็หมายความว่าชะตากรรมของเจ้าผูกติดอยู่กับข้า มรดกเป็นของเจ้า มันไม่สำคัญอีกต่อไปไม่ว่าเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกอมตะหรือไม่”
“มรดกของอัครสูงสุดอนัตตา ! ” เจี้ยนเฉินตกตะลึง เขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ หลังจากความสัมพันธ์ของเขากับโลกอมตะได้ถูกเปิดเผย ไม่เพียงแต่อัครสูงสุดอนัตตาปฏิเสธที่จะเจาะลึกเรื่องนี้ แต่นางยังมอบมรดกให้กับเขา เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคือหนูที่ตกถังข้าวสาร
“ปัจจุบันอัครสูงสุดอนัตตาอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองมาก เศษเสี้ยววิญญาณของนางอยู่ที่นี่มานานกว่าสามล้านปี มันกำลังจะเลือนหายไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่นางเลือกให้ข้าเป็นผู้สืบทอด” เจี้ยนเฉินกำลังทำความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เชื่อเลยว่าอัครสูงสุดอนัตตายินดีมอบมรดกให้แก่บุคคลของโลกอมตะ นางทำสิ่งนี้อาจเป็นเพราะนางมีเหตุผลและปัญหาของตัวเอง
“นิพพานอมตะเที่ยงแท้ปิดหอคอยอนัตตา เศษเสี้ยววิญญาณของข้าอ่อนแอลงทุกวันและถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางแล้ว มันกำลังจะเลือนหายไปสู่สภาพแวดล้อม ข้าไม่มีเวลาเหลืออีกต่อไป ข้าจะมอบมรดกให้เจ้าอย่างเป็นทางการ คำขอเพียงอย่างเดียวของข้าคือเมื่อเจ้าแข็งแกร่งพอเจ้าต้องเดินทางไปที่โลกเซียนและสังหารอัครสูงสุดหยานซุน เจ้าเต็มใจหรือไม่ ? ” อัครสูงสุดอนัตตาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยดวงตาที่สดใสมาก นางให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับประโยคสุดท้ายที่นางพูด
เจี้ยนเฉินป้องมือให้อัครสูงสุดอนัตตาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เขาสาบานว่า “ไม่ต้องกังวล ท่านอาวุโส ถ้าข้าได้รับมรดกของท่าน ข้าจะสังหารอัครสูงสุดหยานซุนและแก้แค้นให้ท่านทันทีที่ข้ามีพลังมากพอ”
อัครสูงสุดอนัตตาพยักหน้าอย่างพึงพอใจหลังจากที่เจี้ยนเฉินสาบานตน ดวงตาที่เปล่งปลั่งของนางค่อย ๆ สงบลงและนางก็พูดว่า “มีสองส่วนที่เป็นมรดกของข้า ส่วนแรกคือแท่นหยกชะตา มันมีทักษะการบ่มเพาะของข้าและความเข้าใจของข้าที่มีต่อการบ่มเพาะ ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถฝึกทักษะการบ่มเพาะนี้ได้ มีเฉพาะคนที่วาสนาต้องกันเท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะได้”
“ส่วนที่สองคือความเข้าใจกฎอย่างลึกซึ้ง ข้าได้ทำความเข้าใจกฎแห่งไฟ, การสร้าง, และการทำลายล้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไข่มุกเม็ดนี้มีความเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างของข้า และตอนนี้มันเป็นของเจ้าพร้อมกับมรดก เมื่อเจ้าหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของตัวเอง เจ้าจะสามารถเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างของข้าได้ การเข้าใจกฎมีความสำคัญต่อการเข้าถึงขอบเขตพระเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงจุดสูงสุดของขั้นแลกเปลี่ยน เจ้าจะสามารถเข้าถึงขั้นพระเจ้าได้โดยการเข้าใจกฎเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถก้าวหน้าในการบ่มเพาะได้อีกและจะติดอยู่ในขอบเขตดั้งเดิมตลอดไป หากทำความเข้าใจกฎได้หนึ่งในร้อยส่วนจะเข้าถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์, หนึ่งในสิบส่วนเข้าถึงขั้นพระเจ้า, สองในสิบส่วนเข้าถึงขั้นเหนือเทพ, สามในสิบส่วนเข้าถึงขั้นราชาเทพ, สี่สิบห้าในร้อยส่วนเข้าถึงขั้นอสงไขย และหกในสิบส่วนเข้าถึงขั้นบรรพกาล หากเจ้าเข้าใจกฎใดกฎหนึ่งแปดในสิบส่วน เจ้าจะกลายเป็น อัครสูงสุด และถ้าเจ้าสามารถบรรลุขีดสูงสุดเต็มสิบส่วน เจ้าจะกลายเป็นอัครสูงสุดระดับสูงสุด”
“ทั่วทั้งโลกเซียนมีอัครสูงสุดระดับสูงสุดเพียงไม่กี่คน ข้าได้ทิ้งความเข้าใจที่สมบูรณ์เกี่ยวกับกฎแห่งการทำลายล้างให้เจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าเอง”
เมื่อถึงตอนนั้นไข่มุกดำขนาดนิ้วหัวแม่มือก็ค่อย ๆ ลอยไปอย่างช้า ๆ หยุดอยู่ตรงหน้าเจี้ยนเฉินในตอนท้าย ไข่มุกเริ่มเปล่งประกายด้วยพลังของกฎแห่งการทำลายล้างทันที
เจี้ยนเฉินพยายามที่จะเก็บความตื่นเต้นในขณะที่เขาจ้องมองไข่มุกดำ เขาค่อย ๆ ยื่นมือไป
อัครสูงสุดอนัตตาไม่ได้จ้องมองบนท้องฟ้าที่ห่างไกลอีกต่อไป นางจ้องเจี้ยนเฉินแทน เศษเล็กเศษน้อยของความคาดหวังปรากฏในดวงตาของนางเช่นเดียวกับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ลึก อย่างไรก็ตาม มันหายไปชั่วพริบตา นางพยายามซ่อนมันไว้
ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็จับไข่มุกที่มีพลังของกฎแห่งการทำลายล้างเบา ๆ เขารู้สึกถึงพลังที่คุ้นเคยอย่างชัดเจนและแสงแปลก ๆ ก็กระพริบผ่านดวงตาของเขา
เมื่อเจี้ยนเฉินคว้าไข่มุกได้ ความตื่นเต้นจึงปรากฏขึ้นในดวงตาลึกของอัครสูงสุดอนัตตารวมถึงความชั่วร้ายที่ซ่อนเร้น อย่างไรก็ตาม อารมณ์เหล่านี้หายไปในชั่วขณะและสายตาของนางก็กลับคืนสู่ความลึกซึ้งอย่างที่เคยเป็นมา
เจี้ยนเฉินจับไข่มุกดำไว้แน่น เขาไม่ได้หลอมมุกเข้าไปในวิญญาณของเขาทันที เขาหยิบกล่องไม้ออกมาจากแหวนมิติ ภายใต้สายตาที่สับสนของอัครสูงสุดอนัตตา เขาค่อย ๆ วางไข่มุกไว้ข้างในก่อนที่จะโยนกล่องกลับเข้าไปในแหวนมิติของเขา
อัครสูงสุดอนัตตาหรี่ตาอย่างจริงจัง นางโพล่งออกมาว่า”เจ้าจำเป็นต้องหลอมมุกเข้าไปในวิญญาณของเจ้าเพื่อที่เจ้าจะสามารถเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างของข้าได้ ทำไมเจ้าไม่ทำเช่นนั้น ? เจ้าไม่สนใจในความเข้าใจอันสุดยอดของข้าเกี่ยวกับกฎแห่งการทำลายล้างหรือ ?”
แววตาของเจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความเคารพ เขาป้องมือคารวะอัครสูงสุด “ข้าเกรงว่าท่านได้เข้าใจข้าผิด ท่านผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างของผู้อาวุโส แต่ข้าเชื่อว่าการเข้าใจกฎในตอนนี้จะไม่สะดวก ข้าวางแผนที่จะหาสถานที่เงียบสงบเพื่อทำความเข้าใจก่อน”
“ความไม่สะดวกอะไร ? ในหอคอยอนัตตานี้ไม่มีใครสามารถรบกวนเจ้าได้ ถ้าเจ้าออกไปข้างนอก ผู้คนที่จะรบกวนเจ้าได้ง่ายกว่า ในขณะเดียวกัน การเข้าใจกฎเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากเจ้าถูกรบกวนในระหว่างกระบวนการ เจ้าอาจต้องออกจากสถานะของความเข้าใจ เจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส มันอาจจะแย่มากจนเจ้าอาจได้รับผลกระทบจากกฎและวิญญาณของเจ้าก็อาจเลือนหายไป” อัครสูงสุดอนัตตากล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ข้าขอขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือนข้า ข้าซาบซึ้งอย่างมาก ข้าอยู่ในหอคอยอนัตตามานานเกินไปแล้ว ยังคงมีเรื่องสำคัญที่ข้าต้องออกไปทำข้างนอก ข้าจึงไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้ ข้าเกรงว่าการทำความเข้าใจกฎจะทำให้เกิดความล่าช้ามากขึ้น และมันจะทำให้แผนของข้าพังในที่สุด” เจี้ยนเฉินตอบอย่างสงบโดยไม่เปิดเผยความเย่อหยิ่งหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน เขาจ้องมองอัครสูงสุดอนัตตาด้วยความสนใจ ปัจจุบันร่างกายของนางเริ่มซีดจางราวกับว่านางกำลังจะสลายไป
อัครสูงสุดอนัตตายังคงเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบช้า ๆ ว่า “ข้าจะไม่เร่งเจ้าอีกหากเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตามโปรดอย่าลืมที่จะหลอมรวมไข่มุกกับวิญญาณของเจ้าโดยเร็วที่สุดและทำความเข้าใจกับกฎของข้าเพื่อที่เจ้าจะได้แก้แค้นแทนข้า” ด้วยเหตุนี้ภาพลวงตาก็ค่อย ๆ สลายไปภายใต้การจ้องมองของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินเดินมาถึงข้างหน้ารูปปั้นด้วยความระมัดระวังหลังจากที่อัครสูงสุดอนัตตาหายตัวไปจนหมด เขาศึกษารูปปั้นประมาณครึ่งวันหลังจากนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
“จือหยิง, ฉิงโซว เจ้าคิดว่าอัครสูงสุดอนัตตาสลายไปจริง ๆ หรือนางเพิ่งซ่อนตัวอยู่ต่อไป ? ” เจี้ยนเฉินสอบถามจิตวิญญาณกระบี่ มีเพียงจิตวิญญาณกระบี่และเขาเท่านั้นที่สามารถได้ยินความคิดนั้น
จิตวิญญาณกระบี่ไม่ได้ตอบกลับทันที เสียงที่เปล่งออกมาของกระบี่ฉิงโซวดังขึ้นในหัวของเจี้ยนเฉินหลังจากนั้นไม่นาน “นายท่าน นางดูไม่เหมือนอัครสูงสุดอนัตตาที่เราเคยจำได้”
“นายท่าน ข้ายังสงสัยว่านางคืออัครสูงสุดอนัตตาตัวจริงหรือไม่ เราอาจไม่เคยเห็นการปรากฏตัวของอัครสูงสุดมาก่อน แต่สัญชาตญาณของเราไม่ผิดอยู่แล้ว” จือหยิงกล่าวถึงความคิดของเขาเช่นกัน บทสนทนาทั้งหมดเกิดขึ้นในหัวของเจี้ยนเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีเสียงออกมาเลย
เจี้ยนเฉินตอบอย่างสงบ “เจ้าเห็นผ่านนางจริง ๆ ข้าต้องยอมรับว่าข้าไม่คิดว่าอัครสูงสุดอนัตตาคนนี้เป็นอัครสูงสุดอนัตตาตัวจริงเช่นกัน ตอนที่นางมอบไข่มุกพร้อมกับกฎแห่งการทำลายล้างให้ข้า ข้าเห็นแววตาที่คุ้นเคยในสายตาของนาง แม้ว่านางจะซ่อนมันไว้อย่างดี แต่ข้าก็ยังจับมันได้ มันคล้ายกับแววตาของจิตวิญญาณวัตถุ”
“นางถูกอาคมของจิตวิญญาณหอคอยหรือไม่ ? เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ถึงวิญญาณในพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะสามารถจดจำเขาได้อย่างรวดเร็วเพียงแวบเดียว ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร” จือหยิงตอบ
“ไม่สำคัญว่านางจะเป็นจิตวิญญาณวัตถุหรือศิษย์ของอัครสูงสุดอนัตตาที่ชื่อต้าจี อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ควรใช้ความเข้าใจของนางเกี่ยวกับกฎแห่งการทำลายล้าง มันต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน” เจี้ยนเฉินตอบอย่างเย็นชา แสงเคร่งเครียดส่องประกายผ่านดวงตาของเขา เขาจะไม่สนใจเรื่องที่อัครสูงสุดอนัตตาตัวปลอมเล่าให้เขาฟัง
เจี้ยนเฉินมองที่แท่นหินหยกชะตา หยกนำโชคข้างหน้ารูปปั้น แท่นมีขนาดของหินโม่และสูงสามนิ้ว มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์หมดจดและเปล่งประกายสีขาวที่อ่อนโยน เจี้ยนเฉินสัมผัสได้ถึงความสงบเงียบจากแท่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเข้าหามัน เพียงแค่สูดหายใจเข้าใกล้ ๆ มันก็ทำให้สมองของเขาโล่งและทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น ราวกับว่าวิญญาณของเขานั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในขณะนั้น
“นายท่าน หยกชะตาเป็นสมบัติที่มีเอกลักษณ์ของโลก มันหายากมาก และถ้าท่านบ่มเพาะมันเพียงชิ้นเดียว อัตราการบ่มเพาะของท่านจะรวดเร็วยิ่งขึ้นรวมถึงความเข้าใจกฎ มันมีผลลัพธ์เดียวกับชาหยั่งรู้ แต่ผลลัพธ์ของมันนั้นเหนือกว่าเล็กน้อย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอัครสูงสุดอนัตตาจะเป็นเจ้าของหยกชิ้นที่ยอดเยี่ยมนี้ หยกนี้หายากเหลือเกินแม้แต่อดีตเจ้านายซึ่งเป็นหนึ่งในห้าอมตะเที่ยงแท้ขั้นสูงสุดของโลกเซียน เขายังไม่มีสักชิ้นเลย มีเพียงนิพพานอมตะเที่ยงแท้หนึ่งในห้าคนที่มีหนึ่งชิ้น แต่มันก็เทียบไม่ได้กับหนึ่งในสามของชิ้นส่วนของหยกที่อยู่ตรงหน้าเจ้า” ฉิงโซวกล่าวพลางถอนหายใจอย่างอิจฉา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเสียใจเพราะแท่นหยกชะตาตรงหน้านางคือภาพลวงตา มันเป็นเพียงภาพฉายเหมือนพระราชวัง ไม่ใช่ของจริง
ความสนใจของเจี้ยนเฉินเพิ่มขึ้นทันที อย่างไรก็ตาม เขาถอนหายใจได้อย่างช่วยอะไรไม่ได้ “แน่นอนว่าอัครสูงสุดอนัตตาเยี่ยมมาก แท่นหินหยกชะตานี้เป็นเพียงการฉายภาพเท่านั้น แต่มันก็มีผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับของจริง เฮ้อ ถ้าข้ามีของจริง … ด้วยสิ่งนี้ ข้าจะสามารถเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่ได้ง่ายขึ้น” เจี้ยนเฉินหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะถามคำถามต่อไป “อัครสูงสุดอนัตตาตัวปลอมกล่าวว่าหยกชะตามีวิธีการบ่มเพาะของอัครสูงสุดอนัตตารวมถึงความเข้าใจส่วนใหญ่เกี่ยวกับการบ่มเพาะ เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”
เจี้ยนเฉินเริ่มตื่นตัวมากขึ้นหลังจากสังเกตว่าอัครสูงสุดอนัตตาเป็นตัวปลอม เขาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดเลยสักคำ
” แม้แต่สำหรับอัครสูงสุดอนัตตา หยกชะตา หยกชะตาขนาดใหญ่ชิ้นนี้ก็มีค่ามาก มันจะได้รับความสนใจอย่างมากจากนางและอาจมีผนึกจากอัครสูงสุดอนัตตา หยกชิ้นนี้ถูกฉายภาพพร้อมกับพระราชวังสวรรค์บิเชิง ดังนั้นสิ่งที่แท้จริงควรจะยังคงอยู่ในโลกเซียน มีเพียงอัครสูงสุดอนัตตาเท่านั้นที่สามารถฉายภาพพระราชวังสวรรค์บิเชิงและแท่นหยกชะตาสมจริงมากในหอคอยอนัตตาซึ่งนี่อาจอยู่ในหอคอยอนัตตา แต่วังแห่งนี้เป็นฝีมือของอัครสูงสุดอนัตตา จิตวิญญาณวัตถุไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปยุ่งกับมัน”