ตอนที่ 1631: กลั่นเมฆ
ทันทีที่เจี้ยนเฉินเข้าสู่ก้อนเมฆสีเลือด เขาก็รู้สึกกดดันอย่างหนักจากทุกทิศทางราวกับว่ามีภูเขากดทับเขา ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ทรุดลงและความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาก็ลดลงอย่างมาก ในเวลาเดียวกันพลังมารก็เข้ามาในหัวของเจี้ยนเฉินและส่งผลกระทบต่อวิญญาณของเขาและเขาก็เริ่มเห็นภาพหลอน
เจี้ยนเฉินหรี่ตาลงและแสงแวบเข้ามาในดวงตาที่สั่นไหวของเขา เขาจดจ่อและระงับภาพหลอนซึ่งเกิดจากพลังมาร จากนั้นกระบี่คู่ก็ลอยอยู่เหนือหัวของเขาพร้อมกับเปล่งแสงสีม่วง-ฟ้าและสร้างกำแพงรอบ ๆ ตัวเขา พลังบรรพกาลเติมเต็มเข้ามาในร่างของเขาทุก ๆ ส่วน ในขณะนั้นทำงานร่วมมือกับกระบี่คู่เพื่อป้องกันแรงกดดันจากเมฆ
หลังจากทั้งหมดเมฆสีเลือดมีอำนาจเทียบเท่ากับจิตมารที่อยู่ในจุดสูงสุด แม้แต่พลังของเกราะไหมบรรพกาลก็ลดลงไปถึงหนึ่งในสาม แต่ส่วนที่เหลือก็ยังคงมากสำหรับเจี้ยนเฉิน หากจิตสำนึกของจิตมารยังคงอยู่ เจี้ยนเฉินและจิตวิญญาณราชันย์จะไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้ แม้ว่าเขาจะเหลือพลังแค่สองในสามเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้จิตมารจะถูกทำลายแล้ว เมฆสีเลือดก็ยังคงกดดันเจี้ยนเฉินอยู่ในระดับหนึ่ง
เจี้ยนเฉินไม่ได้เข้าใกล้ศูนย์กลางของเมฆสีเลือด เขาหยุดอยู่รอบนอกหลังจากที่เดินทางมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรและนั่งลงอย่างขึงขัง
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจิตมารได้ถูกทำลายลงไปแล้ว เจี้ยนเฉินก็ยังไม่กล้าประมาทเมฆสีเลือดเพราะพลังของมวลเมฆนั้นยิ่งใหญ่เกินไป มันเกินกว่าขอบเขตเทพ เขายังคงสงสัยว่ามีเพียงแค่เทพเท่านั้นที่จะควบคุมพลังที่ยิ่งใหญ่ของเมฆได้
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ในกลุ่มของเมฆสีโลหิต เขาสูดหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ หลับตาก่อนที่จะดูดซับพลังงานในเมฆอย่างระมัดระวัง เจี้ยนเฉินไม่แน่ใจว่าร่างบรรพกาลของเขาจะสามารถดูดซับพลังเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะมันยิ่งใหญ่เกินไปและยังมีพลังของจิตมารปรากฏตัวมากขึ้น เขามีความมั่นใจเล็กน้อยว่าพลังที่อันตรายเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กระทำการโดยประมาทในการพยายามครั้งนี้ เขาดูดซับมันทีละน้อยโดยมีขนาดเพียงเท่าเข็มเท่านั้น
ร่างกายของเจี้ยนเฉินเริ่มสั่นอย่างรุนแรงชณะที่เขาดูดซับแสงสีเงินเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะทำการกลั่น ทันทีที่พลังงานเข้าสู่ร่างของเขา มันก็ปะทุออกมาเต็มไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับดินปืน คลื่นกระแทกที่น่ากลัวที่แทบจะทำลายเส้นชีพจรทั้งหมดของร่างเจี้ยนเฉิน
พลังเล็ก ๆ นั้นรุนแรงมากเกินไปจนเจี้ยนเฉินเกือบจะรับไว้ไม่ได้แม้จะมีร่างบรรพกาลขั้นที่ 8 ไม่ต้องพูดมากขนาดแค่สิ่งเล็ก ๆ นั้นยังรับไว้ไม่ค่อยได้ ถ้าเขาดูดซับมันมากกว่านั้นภายในทีเดียว มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ
เจี้ยนเฉินกัดฟันและอดทนต่อความเจ็บปวดที่เริ่มเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ทุกครั้งที่ร่างบรรพกาลทะลวงขั้น เขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดเพื่อขัดเกลาร่างกายของเขา มันทรมาณมากทุกครั้ง ดังนั้นความเจ็บจากพลังเส้นเล็ก ๆ นี้จึงไม่อาจเทียบกับมันได้ เจี้ยนเฉินจึงสามารถอดทนกับความเจ็บปวดดังกล่าวได้
พลังบรรพกาลในตันเถียนของเจี้ยนเฉินเพิ่มขึ้น เจี้ยนเฉินใช้พลังบรรพกาลในการบ่มเพาะเพื่อกลั่นพลังเสี้ยวเล็ก ๆ อันนี้
แม้ว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็กลั่นมันได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น เจี้ยนเฉินจึงใช้เวลาไม่นานนักเพื่อกลั่นมัน
เจี้ยนเฉินไม่ได้ยิ้มหลังจากกลั่นพลังสายนั้นแล้ว เขาขมวดคิ้วแทน เขาลืมตาช้า ๆ และพูดว่า พลังงานเล็กๆถูกกลั่นแล้วแต่ไม่เกิดอะไรขึ้น มันไม่เป็นประโยชน์ต่อข้า มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะกลั่นพลังของเมฆได้หรือ ?
นี่เป็นไปไม่ได้ พลังบรรพกาลเป็นพลังที่อยู่ในจุดสุดยอดของจักรวาลนอกเหนือจากปราณหยานหวง ไม่มีพลังประเภทไหนที่จะสู้กับพลังบรรพกาลได้ แม้แต่ปราณหยิน-หยางจากบรรพกาล แม้ว่าพลังบรรพกาลของข้าจะใกล้ชิดกับพลังบรรพกาลของจริง แต่มันก็ควรจะมีลักษณะของพลังบรรพกาลของจริง แม้ว่าพลังของเมฆจะทรงพลังกว่าร่างบรรพกาลขั้น 8 ของข้า แต่มันก็เป็นพลังที่ไม่มีเจ้าของ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็สามารถบอกได้ว่ามันมีโอกาสสูงมากที่ข้าจะสามารถดูดซับและกลั่นพลังของมันได้สำเร็จ เจี้ยนเฉินเลิกคิดว่าพลังบรรพกาลของเขาไม่อาจกลั่นพลังของเมฆได้ มันไม่ได้ถูกจัดอยู่ในห้าองค์ประกอบของโลก แน่นอนว่าการรับพลังเหล่านั้นเข้ามาในร่างบรรพกาลนั้นเป็นไปได้
เจี้ยนเฉินไม่ยอมแพ้และยังคงดูดซับและกลั่นพลังของเมฆต่อไป เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าร่างบรรพกาลของเขาสามารถดูดซับพลังของเมฆได้หลังจากที่เขาคาดคิดไว้ก่อนหน้านี้ เขาจะไม่คิดอะไรหากว่าก่อนหน้านี้พลังของเมฆอยู่ในความควบคุมของจิตมาร แต่ตอนนี้เจ้าของพลังได้ตายไปแล้วและไม่มีอะไรมาต่อต้าน นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะมีความเป็นไปได้ที่จะกลั่นพลังของมัน
ด้วยความก้าวหน้าทุก ๆ ขั้นของพลังบรรพกาลจะต้องการพลังมากมายหลายเท่าจากระดับก่อนหน้าและยังต้องใช้พลังมากขึ้นเพื่อทำการบ่มเพาะ ตอนนี้เขามาถึงขั้น 8 แล้ว ดังนั้นจำนวนทรัพยากรที่เจี้ยนเฉินต้องการจะทะลวงไปยังขั้น 9 มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ทวีปเทียนหยวนไม่มีสิ่งที่เขาต้องการมากต่อความเพียงพอของเขา หากพลังที่เหลืออยู่จากจิตมารสามารถช่วยยกระดับพลังของบรรพกาลได้ มันจะเป็นโชคของเจี้ยนเฉิน แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอสำหรับเขาที่จะไปถึงขั้น 9 เขาไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้
เจี้ยนเฉินยังคงล้มเหลวหลังจากที่พยายามรอบที่สอง พลังเสี้ยวเล็ก ๆ ที่เขาดูดซับเข้ามานั้นไม่เกิดผลอะไรกับตัวเขา ร่างบรรพกาลของเขาก็ไม่กระเตื้องขึ้นเหมือนกัน
เจี้ยนเฉินยังคงไม่ท้อและยังคงทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามความพยายามครั้งที่สามของเขาก็ยังคงล้มเหลวเช่นกัน
ครั้งที่สี่ก็ยังคงล้มเหลว
ครั้งที่ห้าก็ยังคงเดิม
สุดท้ายหลังจากครั้งที่ห้า เจี้ยนเฉินก็ประสบความสำเร็จ ในที่สุดเขาก็ได้ดูดซับพลังของมันให้กลายเป็นพลังบรรพกาลและเพิ่มพลังให้กับตัวของเขา
ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่พลังทุกอย่างของก้อนเมฆจะเข้ากันได้กับพลังบรรพกาลเนื่องจากคุณสมบัติที่พิเศษของมัน ข้าจำเป็นต้องรวบรวมแก่นแท้ของมัน ส่วนที่ยากคือเราไม่อาจหาแก่นแท้ของมันได้ง่าย ๆ ดวงตาของเจี้ยนเฉินมีประกายแสงแวบออกมา ตราบใดที่เขากลั่นพลังของเมฆให้เป็นพลังบรรพกาลได้ มันก็เป็นสิ่งที่ควรค่าต่อการเฉลิมฉลองแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานาน
แม้ว่าเขาจะล้มเหลวหลายครั้ง ในระหว่างการกลั่นพลังของก้อนเมฆ ตราบใดที่เขาสามารถกลั่นพลังของมันได้แม้สักเสี้ยว พลังบรรพกาลของเขาก็จะเติบโตขึ้นเล็กน้อย การเพิ่มขึ้นอาจจะไม่มาก แต่มันก็เทียบเท่ากับหนึ่งปีหรือหลายสิบปีในการดูดซับพลังจากโลก