ตอนที่ 1632: รุกเข้าดินแดน (1)
เจี้ยนเฉินตอนนี้ได้บ้าคลั่งไปแล้ว เขาหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอย่างเต็มที่ เขาต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนนี้เพื่อที่จะได้ใช้โอกาสทางชีวิตของเขา เขาไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้จากที่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เขาส่งข้อความให้กับสหายและครอบครัวของเขาก่อนที่จะปิดด่านบ่มเพาะท่ามกลางเมฆสีเลือด
หลังจากได้รับข่าวว่าเจี้ยนเฉินปิดด่านบ่มเพาะ โลกทั้งสองก็เริ่มจะแยกย้ายออกไป คนที่เหลือล้วนแต่เป็นคนของสี่เผ่าพันธุ์ คนที่บาดเจ็บสาหัสบางคนก็กลับไปที่ตระกูลของตัวเองเพื่อรักษาตัวเอง อย่างไรก็ตามยังมีนักสู้อีกหลายคนที่สูญเสียสหายสนิทและครอบครัวที่เหลืออยู่ พวกเขาจ้องมองไปที่สนามรบด้วยความเสียใจ ขณะที่พวกเขาพยายามเก็บความเจ็บปวด พวกเขาอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ในพริบตา มีบางส่วนที่ออกไป พวกเขาทั้งหมดแต่เดิมมาจากโลกทวีปเทียนหยวน คนจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งก็ไม่มีใครกล้าออกมาโดยไม่ได้รับคำสั่งของจิตวิญญาณราชันย์
จิตวิญญาณราชันย์เป็นผู้ปกครองสูงสุดของโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง หากโลกนั้นเป็นอาณาจักรของเขา เขาก็จะเป็นจักรพรรดิ พวกเขาแตกต่างจากสี่เผ่าพันธุ์ในทวีปเทียนหยวน แม้ว่าจะสี่เผ่าพันธุ์จะมีจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้จำกัดแค่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
ข้าไม่คิดเลยว่าเจี้ยนเฉินจะปิดด่านบ่มเพาะในเวลาเช่นนี้จริง ๆ เจ้าต้องการบ่มเพาะจริง ๆ ? หรือว่าเจ้ากำลังหลบหนีอยู่ ? จิตวิญญาณราชันย์พึมพำกับตัวเองอย่างเฉยชา ขณะที่เขาต้องมองไปยังเมฆสีเลือดนอกอวกาศ
เนื่องจากเจ้าต้องการบ่มเพาะ เราจะรอจนกว่าเจ้าจะปรากฏตัว ข้าก็ต้องการเวลาเพื่อรักษาบาดแผลทางวิญญาณของข้าเช่นกัน จิตวิญญาณราชันย์คิด จากนั้นเขาก็มองไปยังคนจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งที่ยังเหลืออยู่เขาพูดว่า พวกเจ้าทุกคนกลับมา ผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสจะยังคงอยู่ในทวีปเทียนหยวนเพื่อฟื้นฟู ตอนนั้นพวกเจ้าจงร่วมมือกับคนจากทวีปเทียนหยวนเพื่อตกลงกับผลที่ตามมา
จอมยุทธจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งตอบรับ จากนั้นจอมยุทธขอบเขตเซียนก็เดินเข้าอุโมงค์เพื่อกลับไปยังโลกของพวกเขา จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมยังคงอยู่ด้านหลัง พวกเขาเข้าใจอย่างยิ่งว่าจิตวิญญาณราชันย์สั่งให้พวกเขาอยู่แนวหลังเพราะเขาพร้อมที่จะครอบครองดินแดนในโลกนี้
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคนที่ป้องกันวิกฤตของโลกมากที่สุด แต่พวกเขาก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าหากจอมยุทธเหล่านั้นไม่เต็มใจยอมสละชีวิต ทุกคนก็จะต้องเผชิญหน้ากับความตายแม้จะต่อสู้กันด้วยพลังของเจี้ยนเฉินก็ตาม โลกของพวกเขาได้จ่ายอย่างหนักเพื่อหยุดวิกฤติของโลกนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้หากทวีปเทียนหยวนไม่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
เราจะบันทึกชื่อของตระกูลที่มีส่วนร่วมสำคัญ ๆ อย่าพลาดแม้แต่รายชื่อเดียว เราจะสร้างแท่นบูชาเพื่อระลึกถึงพวกเขาในโถงจิตวิญญาณลับ และตระกูลหรือครอบครัวของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจากโถงจิตวิญญาณลับ จิตวิญญาณราชันย์สั่ง
ขอรับ จิตวิญญาณราชันย์ จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมต่างตอบรับ
ทวีปของเราต้องการสำเนารายชื่อเหล่านั้นเช่นกัน การมีส่วนร่วมต่อวิกฤติของโลกนี้ทำให้เราชื่นชม เราต้องการรายชื่อพวกเขาและรำลึกถึงวีรกรรมของพวกเขาตลอดกาล พวกเขาสมควรได้รับความเคารพจากเราทุกคน ซ่างกวนมู่เอ๋อบินเข้ามาอย่างช้า ๆ และพูดอย่างเคร่งขรึม ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางได้กลายเป็นราชันคนที่สองของมนุษย์ ด้วยความแข็งแกร่งขั้นหวนกลับช่วงกลาง อย่างไรก็ตามที่นางพูดหรือการกระทำทุกอย่างก็ชัดเจนเพียงพอต่อการส่งผลกระทบให้กับมนุษย์ทุกคนในทวีปเทียนหยวนและนางก็สามารถตัดสินได้ในบางเรื่อง
จิตวิญญาณราชันย์มองไปที่ซ่างกวนมู่เอ่อและเกิดแววตาที่ยากจะมองออกได้ หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า เจ้าเป็นมนุษย์ของโลกทวีปเทียนหยวน ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าเป็นรองเพียงแค่เจี้ยนเฉิน เนื่องจากเจี้ยนเฉินไม่อยู่ในที่นี้ตอนนี้ ทำไมเจ้าไม่เป็นตัวแทนของโลกของเจ้าและมาทำข้อตกลงกับข้า
ซ่างกวนมู่เอ๋อเกิดความสนใจ นางไม่รู้ว่าข้อตกลงนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้อตกลงเช่นนี้ควรจะมีอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตามนางเข้าใจว่าจิตวิญญาณราชันย์ต้องการอาณาเขตบนโลกโดยการใช้เหตุผลในการมีส่วนร่วมเข้าต่อรอง เขาต้องการสถานที่ปลอดภัยเพื่อคนจากโลกของเขา โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งนั้นเห็นได้ชัดว่ามีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่น่าสยดสยองจนถึงขั้นที่ว่ามีคนนับไม่ถ้วนตกตายจากสภาพแวดล้อมทุก ๆ ปี มันไม่เหมาะสำหรับคนที่มีการบ่มเพาะที่อ่อนแอให้อยู่อาศัยและทวีปเทียนหยวนนั้นเปรียบเหมือนสวรรค์สำหรับคนที่มีการบ่มเพาะที่อ่อนแอ ผลที่ตามมาคือโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งไม่เพียงจะโจมตีทวีปเทียนหยวนเพื่อให้เดินทางผ่านไปยังโลกเซียน แต่เพื่อให้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอของพวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยอีกด้วย
น่าเสียดาย ข้าคงต้องทำให้จิตวิญญาณราชันย์ต้องผิดหวัง แม้ว่าข้าจะเป็นมนุษย์จากทวีปเทียนหยวน แต่ข้าก็ไม่ได้อยู่ในทวีปนี้ ข้าพักอยู่ที่เกาะสามเซียนที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทวีปเทียนหยวนและโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง ข้าจะกล้าตัดสินใจได้อย่างไรเมื่อข้าเป็นคนภายนอก อย่างไรก็ตามจะให้ดีที่สุดเจ้ารอให้เจี้ยนเฉินกลับมา ซ่างกวนมู่เอ๋อกล่าว
จิตวิญญาณราชันย์หน้าบึ้งและจ้องมองไปยังเมฆสีโลหิตที่อยู่ด้านนอกอวกาศอีกครั้ง เขาพูดอย่างไม่แยแสว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าจะรอให้เจี้ยนเฉินกลับมา เฉียงซ่ง
ข้าอยู่นี่ ! เฉียงซ่งโค้งคำนับจิตวิญญาณราชันย์อยู่ใกล้ ๆ ทันที เขาดูสุภาพอย่างมาก
เมื่อเจ้าและคนอื่นฟื้นฟูเสร็จแล้ว ให้หารือกับตัวแทนของทวีปเทียนหยวนเกี่ยวกับการแบ่งดินแดน วางแผนกันก่อนและให้เจี้ยนเฉินและข้าตัดสินใจขั้นสุดท้าย จิตวิญญาณราชันย์สั่งเฉียงโจวโดยไม่ให้ปฏิเสธ
ขอรับ จิตวิญญาณราชันย์ เฉียงซ่งตอบรับอย่างนอบน้อม
จิตวิญญาณราชันย์ไม่สั่งอะไรอีก จากนั้นเขาก็ออกไปจนเห็นแต่แนวแสง แต่เขาไม่ได้กลับเข้าไปสู่โลกแห่งเซียนที่ถูกทิ้งทันที เขากลับไปยังดินแดนของเอลฟ์เพื่อขอบคุณเอเดรียนน่าเป็นการส่วนตัว จากนั้นเขาก็กลับเข้าสู่โลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งและทำหน้าที่เพื่อรักษาวิญญาณของเขา
เขาไม่รู้ว่าเขาจะต่อสู้กับเจี้ยนเฉินเหนืออาณาจักรอีกหรือไม่เมื่อเจี้ยนเฉินโผล่ออกมา หากมีการต่อสู้จริง ๆ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะเจี้ยนเฉินด้วยวิญญาณที่บาดเจ็บของเขา ดังนั้นเขาต้องฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดก่อนที่เจี้ยนเฉินจะปรากฏตัว
เขาจะไม่ถอยแม้ว่าจะได้ดินแดนเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะมาจากโลกเดียวกับเจี้ยนเฉิน
หยางลี่, เฟิงเซียวเทียน,กุยไฮ่ยี่เต่าและคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าน่าเกลียดเมื่อเห็นว่าจิตวิญญาณราชันย์สั่งให้อาวุโสและผู้พิทักษ์อยู่ในทวีปเทียนหยวน พวกเขาทั้งหมดเดินเข้าหาซ่างกวนมู่เอ๋อที่เป็นคนในทวีปเดียวกันและเฝ้ามองพวกเขา ท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ออกไปแล้ว พวกเขารู้สึกกดดันอย่างมากต่อหน้าจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจำนวนมากจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง
อีกด้านจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากต่างโลกเห็นว่าหยางลี่และคนอื่น ๆ ต้องการให้ซ่างกวนมู่เอ๋อคอยดูแลทวีป ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีความกลัวลึก ๆ อยู่ในสายตาเมื่อมองไปที่ซ่างกวนมู่เอ๋อ
ไม่ต้องกังวล ทุกท่าน ข้าจะคอยจับตาดูการกระทำของทวีปเทียนหยวนตลอดเวลา หากท่านต้องการ ข้าจะรีบมาทันที ซ่างกวนมู่เอ๋อตอบปฏิเสธที่จะอยู่ต่อ จากนั้นนางก็มองไปยังฝูงชนและเห็นเสี่ยวเหยียน, เสี่ยวเยี่ยและซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน ในที่สุดก็มีความอ่อนโยนก่อนที่สายตาของนางจะกลายเป็นเย็นชาในพริบตา เมื่อนางเห็นซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน นางพูดว่า เสี่ยวเป่า, เสี่ยวเหยียน, เสี่ยวเยี่ย ไป !
เสี่ยวเป่า, เสี่ยวเหยียนและเสี่ยวเยี่ย รวมมือกันต่อสู้เช่นกัน ในปัจจุบันใบหน้าของพวกเขาต่างอ่อนล้าและอดโรย พวกเขาบินออกไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงของซ่างกวนมู่เอ๋อ ภายใต้สายตาที่อิจฉาและชื่นชมของหลาย ๆคน พวกเขากลับไปที่เกาะสามเซียนพร้อมกับซ่างกวนมู่เอ๋อ
ในเวลาเดียวกันก็มีการจ้องมองที่เย็นชาของจากด้านหลังซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน ที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
การจ้องมองนี้เป็นของชายหนุ่มที่มีหน้าตาที่โดดเด่น ความเย่อหยิ่งของเขาค่อนข้างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะดูอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะซ่อนตัวตนที่สูงส่งของเขาซึ่งเกิดในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ชายหนุ่มเป็นนายน้อยตระกูลเจียงหยาง เจียงหยางซู
เขาอายุเกือบจะ 20 ปี แต่เจียงหยางซูก็เหมือนเดิมทุกประการ รูปร่าง, หน้าตาและอารมณ์ของเขาไม่แตกต่างกันเลย สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือความแข็งแกร่งของเขา ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษแล้ว แต่เป็นเซียนผู้คุมกฏ
แน่นอนว่าเขาได้กลายมาเป็นเซียนผู้คุมกฎผ่านการใช้สมบัติสวรรค์จำนวนมากของตระกูลเจียงหยาง ในฐานะที่เป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลเจียงหยาง พร้อมกับความจริงที่ว่าเขาถูกเจียงหยางป้าตามใจจนเสียคน เจียงหยางซูก็สามารถใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลเจียงหยางได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เขาได้รับคำแนะนำส่วนตัวจากเซียนจักรพรรดิหลายคน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงยกระดับเป็นเซียนผู้คุมกฎตั้งแต่อายุน้อย ๆ
เขาแตกต่างจากซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน ซ่างกวนเอ๋อเจี้ยนทำตัวติดดินเสมอและไม่เคยโอ้อวดตัวเอง แม้ว่าจะมีข่าวลือไม่กี่อย่างเกี่ยวกับนายน้อยแห่งเกาะสามเซียนในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ข่าวลือก็ค่อย ๆ หายไปขณะที่เขายังคงทำตัวติดดิน ในทางกลับกันเจียงหยางซูมาจากตระกูลที่รุ่งโรจน์และมีภูมิหลังที่น่ากลัว สถานะของเขาพุ่งสูงขึ้นทันทีหลังจากที่กลายเป็นนายน้อยตระกูลเจียงหยางพร้อมยังดึงดูดความสนใจให้กับผู้คนนับไม่ถ้วน บวกกับการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมในการบ่มเพาะของเขาในฐานะนายน้อยแห่งตระกูลเจียงหยางที่ค่อย ๆ แพร่กระจายไปทั่วโลก ชื่อเสียงของเขาดูเหมือนจะสู้กับเจี้ยนเฉินได้ในวันเดียว
ทั้งหมดนี่เพราะเจียงหยางซูไม่ได้ใช้ลูกท้อเมฆม่วงเพื่อขึ้นเป็นเซียนผู้คุมกฏ
เจียงหยางซูจ้องมองด้านหลังของซ่างกวนเอ๋อเจี้ยนและกำหมัดอย่างแน่น เขาคิดว่า นายน้อยชาวเกาะ เจ้าจะเข้าใจถึงพลังของข้าในไม่ช้า เจ้าเพิ่งกินลูกท้อเมฆม่วงของลุงข้าไป เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ด้วยสิ่งนี้จริง ๆ หรือ ? ตอนนี้ลุงของข้ากลับมาแล้ว ข้าจะได้ลูกท้อเมฆม่วงของตัวเองอีกไม่นานนี้เช่นกันและมันจะเป็นระดับสูงสุด ข้าจะไปที่เกาะสามเซียนเพื่อท้าประลองกับเจ้าหลังจากที่ข้ากิน ข้าจะทำให้เจ้าตกต่ำลง ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่าเหตุผลเดียวที่ข้าแพ้เจ้าเมื่อหลายปีก่อนเพราะว่าข้ายังไม่ได้กินลูกท้อเมฆม่วงเท่านั้น
เจียงหยางซูรู้สึกไม่พอใจต่อซ่างกวนเอ๋อเจี้ยน มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้เขามีอายุพอ ๆ กันแม้ว่าเขาจะมีความสง่าต่อหน้าคนอื่นเพียงใด ในปีก่อนเขาได้ท้าทายนายน้อยแห่งเกาะสามเซียนมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะพ่ายแพ้อย่างยับเยิน แม้หลังจากที่กลายเป็นเซียนผู้คุมกฎ เขาก็ยังไม่อาจรับหมัดเพียงหมัดเดียวของนายน้อยจากเกาะสามเซียนได้