ตอนที่ 1711 : เข้าสู่การต่อสู้
“เราต้องยื้อไว้ก่อน” โม่หลิงกัดฟันแน่ เขารู้สึกกดดันกับการรับมือกับขั้นเทพทั้งสาม ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้วเขามั่นใจว่าจะรับมือขั้นเทพคนหนึ่งได้และไม่พ่ายแพ้ แต่เขาไม่อาจจะทนได้นานนักกับการรับมือกับขั้นเทพ 2 คนพร้อมกัน
แต่ว่าเขาจะยื้อขั้นเทพ 2 คนไว้ได้ แต่มันก็ยังมีขั้นเทพอีกคนและจอมยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมาย แม้ว่าความเข้าใจกฎแห่งกระบี่ของเฉินเจี้ยนจะขึ้นถึงขั้นเทพช่วงกลางแล้ว แต่มันก็ยังด้อยกว่าเทพตอนนี้เพราะระดับการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไปของเขา โม่หลิงเดาว่าเขาคงลำบากเล็กน้อยกับการยื้อขั้นเทพคนหนึ่งเอาไว้ เขาจะสู้ได้อย่างเต็มที่เมื่อเจี้ยนเฉินอยู่ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เจี้ยนเฉินสามารถทำให้ลู่เทียนบาดเจ็บได้
แม้ว่าโม่หลิงจะไม่เคยเห็นความสามารถของเจี้ยนเฉินด้วยตัวเอง แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินนั้นน่ากลัวแค่ไหน เพราะเจี้ยนเฉินสามารถทำให้ลู่เทียนได้รับบาดเจ็บได้จนต้องหนีไปโดยที่ไม่ได้นำสมบัติของตระกูลลู่กลับไปด้วย
“น้องเฉินเจี้ยน อย่าเพิ่งออกไปตอนนี้ ยื้อเวลาออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้” โม่หลิงบอกกับเฉินเจี้ยน ด้วยทักษะลับภายในค่ายกลป้องกัน
“โม่หลิง เจ้าจะยอมแพ้แต่โดยดีหรือจะดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์ ? ” อันโดฟูถามขึ้นมา
โม่หลิงแค่นเสียงออกมา “อันโดฟู, ลู่เทียน พวกเจ้าคิดว่าตระกูลโม่จะจบสิ้นเพราะเจ้าสองคนร่วมมือกันและมีขั้นเทพ 3 คนงั้นรึ ? สุดท้ายทุกคนก็จะย่อยยับ ผลลัพธ์นี้อาจจะแย่กว่าสำหรับเจ้าก็ได้ “
“แย่กว่ารึ ? ” อันโดฟูยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาได้ถามโม่หลิงว่า “เจ้าหมายถึงเรื่องนี้หรือ ? ” มีหยกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมือของอันโดฟู เขาคีบมันไว้และแสดงมันให้โม่หลิงดู
โม่หลิงหรี่ตาลง สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวไป เขารู้จักหยกนี่ เขาได้ส่งมันให้กับคนในตระกูลและให้คนผู้นั้นอยู่ในเมืองหลัก นอกจากเขาและหัวหน้าตระกูลแล้ว ไม่มีใครอื่นในตระกูลโม่ที่รู้ตัวตนของชายผู้นี้
หยกชิ้นนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับหยกของราชาเทพต้วนมู่ ตอนทีเขาส่งหยกนี้ให้กับคนของเขา เขาได้เตือนอีกฝ่ายหลายครั้งว่าให้เขาทำลายมันเมื่อตระกูลโม่ถูกทำลาย เขาจะกระจายข้อมูลนี้ออกไปเพื่อให้ทั้งแคว้นตงอันนั้นรู้เรื่องหยกของราชาเทพต้วนมู่
โม่หลิงได้เตรียมวิธีรับมือไว้เพื่อกันไม่ให้ตระกูลลู่และตระกูลอันโดร่วมมือกันทำลายตระกูลโม่ หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา เขาก็สามารถใช้มันโจมตีจิตใจของตระกูลลู่และตระกูลอันโดได้ แม้ว่าตระกูลโม่จะเจอกับผลลัพธ์อันเลวร้าย แต่ตระกูลลู่และตระกูลอันโดก็ไม่ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ กลับกันแล้ว พวกเขาต้องเสียหยกของราชาเทพต้วนมู่ไปหรือไม่ก็ถูกทำลายตระกูลไปด้วย
แต่ตอนนี้หยกชิ้นนั้นกลับอยู่ในมือของอันโดฟู มันหมายความว่าคนที่โม่หลิงส่งยังเมืองหลักนั้นได้พบจุดจบไปแล้ว
“โม่หลิง เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่ ? ข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะยอมแพ้หรือจะดิ้นรนอย่างไร้ค่า ? หากเจ้ายอมแพ้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ลู่เทียนพูดขึ้นมา
“เจ้าคงฝันไปหากเจ้าคิดว่าตระกูลโม่จะยอมแพ้” โม่หลิงพูดขึ้นมา ในเมื่อตอนนี้ตระกูลของเขามีเจี้ยนเฉินและเฉินเจี้ยน เขาก็เริ่มมั่นใจมากกว่าเดิม
สายตาของลู่เทียนเย็นชามากกว่าเดิม เขาได้สั่งการออกมาโดยไม่ลังเล “ลงมือ ! ” ด้วยคำสั่งนี้จอมยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ 7 คนจากตระกูลลู่และจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมทั้งหมดด้านหลังต่างก็พากันลงมือ พลังงานดั้งเดิมได้ปะทุขึ้นมาพร้อมกับการโจมตีกว่า 900 อันได้พุ่งเข้าใส่ม่านพลังของตระกูลโม่
“ลงมือ ! ” ในเวลาเดียวกัน อันโดฟูก็สั่งการเช่นกัน ผู้อาวุโสและนักสู้ขอบเขตดั้งเดิมของเขาต่างก็ทำการโจมตีเช่นเดียวกัน พวกเขาได้โจมตีโล่พลังพร้อมกันกับพวกตระกูลลู่
ตูม !
การโจมตีจากจอมยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์หลายสิบคนและจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมกว่าพันคนนั้นน่ากลัว ตอนที่มันปะทะกับม่านพลังของตระกูลโม่ เสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้น คลื่นพลังงานดั้งเดิมแพร่กระจายไปรอบ ๆ จนย้อมโลกเป็นสีสันต่าง ๆ
แต่ม่านพลังของตระกูลโม่เองก็โดดเด่น มันทรงพลังอย่างมาก การโจมตีอย่างต่อเนื่องจากจอมยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์มากกว่าสิบคนและนักสู้ขอบเขตดั้งเดิมกว่าพันคนทำให้โล่นั้นสั่นไหวและหมองไปเล็กน้อย
“โม่หลิง ข้าอยากเห็นว่าตระกูลโม่ของเจ้าจะมีเหรียญผลึกประคองม่านพลังนี้สักเท่าไหรกัน” ลู่เทียนซึ่งลอยอยู่ในอากาศได้มองลงมาข้างล่างแล้วแค่นเสียงออกมา ขั้นเทพที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน
จอมยุทธทุกคนจากตระกูลลู่และตระกูลอันโดได้ยืนนิ่ง พวกเขาได้โจมตีโล่พลังอย่างต่อเนื่อง จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมหลายคนในหมู่สองตระกูลที่ได้เข้าประจำค่ายกล พวกเขาได้รวมพลังกันจากคนหลายสิบคนรึกว่าร้อยจนมีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตเทพ
เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วพร้อมกับม่านพลังที่สั่นไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ เร็วเข้า เร็ว รีบใส่เหรียญผลึกเข้าไปที่ฐานค่ายกล….”
สมาชิกระดับสูงที่ปกติแล้วจะจัดการกับเรื่องในตระกูลได้ตะโกนออกมาด้วยความลนลานคอยสั่งให้ยามใส่พลังงานให้กับค่ายกล
ในเวลาเดียวกันที่ยอดเขาซึ่งห่อหุ้มไปด้วยหมอกในนิกายจุลกระบี่ หัวหน้านิกายได้ยินอยู่ที่นั่น ตรงหน้าเขานั้นมีชายวัยกลางคนชุดขาว เขาหันหลังให้กับหัวหน้านิกายและมองไปยังทะเลเมฆตรงหน้า
“บรรพชน ตระกูลลู่และตระกูลอันโดได้เข้าโจมตีตระกูลโม่ ข้าขอให้บรรพชนเข้าไปลงมือเพื่อให้ตระกูลโม่ชดใช้กับการกระทำก่อนหน้านี้” หัวหน้านิกายพูดขึ้นอย่างสุภาพ
“ยู่ห่าว เจ้าต้องการให้นิกายจุลกระบี่เปิดศึกกับตระกูลโม่แค่เพราะลูกชายที่น่าผิดหวังของเจ้างั้นรึ ? เจ้าคิดว่ามันคุ้มค่ารึไง ? ” ชายวัยกลางคนถามขึ้นมาโดยไม่หันกลับมามอง เสียงของเขาไม่ต่างจากเดิมไม่ได้แฝงอารมณ์ใด ๆ
“บรรพชน ตระกูลโม่ทำเกินไป ตอนที่ผู้อาวุโสโม่ชานและผู้อาวุโสโม่หยุนได้พาฟานเอ๋อไปที่ตระกูลโม่ครั้งก่อน ทั้งโม่หยุนและฟานเอ๋อต่างก็เสียแขน มันเท่ากับการตบหน้าเรา หากเราไม่แก้แค้น เราจะมีเกียรติเช่นนั้นรึ ? ” หัวหน้านิกายพูดขึ้น
“ข้าได้คุยกับผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะลูกชายที่น่าผิดหวังของเจ้ารึไง ? ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น
สีหน้าของหัวหน้านิกายเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาได้พูดขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วน “บรรพชน เรามองข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้หรือ ? ”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าและถอนหายใจออกมา “ ยู่ห่าว เจ้าหยิ่งทะนง ข้ารู้สึกผิดที่ยกตำแหน่งหัวหน้านิกายให้กับเจ้า หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ทั้งนิกายอาจจะถูกทำลายด้วยมือของเจ้า”
หัวหน้านิกายแปลกใจ เขารู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีและพูดขึ้นอย่างสุภาพ “อย่าโกรธเคืองเลย บรรพชน ใจเย็น ๆ ก่อน เป็นข้าเองที่ไม่คิดให้ถี่ถ้วน ข้าไม่รู้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ มันจะดีหากเราไม่คุกคามตระกูลโม่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่านิกายของเรา แต่พวกนั้นก็คงอยู่กันมานาน”
“เฮ้อ” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง เขาหันไปหาหัวหน้านิกายและพูดขึ้น “ยู่ห่าว เจ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพยายามจะบอก เราไม่คิดจะเปิดศึกกับตระกูลโม่” ชายวัยกลางคนเงียบพร้อม
สายตาที่เปลี่ยนไปก่อนจะพูดต่อ “ แต่ตระกูลโม่นั้นได้ทำให้ผู้อาวุโสโม่หยุนแขนขาด หากเราไม่ตอบโต้เรื่องนี้ สถานะของเราก็จะตกต่ำลง เราไม่อาจจะเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ระหว่างตระกูลโม่, ตระกูลอันโดและตระกูลลู่ได้ แต่เราจะใช้พลังที่เรามีในการฆ่าคนของตระกูลโม่เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้”
“หากตระกูลลู่และตระกูลอันโดไม่อาจจะทำลายตระกูลโม่ได้แม้ว่าจะร่วมมือกัน เราก็จะมองข้ามเรื่องแขนของ ผู้อาวุโสโม่หยุนไป เราจะไม่พูดถึงมันอีก”