ตอนที่ 1814 : ความสำเร็จบางส่วนของจิตวิญญาณกระบี่ (6)
“ เนื่องจากข้าได้รับปากท่านแล้ว แน่นอนว่าข้าจะทำทุกอย่างเพื่อที่ทำให้ท่านเป็นขั้นเหนือเทพได้ หากดูจากพรสวรรค์ที่ไม่ได้ย่ำแย่ของท่านแล้ว” เจี้ยนเฉินยืนยัน แม้ว่ากฎแห่งกระบี่ของเขาตอนนี้จะอยู่แค่ขั้นเหนือเทพช่วงกลางแต่เขาก็มั่นใจว่าการที่ทำให้ชีเฉียนเป็นขั้นเหนือเทพได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากมากนัก
ชีเฉียนตอนนี้เป็นขั้นเทพช่วงกลาง มันคงอีกสักพักกว่าที่จะขึ้นเป็นขั้นเทพช่วงสูงสุดได้ จากนั้นด้วยความเร็วในการทำความเข้าใจของเจี้ยนเฉิน เขาอาจจะเข้าถึงความสำเร็จขั้นกลางและขั้นสมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณกระบี่ได้รึบางทีอาจจะขึ้นถึงอมตะกระบี่
แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและเขายังอยู่ในความสำเร็จบางส่วนของจิตวิญญาณกระบี่ตอนที่ชีเฉียนเป็นขั้นเทพช่วงสูงสุด แต่เขาก็ยังมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่ปัญหามากนักกับการทำให้ชีเฉียนเป็นขั้นเหนือเทพด้วยการที่มีเขาช่วย
“ข้าจะออกจากที่นี่ในไม่ช้า แต่ก่อนที่จะออกไปนั้นข้าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูลเทียนหยวนให้มากกว่านี้ มันจะดีหากข้าได้ขั้นเหนือเทพมาปกป้องตระกูล จากนั้นข้าถึงรับรองความปลอดภัยของตระกูลได้ แต่ข้าต้องจัดการเรื่องตระกูลวายเนอร์ด้วย หากข้าจัดการมันได้ด้วยดี มันก็จะไม่ใช่ความผิดของข้า ไม่งั้นพวกนั้นก็จะเป็นหอกข้างแคร่” เจี้ยนเฉินคิด เหตุผลบางส่วนที่เขาต้องการดึงชีเฉียนเข้ามานั้น ก็เพราะเขามั่นใจว่าความสำเร็จในอนาคตของชีเฉียนนั้นต้องน่าประทับใจ
เจี้ยนเฉินไม่มั่นใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเช่นนี้ แต่เขาก็เชื่อมันโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกันก็ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญ เขาตัดสินใจจะออกจากตระกูลเทียนหยวน เขาคือคนของโลกอมตะ เขาต้องกลับไปที่นั่นในสักวัน
เขาไม่ได้เกิดมาในโลกอมตะ เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบ่มเพาะของเขา, มรดก, หรือตัวตนของจิตวิญญาณกระบี่ พวกมันล้วนแต่ตัดสินแล้วว่าเขาคือคนของโลกอมตะ
ผลก็คือเขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลเทียนหยวนก่อนที่จะออกไป อย่างน้อย ๆ เขาก็ต้องทำมันเพื่อตระกูลเทียนหยุนจะได้คงอยู่อย่างมั่นคงไปอีกนานในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน
ไม่ใช่คนของตระกูลที่คอยปกป้องคนที่มาจากทวีปเทียนหยวนกับเขาแต่ยังเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ ที่จะมาอีกในอนาคต
แม้ว่าอุโมงค์โลกเซียนจะตกเป็นของคนหนึ่งใน 49 ที่ราบหรือ 81 ดาวเคราะห์ในโลกเซียน แต่เจี้ยนเฉินก็เชื่อว่าเมื่อเขาแข็งแกร่งพอ เขาก็สามารถเปลี่ยนมันได้ เขาสามารถทำให้คนจากทวีปเทียนหยุนในอนาคตมารวมตัวกันในตระกูลเทียนหยวนได้
คำสัญญาจากเจี้ยนเฉินทำให้ชีเฉียนดีใจ แม้ว่าเขาจะเป็นขั้นเทพแล้วแต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะก้าวขึ้นเป็นขั้นเหนือเทพได้ จากทั้ง 36 แคว้นของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ แต่ละเมืองหลักนั้นมีขั้นเทพหลายสิบรึอาจจะหลายร้อยคน แต่มันก็มีไม่กี่คนที่ก้าวขึ้นเป็นขั้นเหนือเทพได้
หากเขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำตระกูลเทียนหยวน เขาเชื่อว่าเขาก็สามารถขึ้นเป็นขั้นเหนือเทพได้
แต่ชีเฉียนก็ได้แสดงท่าทีลังเลออกมา เขาได้บอกกับเจี้ยนเฉินว่า “แต่ผู้นำตระกูล ข้ามีตระกูลในแคว้นไคหยาง ข้าเป็นคนของตระกูลชี”
เจี้ยนเฉินโบกมือและยิ้มออกมา “ นั่นไม่ใช่ปัญหา ท่านยังคงเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชีเมื่อท่านเข้าร่วมตระกูลเทียนหยุน”
“ข้าติดหนี้ผู้นำตระกูลจริง ๆ นับจากวันนี้ไปข้าจะเข้าร่วมตระกูลเทียนหยวน” ชีเฉียนพูดขึ้นมาอย่างสุภาพ
หลายคนเลือกที่จะเข้าร่วมตระกูลหรือนิกายใหญ่เพื่อวิธีการบ่มเพาะที่ดีกว่าหรือเพื่อทะลวงขอบเขตให้สูงกว่าเดิมในโลกเซียน ชีเฉียนเองก็ตัดสินใจแบบนั้นในวันนี้
“ด้วยอายุและพรสวรรค์ของข้าแล้ว คนจากตระกูลและนิกายที่แข็งแกร่งอาจจะไม่ต้องการข้า แม้ว่าข้าจะโชคดีแต่ข้าอาจจะไม่ได้รับการสนใจเลยแม้แต่น้อย ข้าคงพบกับทางตัน แม้ว่าตระกูลเทียนหยวนจะไม่อาจเทียบกับตระกูลและนิกายเหล่านั้นได้ แต่มันก็เพียงพอตราบใดที่ผู้นำตระกูลช่วยข้าให้กลายเป็นขั้นเหนือเทพ ในเวลาเดียวกันการเข้าร่วมตระกูลเทียนหยวนจะส่งผลดีต่อข้าในทางอื่นด้วย เพราะข้าไม่ต้องกังวลเรื่องการแก้แค้นจากครอบครัวโม่ ครอบครัวโม่ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ฉิงหยางมีพฤติกรรมที่โหดร้าย พวกเขาไม่เที่ยงธรรม ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนของครอบครัวโม่จะจำสิ่งที่ข้าทำและพูดไปในวันนี้ได้รึไม่” ชีเฉียนคิด
“ชีฮัน ขอคำนับผู้นำตระกูล ! ” ในเวลาเดียวกันเหลนของชีเฉียนก็ก้าวออกมาโค้งให้กับเจี้ยนเฉินอย่างสุภาพ
หลายคนรอบ ๆ ต่างก็มองชีเฉียนด้วยสายตาอิจฉา ยังไงซะชีเฉียนก็ไม่ได้เข้าร่วมตระกูลเทียนหยวนเหมือนกับคนอื่น ๆ ผู้นำตระกูลได้ชวนเขาด้วยตัวเองและรับรองว่าจะช่วยให้เขาขึ้นเป็นขั้นเหนือเทพให้ได้
หลังจากที่เผยตัวตนแล้ว สถานะของเจี้ยนเฉินก็โดดเด่นขึ้นมา หลายคนที่เคยมองข้ามเขาไปก่อนหน้านี้กลับต้องมองเขาด้วยความเคารพ
นี่เพราะเขาเป็นขั้นเหนือเทพรวมถึงคนที่มีอำนาจอย่างมากในแคว้นตงอัน
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้ให้ป้ายกับชีเฉียน เพื่อที่จะได้แสดงฐานะผู้อาวุโสในตระกูลเทียนหยวนก่อนจะกลับไปทำความเข้าใจต่อ
ในเสี้ยวพริบตา เจี้ยนเฉินก็อยู่ที่นั่นกว่า 20 ปี หลังจากที่ใช้เวลากว่า 20 ปีทำความเข้าใจที่นั่น ปราณกระบี่ที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งผิดปกติซึ่งทำให้ผู้บ่มเพาะที่นั่นทุกคนต่างก็รู้สึกราวกับจมไปในทะเลกระบี่ มันราวกับชั้นปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ ปราณกระบี่ได้แผ่ออกมาทั่วทุกที่จนพลังดั้งเดิมได้รับผลกระทบและเฉียบคมขึ้นมา
ทุกคนต่างก็พากันหยุดบ่มเพาะและใช้พลังดั้งเดิมของตนเพื่อปกป้องตัวเองไว้โดยแยกตัวเองออกจากปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นนี้
โชคดีที่ปราณกระบี่ที่ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ได้เล็งเป้าหมายมาที่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บเมื่อต้านทานมันอย่างเต็มกำลัง
มันมีแค่เพียงคนเดียวที่ได้รับการยกเว้นและคนนั้นคือเจี้ยนเฉิน ตัวของเขายังมีฝุ่นเกาะหนาตามเดิม เจี้ยนเฉินนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่นานฝุ่นบนตัวของเจี้ยนเฉินก็สลายไป สุดท้ายปราณกระบี่ก็เริ่มส่องประกายออกมาจากตัวเจี้ยนเฉิน แผ่พลังและความสดใสของมันออกมา สุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นปราณกระบี่ขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้า หากมองจากไกล ๆ แล้วมันราวกับเสาขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงสดใสออกมา มันตั้งตระหง่านจากพื้นเหยียดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า