ตอนที่ 1888: ไคยะฟื้น
เจี้ยนเฉินกลับไปยังตระกูลเทียนหยวนและเข้าไปยังห้องลับ เพียงโบกมือก็ปรากฏโลงผลึกก็ลอยออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่ม
สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีที่มีขนาดเท่ากำปั้นเกาะอยู่บนโลง อย่างไรก็ตามมันแตกต่างจากเมื่อก่อน การบ่มเพาะมันไม่ได้เพิ่ม ขณะที่อยู่บนหน้าของไคยะ แววตาที่ฉลาดของมันเต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในความจริงมันไม่ใช่เวล่าที่นานนัก นับตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินต่อสู้กับราชาเทพในเทือกเขาหยินเจ็ดทลาย
โดยธรรมชาติแล้วเจี้ยนเฉินไม่รู้ถึงสิ่งผิดปกติของสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสี เขามาที่โลงผลึกและค่อย ๆ ยกฝาขึ้น เขายังเปิดใช้งานค่ายกลภายในห้อง
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาหยิบดอกไม้ศิลาหัวใจสมุดและดอกเมฆม่วง ที่เขาได้รับมาจากเทือกเขาหยินเจ็ดทลาย
กลิ่นที่ท่วมท้นกระจายออกไปรอบ ๆ ทันที เพียงสูดหายใจแค่ครั้งเดียวมันก็ชะล้างจิตใจและทำให้คนรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก
กลิ่นหอมถูกแยกกระจายกันอย่างหนาแน่นภายในห้องเล็ก ๆ และไม่มีการลอยออกไปไหน
ไม่อย่างนั้นกลิ่นหอมจะกระจายไปทั่วเมืองในเวลาสั้น ๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะดอกเมฆม่วงที่เป็นดอกไม้ระดับเทพ
ตาของสัตว์อสูรกลืนรุ้งสวรรค์สว่างขั้นทันที สุดท้ายมันก็ละสายตาจากไคยะและหันมามองมือทั้งสองที่ถือดอกไม้ของเจี้ยนเฉิน มันตื่นเต้นและกระพือปีกบินวนเจี้ยนเฉินอย่างมีความสุข
ราวกับมันรู้ว่าเจี้ยนเฉินจะสามารถปลุกไคยะได้ในครั้งนี้
เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อยด้วยสมบัติสวรรค์ทั้งสองก่อนที่เขาจะตัดสินใจใช้ดอกไม้หัวใจศิลาสมุดก่อน
หากดอกไม้นี้ปลุกไคยะให้ตื่นขึ้นมา เขาจะเหลือสมบัติสวรรค์ระดับเทพ
ไม่นาน เจี้ยนเฉินก็ป้อนดอกไม้เข้าไปในปากของไคยะ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นลูกบอลพลังงานและรวมตัวเข้ากับวิญญาณของไคยะ
เจี้ยนเฉินจ้องมองไปที่ไคยะโดยไม่กระพริบตาเลย มีความกังวลอย่างมากบนใบหน้าของเขาพร้อมกับความคาดหวังบางอย่าง
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ในไม่ช้ามันก็ใช้เวลา 2 ชั่วยามแล้วตั้งแต่ไคยะได้รับดอกไม้หัวใจศิลาสมุด นางก็ยังไม่ตื่น
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถเก็บดอกเมฆม่วงไว้ได้” เจี้ยนเฉินคิดก่อนที่จะป้อนสมบัติสวรรคระดับเทพเข้าปากไคยะอย่างไม่ลังเล เขาอดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองว่า “เจ้าเป็นแค่เซียนจักรพรรดิแท้ ๆ แต่เจ้าถึงกับต้องใช้สมบัติสวรรค์มากมายเพื่อฟื้นวิญญาณเจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรที่มันแปลกอย่างนี้”
“อย่างไรก็ตามดอกเมฆม่วงเป็นสมบัติสวรรค์ขั้นสูงสุดที่ข้าเคยได้มา หากยังไม่ได้ผล ข้าก็หมดทางเลือกแล้วจริง ๆ ”
“ไคยะ เจ้าตื่นได้แล้ว…”
เจี้ยนเฉินตื่นเต้นมาก ในตอนนี้ทั้งเขาและสัตว์อสูรกลืนรุ้งสวรรค์ได้มุ่งความสนใจไปที่ไคยะอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในตอนนี้สีหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไป เครื่องรางหยกที่แผ่แสงสีเงินที่เขาใช้เพิ่มพลังวิญญาณแต่เดิมในตระกูลเทียนหยวนก็แตกลง
สีหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนนี้เครื่องรางแตกแล้ว หมายความว่าตระกูลเทียนหยวนกำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ ภัยคุกคามนี้มีผลกระทบมากต่อการอยู่รอดของตระกูลเทียนหยวน
เจี้ยนเฉินออกไปทันที เขาปรากฏตัวในตระกูลและรีบเข้าห้องโถงประชุมทันที
ผู้อาวุโสทั้งหมดรวมตัวกันในห้องโถงประชุม พวกเขานั่งพร้อมกับมีท่าทางเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น ? ” เจี้ยนเฉินนังบนบัลลังก์ของเขาและถามอย่างจริงจัง
“ท่านผู้นำ อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สามหม้อยาได้รับความเสียหายหนักเมื่อสามวันก่อน ราชาเทพสองในสามคนของพวกเขาถูกสังหารโดยผู้นำกองพันที่เก้า โดยมีเพียงราชาศักดิสิทธิ์เท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้”
“อย่างไรก็ตามจากนั้นเขาก็ได้รับข่าวว่ากองพันที่เจ็ดและแปดของลัทธิปีศาจชั้นฟ้ากำลังรวมตัวกัน ในขณะที่พวกเขากำลังไปเสริมกองพันที่เก้าและพวกเขากำลังมุ่งหน้ามาที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนของเราโดยตรง” โม่หลิงยืนขึ้นและพูดอย่างจริงจัง
เจี้ยนเฉินยืนขึ้นจากบัลลังก์ผู้นำ แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยและเขาพูดอย่างเคร่งเครียด “เรื่องนี้อาจซับซ้อนไม่น้อย ดูเหมือนว่ากองทัพของลัทธิปีศาจชั้นฟ้าจะมารวมตัวกัน มันคงไม่มีอะไรเกี่ยวกับขั้นเหนือเทพทั้งสามที่ข้าได้สังหารไปเมื่อสองสามวันก่อน ขั้นเหนือเทพเพียง 3 คนไม่เพียงพอที่จะทำให้ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าส่งกองทัพมาถึง 3 กอง”
“มีรายงาน ! ”
ในเวลานี้ยามก็รีบเข้ามาและคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับตะโกนว่า “ผู้นำ มีสารพิเศษในเมืองหลวงกำลังรอเราอยู่ด้านนอก”
“ให้เขาเข้ามา” เจี้ยนเฉินพูด
“ขอรับ ท่านผู้นำ ! ”
ไม่นานขั้นเทพสองสามคนก็รีบเข้ามาจากข้างนอกอย่างเคร่งเครียด พวกเขาเป็นผู้นำสารพิเศษจากเมืองหลวงที่จะทำตามคำสั่งของราชาศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ ดังนั้นสถานะของพวกเขาจึงยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในตระกูลเทียนหยวน พวกเขาก็ปกปิดความเย่อหยิ่งของพวกเขา
ผู้นำสารพิเศษคารวะเจี้ยนเฉินอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นหนึ่งในพวกเขาก็พูดอย่างสุภาพ “ท่านผู้นำที่น่ายกย่องจากตระกูลเทียนหยวน เราได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทมาเพื่อเชิญผู้นำไปยังเมืองหลวงเพื่อหารือเรื่องสำคัญ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปรายงานฝ่าบาทของเจ้าว่าข้าจะไปเร็ว ๆ นี้” เจี้ยนเฉินพูดกับผู้นำสารพิเศษ
ในขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังพูดเรื่องสำคัญกับคนระดับสูงของตระกูลเทียนหยวน ขนตาของไคหยาก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้งภายในห้อง
ร่างกายสั่นน้อย ๆ ก่อนหน้านี้กลายเป็นขยับได้อย่างต่อเนื่องจนราวกับว่านางพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะลืมตา
สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีก็สัมผัสถึงสิ่งนี้ได้ เพราะมันให้ความสนใจไคยะตลอดเวลา มันตะโกนออกมาอย่างมีความสุขและบินไปรอบ ๆ โลงผลึกอย่างต่อเนื่อง กำลังใจของมันเพิ่มสูงมาก
สุดท้าย ไคยะก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ
มันเป็นดวงตาที่น่ามองแค่ไหน ?
ถ้าเจี้ยนเฉินเห็นดวงตาของไคยะ เขาจะสงสัยว่าคนที่อยู่ด้านหน้าของเขาเป็นไคยะจริง ๆ หรือไม่
นี่เป็นเพราะดวงตานั้นเย็นชาและไร้ความปราณี พวกมันทำให้รู้สึกว่านางเย็นชาและน่าหวาดกลัวราวกับนางไม่มีความรู้สึกใด ๆ
ภายในนั้นมีความไม่แยแสต่อชีวิต มันเหมือนกับเป็นสายตาของสุดยอดผู้ปกครองที่มองเห็นจักรวาลเป็นดั่งมดตัวน้อย
สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีหยุดบิน มันยังคงอยู่ที่เดิมเว้นแต่ว่ามันมีพลังงานที่มองไม่เห็นได้ขังมันเอาไว้ในมิติและทำให้มันหยุดนิ่ง
พลังงานดั้งเดิมกระเพื่อมและฉีกมิติที่ถูกแช่แข็งภายในห้องเช่นกัน
ในเวลานั้นห้องลับที่ไคยะอยู่ก็ดูเหมือนสิ่งต่าง ๆ หยุดลง ทุกอย่างหยุดราวกับว่ามันถูกแช่แข็งไว้ตราบชั่วนิรันดร์
ในเวลาเดียวกันมิติรอบนอกเหนือที่ราบเมฆาห่างออกไปหลายพันไมล์ สัมผัสของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทพรู้สึกได้ถึงกฏที่น่ากลัวที่คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
พลังของกฏที่มากมายจนดูเหมือนกับว่าพวกมันจะมาแทนที่ของกฏจากโลกเดิมและเป็นตัวแทนของกฏแห่งโลก
ตามหลักความจริงแล้ว การปรากฏของมันได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายของกฏแห่งโลกทั้งสามพันกฎ
เหล่าผู้มีชีวิตโบราณทั้งหมดในองค์กรระดับสูงทั้งห้าภายในที่ราบเมฆาต่างก็ออกจากการจำศีล พวกเขาเงยหน้ามองไปที่ท้องฟ้าด้วยความตกใจ