ตอนที่ 1896: ไคยะและเฉินหลง
ผู้คนหลั่งไหลเข้า-ออกจากประตูเมืองที่ใหญ่โตของแคว้นตงอันอย่างต่อเนื่อง มีทหารติดอาวุธจำนวนมากประจำการที่ประตูแต่ละเมืองและขั้นศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เฝ้ามองอย่างลับ ๆ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกของแคว้นใหญ่ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน แคว้นตงอันยังเป็นรากฐานของตระกูลเทียนหยวน มันมีชื่อเสียงมากจนดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้เข้ามาเยี่ยมชม แน่นอนว่ามีหลายคนเข้ามาค้าขายหรือหลีกเลี่ยงปัญหา พวกเขาต้องการยืมกฏห้ามก่อความรุนแรงในแคว้นตงอันเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูที่ต้องการฆ่าพวกเขา
อย่างไรก็ตามทุกคนเข้ามาจากต่างเมืองจำเป็นต้องจ่ายเงินด้วยเหรียญผลึกให้กับทหารยามเฝ้าประตูเมืองเพื่อแลกกับเหรียญ พวกเขาสามารถซื้อเวลาเพิ่มขึ้นได้ผ่านทางเหรียญ
ไม่เพียงแต่ในเมืองหลักเท่านั้นที่ห้ามมีการต่อสู้อย่างเคร่งครัด พลังงานดั้งเดิมก็มีอยู่มากเช่นกัน การบ่มเพาะภายในเมืองนั้นเร็วกว่าการบ่มเพาะข้างนอกและไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง
เป็นผลทำให้ผู้คนมากมายมีความสุขอย่างมากที่จะบ่มเพาะภายในเมือง
แม้ว่าบางคนจะไม่สนใจกฎของตระกูลเทียนหยวนตั้งไว้ภายในแคว้นตงอันและทำร้ายผู้คนตรง ๆ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็น้อยมาก พูดอีกอย่างที่นี่ปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอก
วันนี้ เฉินหลง ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะปรมาจารย์ค่ายกลได้เข้ามาในเมือง เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวและปกปิดการปรากฏตัวของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาค่อย ๆ เข้าใกล้ประตูเมืองทิศตะวันออกพร้อมกับฝูงชน
ตอนนี้เฉินหลงดูเหมือนกับชายชราธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ได้มีความโดดเด่นใด ๆ ท่ามกลางฝูงชน มันยากมากที่จะคิดว่าเขาเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลายและเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์รอบ ๆ
มันยากยิ่งกว่าที่จะจินตนาการว่าความแข็งแกร่งและสถานะของเขา เขาจะเลือกเข้าแถวพร้อมกับคนธรรมดาขณะที่เขาเดินเข้าไปในเมือง เขาสามารถเข้าไปข้างในได้หลังจากจ่ายเหรียญผลึกศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับเหรียญเพื่ออยู่อาศัยภายในเมือง
“ข้าได้เข้าไปในเมืองหลักแล้วซ่อนตัวตนของข้าด้วยทักษะลับ แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะอยู่ในเมืองก็หาข้าไม่เจอ โอกาสรอดชีวิตที่เจ้าพูดอยู่ที่ไหน” ปรมาจารย์เฉินหลงเดินตามถนนอย่างสบาย ๆ ขณะที่เขาพูดกับวิญญาณในกับดักอย่างลับ ๆ
ปรมาจารย์เฉินหลงค่อนข้างกลมกลืนไปกับทิวทัศน์รอบ ๆ เมือง เมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมาเขาได้โจมตีเจี้ยนเฉินที่นี่ เขาใช้ค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อปิดกั้นทั้งเมืองและพยายามที่จะฆ่าเจี้ยนเฉินที่นี่
โชคร้ายที่เจี้ยนเฉินสัมผัสถึงเขาได้ล่วงหน้าและหลบหนีออกจากเมือง ท้ายที่สุดเขาก็ได้ต่อสู้กันอย่างใหญ่โตและดุเดือดห่างจากเมืองไป 100 กิโลเมตรกับเจี้ยนเฉิน
ปรมาจารย์เฉินหลงเกือบจะฆ่าเจี้ยนเฉินได้ในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เกือบตายด้วยน้ำมือของเจี้ยนเฉินเช่นกัน
ตอนนี้เขากลับมายังเมืองนี้อีกครั้งและความตั้งใจของเขาไม่ได้มาเพื่อฆ่าเจี้ยนเฉิน แต่เพื่อหาโอกาสในการรอดชีวิตตามที่วิญญาณในกับดักพูดถึง
Jian Chen’s talent was too great, and he grew too fast. Coupled with the constant mutterings of the trapped soul, he was gradually influenced. “Old man Chanlong, you better treasure the last few years of your life. I can already see your future. You won’t be able to live for another hundred years. Old man Chanlong, I can already see your forehead being pierced and your soul being wiped out by Jian Chen. I can already see when Jian Chen cuts off your head,” he said. As a result, master Chanlong began to firmly believe the words of the trapped soul. In order to avoid dying to Jian Chen’s hands in a few decades, he had hurried back here from the Heavenly Moon Empire.
พรสวรรค์ของเจี้ยนเฉินมีมากมายและเขาก็เติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย เมื่อรวมกับการที่วิญญาณในกับดักพูดพึมพำ เขาก็ได้รับอิทธิพลของมันมาเรื่อย ๆ “เฒ่าหลง เจ้ามีสมบัติล้ำค่ามากมายในช่วงเวลาที่ข้าอยู่กับเจ้า ข้าสามารถเห็นอนาคตของเจ้าแล้ว เจ้าจะอยู่ไม่ถึง 100 ปี เฒ่าหลงข้าเห็นแล้วว่าหน้าผากของเจ้าถูกแทงและจิตวิญญาณของเจ้าก็สลายโดยเจี้ยนเฉิน ข้าสามารถเห็นเจี้ยนเฉินตัดหัวของเจ้าออกไปได้”เขากล่าว ทำให้ปรมาจารย์เฉินหลงเริ่มเชื่อคำพูดของวิญญาณในกับดักอย่างท่วมท้น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตายด้วยน้ำมือของเจี้ยนเฉินในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เขาจึงรับกลับมาจากจักรวรรดิจันทราสวรรค์
ปรมาจารย์เฉินหลงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าวิญญาญในกับดักแข็งแกร่งเพียงใดหลังจากที่อยู่กับเขามาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขามีพลังในการทำนายอนาคต ทุกสิ่งที่เขาพูดมันจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
“แคว้นในอนาคตจะวุ่นวาย มีหมอกที่ดูเหมือนจะครอบคลุมมัน ข้าเห็นได้ว่าโอกาสรอดของเจ้าอยู่ที่นี่เท่านั้น ข้าไม่เห็นอีกเลยว่ามันอยู่ตรงไหน เฒ่าหลงมันขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าอีกด้วย ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้” วิญญาณในกับดักพูด
ปรมาจารย์เฉินหลงไม่พูดอะไรอีก ไม่นานเขาก็เข้าไปที่โรงเตี๊ยมและจองห้องพักเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เขาสั่งอาหารจานหนึ่งที่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมและเริ่มกินอยู่ในมุมอับ
แน่นอน ว่านี่เป็นการครอบคลุม ผู้คนเดินกันขวักไขว่อย่างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กบ่อยครั้ง สถานที่นั้นสะดวกมากสำหรับการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
เขาเชื่อมั่นว่าหากแคว้นนี้มีโอกาสรอด เมืองนี้ต้องเกิดความไม่สงบอย่างแน่นอนหรือมีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้น
คำพูดและการกระทำของปรมาจารย์เฉินหลงได้กลายเป็นระมัดระวังตัวมากในขณะที่เขาอยู่ที่นี่ตอนนี้ เขายังคงถ่อมตัว เขาไม่ได้แสดงตัวในที่สาธารณะแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่กล้าที่จะใช้สัมผัสวิญญาณของเขา เขากลัวว่าเจี้ยนเฉินจะยังคงอยู่ในเมืองและจะพบการคงอยู่ของเขา
หากมีคนเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาได้เข้ามาในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน ผู้พิทักษ์จักรวรรดิสูงสุดจะตามล่าเขา
ไม่อย่างนั้นมันคงอยากสำหรับเขาที่จะได้รับข่าวสารจากฐานะขั้นเหนือเทพช่วงปลาย
ในเวลาเดียวกัน ไคยะก็เดินไปตามถนนในเมืองอย่างไร้จุดหมาย นางมองไปรอบ ๆ และมองท้องฟ้าบ่อยครั้ง มีความสับสนเต็มใบหน้าของนาง
นางเดินไป-มาอย่างนี้มาสองวันแล้ว แน่นอนว่านางอยู่คนเดียวมาสองวัน แม้การเดินเป็นเวลาสองปีก็ไม่มีอะไรมากกับเซียนจักรพรรดิเช่นนาง
เมื่อไคยะเดินผ่านโรงเตี๊ยมธรรมดา นางก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ทำให้นางต้องจ้องมอง ทันใดนั้นนางก็มองไปที่โรงเตี๊ยมและอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป
เมื่อคนมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้น สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือการมองดูรอบ ๆ ตามจิตสำนึก อย่างไรก็ตามเมื่อไคยะเข้ามาในโรงเตี๊ยม นางไม่ได้มองรอบ ๆ เลย มันมีบางอย่างที่ดึงดูดสายตาของนางอย่างชัดเจน ดังนั้นางจึงมองไปยังมุมหนึ่งที่ไม่โดดเด่น
ไม่แปลกใจเลย นั่นคือที่ปรมาจารย์เฉินหลงนั่งอยู่
ไคยะจ้องมองไปที่ปรมาจารย์เฉินหลงทันที นางมองเขาอย่างเหม่อลอยขณะที่มีความสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
ในเวลาเดียวกันปรมาจารย์เฉินหลงเงยหน้ามองไปที่ไคยะอย่างสงบ
เขาไม่อาจละสายตาได้หลังจากนั้น
ในฐานะที่เป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลาย เขาไม่เคยสนใจเซียนจักรพรรดิเลย แม้ว่าเซียนจักรพรรดิมองเขา เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ไคยะเข้ามาที่โรงเตี๊ยม ปรมาจารย์เฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ เขามองไปที่ไคยะ
“การบ่มเพาะอ่อนด้อยนัก แปลก คนนี้เป็นใคร ? ทำไมข้ารู้สึกคุ้นเคยเมื่อมองนาง ? ” ปรมาจารย์เฉินหลงมองไปที่ไคยะด้วยดวงตาที่ฝ้าฟางขณะที่เขาเปิดเผยความสงสัย
“หืม ? ตาเฒ่าเฉินหลง เจ้าสังเกตเห็นหญิงสาวคนนั้นไหม นางเป็นใคร ? ทำไมข้ารู้สึกว่าข้ารู้จักนางทันทีที่นางปรากฏตัว ? แต่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ในเวลาเดียวกันวิญญาณในกับดักก็พูดอย่างสงสัย
ในเวลานั้นไคยะก็เดินเข้ามา นางเดินมาถึงหน้าปรมาจารย์เฉินหลงอย่างมั่นคงและจ้องมองด้วยความสงสัย นางถามอย่างอ่อนโยน “ท่านเป็นใคร ? เราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่ ? ” ขณะที่พูดแล้ว นางมองไปที่แหวนมิติของปรมาจารย์เฉินหลงเป็นครั้งคราว
เห็นได้ชัดว่าไคยะรู้สึกแบบเดียวกันกับวิญญาณในกับดักของปรมาจารย์เฉินหลง ทั้งสามรู้สึกเหมือนกับว่ารู้จักกันมาก่อน