ตอนที่ 1933 : ซิงเอ๋อกับหลานเอ๋อ
“ท่าน ….” เจี้ยนเฉินมองไปที่นางฟ้าเฮายู่ด้วยความหงุดหงิด ตอนที่เขาต้องการจะพูดบางอย่างออกมา เขาก็คิดเรื่องอื่นขึ้นมาได้และความโกรธที่มีก็หายไปในทันตา เขาได้พูดขึ้น“ถึงอย่างไรท่านก็ช่วยข้าไว้ถึง 2 ครั้ง ข้าไม่คิดจะเอาผิดกับท่านในเรื่องนี้” เจี้ยนเฉินหมดหนทาง เขาได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง ยังไงซะ นางฟ้าเฮายู่ก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งพอที่เขาคิดจะพึ่งพาหลังจากที่ฟื้นฟูร่างกายได้
“แต่ท่านต้องอธิบายกับองค์หญิงทั้งสองคนให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย ท่านอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เจี้ยนเฉินพูดต่อ
นาฟง้าเฮายู่มองไปที่เจี้ยนเฉินและพยายามหุบยิ้ม นางแกล้งทำเป็นแปลกใจและถามขึ้นมา “ข้าอยู่เบื้องหลังเรื่องไหนกัน ? เจี้ยนเฉิน เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ? องค์หญิง เจ้าเห็นข้าโยนชายผู้นี้มาหรือเปล่า ? ”
“ระ เรา…”
คำถามของนางฟ้าเฮายู่นั้นทำให้องค์หญิงทั้งสองตะลึงไป พวกนางรู้สึกผิดและอยากร้องไห้ออกมา พวกนางไม่รู้เลยว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง
คนตรงหน้าพวกนางมีฐานะเทียบเท่ากับบรรพชน ฐานะของเฮายู่นั้นยิ่งใหญ่ซะจนเจ้าหญิงไม่อาจจะเทียบได้
แม้แต่จักรพรรดิก็ยากที่จะได้พบกับบรรพชนที่อยู่ขอบเขตตั้งต้น นี่ไม่ต้องนับพวกนางเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าการที่บรรพชนออกมาจากพื้นที่หวงห้ามเพื่อพบกับพี่สาวที่นางไม่ได้เจอมาหลายปี มิเช่นนั้นนางคงไม่ปรากฎตัวออกมาไปอีกหลายหมื่นปี
พวกนี้คือตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเสิ่นเตา องค์หญิงทั้งสองถึงต้องรู้สึกกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแบบนี้
องค์หญิงทั้งสองอดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองไปที่เจี้ยนเฉิน ชัดแล้วว่าสายตาพวกนางยังคงมีความหงุดหงิดอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้พวกนางตะลึงคือเจี้ยนเฉินทำตัวแตกต่างจากพวกนางอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเผชิญหน้าคนที่อยู่ขอบเขตตั้งต้น เจี้ยนเฉินกลับไม่ได้แสดงความเคารพออกมาแม้แต่น้อย เขายืนนิ่งพร้อมกับความหงุดหงิดที่เผยออกมาผ่านใบหน้า เขามองไปที่นางฟ้าเฮายู่ซึ่งแม้แต่บรรพชนของพวกนางก็ยังต้องสุภาพด้วย
องค์หญิงทั้งสองพากันสงสัยขึ้นมาว่าเจี้ยนเฉินเป็นคนยังไง
แต่ความหงุดหงิดที่มีก็เอาชนะความสงสัยได้ พวกนางกัดฟันแน่นพร้อมกับความเครียดแค้นที่แสดงออกมาผ่านสายตา
“พี่สาวเฮายู่ หยุดหยอกล้อเด็กน้อยได้แล้ว ดูสิว่าเจ้าทำให้พวกนางกลัวกันแค่ไหน” เทียนซวงกุมขมับและหมดคำพูด นางไม่อาจจะเห็นประโยชน์จากการกระทำของนางฟ้าเฮายู่ได้เลย
พวกนางต่างก็อยู่ขอบเขตตั้งต้น เด็กน้อยที่อ่อนแอตรงหน้าไม่ต่างอะไรจากมด พวกนางเบื่อจนต้องมาเล่นกับพวกนี้แล้วรึไง ?
ยิ่งกว่านั้น เฮายู่ ที่มักจะดูเย็นชาและเย่อหยิ่งกลับทำตัวขี้เล่นเช่นนี้ มันทำให้เทียนซวงยากจะยอมรับได้
“ซิงเอ๋อ หลานเอ๋อ พวกเจ้ากลับไปก่อน” จักรพรรดิพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เพคะ เสด็จพ่อ ! ”
องค์หญิงทั้งสองโค้งให้กับจักรพรรดิ, เทียนซวงและเฮายู่ น้ำตาของพวกนางไหลอาบแก้มตอนที่พวกนางมองมาที่เจี้ยนเฉิน พวกนางถึงกับกัดปากด้วยความไม่พอใจ
พวกนางเดาว่าเจี้ยนเฉินอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสจนแม้แต่บรรพชนเองก็ต้องสุภาพด้วย ด้วยการที่มีคนแข็งแกร่งเช่นนั้นคอยหนุนหลัง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะทวงคืนความยุติธรรมที่พวกนางควรได้รับ แม้แต่เสด็จพ่อของพวกนางก็ไม่อาจจะช่วยได้
นางฟ้าเฮายู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าองค์หญิงทั้งสองคนต้องกลับไปราวกับเป็นคนผิด นางได้พูดขึ้นมาว่า “อย่าทำเป็นว่าเสียหายอะไรมากนักเลย สาวน้อย หากเจ้าทั้งสองคนได้เป็นภรรยาของเขา แน่นอนว่าอาณาจักรนี้ต้องรุ่งเรืองในอนาคต ลูกหลานของพวกเจ้าทั้งสองจะได้รับประโยชน์ ข้าแค่ทำให้เกิดการเริ่มต้นที่ดี พวกเจ้าจะคว้าโอกาสนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของพวกเจ้าเอง”
“นางฟ้าเฮายู่ เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ? ” เจี้ยนเฉินมองไปที่นางฟ้าเฮายู่ด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด เขาไม่รู้เลยว่านางฟ้าเฮายู่ต้องการจะทำอะไร
“เจี้ยนเฉิน ข้าไม่ได้ปั่นหัวเจ้า สองคนนี้ไม่ได้ธรรมดาแบบที่เจ้าเห็น” เสียงของนางฟ้าเฮายู่ดังขึ้นมาในหัวของ เจี้ยนเฉิน
หลานเอ๋อและซิงเอ๋อรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเมื่อได้ยินแบบนั้น แม้แต่ตอนที่เดินห่างออกไปได้สักหน่อย พวกนางก็ยังคงอายอยู่ดี
ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ พวกนางคงไล่พวกนั้นไปแล้วหรือไม่อาจจะตัดลิ้นทิ้งด้วย
แต่พวกนางกลับไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นกับนางฟ้าเฮายู่ ผลก็คือพวกนางทำท่าเหมือนไม่ได้ยินและรีบออกจากที่นั่นไป
แต่จักรพรรดิและเทียนซวงที่เชื่อว่าพวกเขาเข้าใจนางฟ้าเฮายู่ดีนั้นได้มองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น
ทั้งสองคนไม่คิดจะเชื่อว่านางฟ้าเฮายู่จะโกหก ชัดเจนแล้วว่าเหนือเทพตรงหน้านี้ดูซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิดเนื่องจากเฮายู่ได้พูดแบบนี้ออกมา
“เขาคือเจี้ยนเฉิน” เฮายู่พูดออกมา
“เจี้ยนเฉิน ? ” เทียนซวงและจักรพรรดิแสดงสีหน้าสงสัยออกมา ทั้งสองพบว่าชื่อนี้มันฟังไม่คุ้นหู
แต่หมานเย่กลับตาเป็นประกายขึ้นมา เขามองไปที่เจี้ยนเฉินและเอ่ยว่า “เจ้าคือเจี้ยนเฉินที่มาจากภาคใต้งั้นหรือ ? ”
สำหรับคนที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นจักรพรรดิและเทียนซวงนั้น เป็นธรรมดาที่ย่อมจะไม่รู้จักชื่อของเจี้ยนเฉิน แต่หมานเย่คุ้นกับมันดี
นี่เพราะเขาเคยอิจฉาเจ้าของชื่อนี้ เจี้ยนเฉินไม่เคยมีชื่อในป้ายทำเนียบขั้นเหนือเทพแต่ชื่อเสียงของเขาก็แผ่ไปทั่วทั้งภาคใต้และมาถึงภาคเหนือ เจี้ยนเฉินนั้นโด่งดังยิ่งกว่าหมานเย่ที่มีข่าวลือบอกว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะมีชื่อในป้ายทำเนียบได้
“เจี้ยนเฉินแห่งภาคใต้หรือ ? ” เจี้ยนเฉินเริ่มสงสัยขึ้นมาเมื่อได้ยินแบบนั้น ทำไมต้องมีคำว่าภาคใต้ด้วย ? เขาไม่ได้อยู่ภาคใต้แล้วไม่ใช่หรือ ?
แต่ชัดแล้วว่ามันไม่ใช่เวลามาคิดในคำถามนี้ เขาป้องมือและพูดขึ้น “ข้าคือเจี้ยนเฉินจริง ๆ ข้าแค่สงสัยว่าข้าใช่เจี้ยนเฉินที่พี่หมานเย่พูดถึงหรือไม่ ยังไงซะก็มีหลายคนที่ใช้ชื่อและแซ่เดียวกันกับข้าในโลก”
“ เป็นเจ้านี่เอง เจ้าคือคนในข่าวลือ” หมานเย่มองไปที่เจี้ยนเฉิน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแผ่เจตจำนงในการต่อสู้ออกมา เขาก้าวออกมาข้างหน้าและมองมาที่เจี้ยนเฉิน “เจี้ยนเฉิน ข้าต้องการท้าทายเจ้า “
“อย่าไร้มารยาท ! ” เทียนซวงพูดด้วยท่าทีเฉยเมย นางสนใจแค่เรื่องเดียวในตอนนี้ซึ่งคือภูมิหลังที่เจี้ยนเฉินมีจนถึงทำให้พี่สาวเฮายู่ชมเขาออกมาขนาดนี้
พลังของหมานเย่สลายไปในทันทีและเขาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างสุภาพ “ขอรับ อาจารย์ ! ”
นางฟ้าเฮายู่มองไปที่เมืองและบอกกับเจี้ยนเฉินว่า “โสเภณีตัวน้อยยังคงอยู่ที่นั่น เจี้ยนเฉินมากับข้า ได้เวลาไปจัดการกับนางแล้ว” เมื่อพูดจบ เฮายู่ก็ได้บินออกไปทันที นางไม่ได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแต่อย่างใด
ด้านหลังนางนั้น เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนจะตามไปด้วย เขาได้ไปถึงสวนลอยฟ้ากับนางฟ้าเฮายู่ แค่กวาดสายตามอง เขาก็เห็นหย่าซีเหลียนที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ
ในเวลาเดียวกันเขาก็เห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันด้านล่าง
เมื่อเห็นแบบนั้นก็ทำให้เจี้ยนเฉินตะลึง นางฟ้าเฮายู่กลับทิ้งแม่ทัพกองทัพที่เจ็ดของลัทธิปีศาจชั้นฟ้าอย่างหย่าซีเหลียนเอาไว้ในสภาพเปลือยกายเช่นนี้ต่อหน้าคนนับไม่ถ้วนให้ผู้ชายมองจาบจ้วงได้ตามใจชอบ
เขาไม่กล้าคิดเลยว่าแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่จะเป็นยังไงหากข่าวนี้ไปถึงลัทธิปีศาจชั้นฟ้า ไม่รู้ว่ามันจะเกิดสงครามขึ้นหรือไม่