ตอนที่ 102 ล้วนคือของจริง
หลงเฉินจดจ่ออยู่กับการฝึกวรยุทธบ่มเพาะภายในอาราม ในขณะที่โลกภายนอกก็เริ่มกลับสู่ความสงบในที่สุด..
ผ่านไปหนึ่งวัน ในที่สุดพิธีกรรมฝังศพก็สิ้นสุด หัวเผ่าต่างๆพากันเดินทางกลับพร้อมทหารของตน เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บ เผ่าแบนชีจึงได้จัดเตรียมหารถม้าที่หรูหราให้พวกเขาได้ใช้เดินทางกลับอย่างสะดวกสบายที่สุด เผ่าแบนชียังส่งทหารของตนไปรับเด็ก และคนชราของตนกลับมาจากเผ่าเอลเฟียด้วย
แม้ราชินีเมี่ยจะรู้ว่าหลงเฉินเข้าไปในอาราม นางก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และปล่อยให้หลงเฉินได้อยู่ภายในนั้นทำสิ่งที่ตนต้องการได้อย่างอิสระ จาการที่หลงเฉินสามารถสังหารจักรพรรดิอสูรกายได้อย่างง่ายดายนั้น ในความรู้สึกของนาง.. เขาจึงเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่มีตัวตนอยู่จริงบนโลกใบนี้
…….
ภายในเมืองของเผ่าอสูรกาย จักรพรรดิบาลังได้รับทราบผลการรบ และรู้ว่ากองทัพอสูรกายได้ถูกบดขยี้จนพ่ายแพ้ หลังจากที่นึกเสียใจที่มิอาจห้ามปรามจักรพรรดิทารัสและจักรพรรดิเชนเทียได้สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในวันข้างหน้าอีก
เขาได้ออกกฏข้อบังคับห้ามมิให้เหล่าอสูรกายออกนอกบริเวณป่าอสูรกาย หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนเผ่าอื่นๆโดยเด็ดขาด เหล่าอสูรกายจักต้องอาศัยอยู่ในดินแดนของตนอย่างสันติสุขไปชั่วนิรันดร์เท่านั้น หากผู้ใดมิเชื่อฟังคำสั่งจักต้องถูกอสูรกายตนอื่นๆสังหารตายอย่างทารุณ
จักรพรรดิบาลังตัดสินใจที่จะบันทึกโศกนาฏในครั้งนี้ไว้ เพื่อตักเตือนอสูรกายรุ่นหลังว่า การตัดสินใจที่โง่เขลาเช่นนี้ จักนำพาให้เผ่าอสูรกายต้องเผชิญกับหายนะ และบังคับให้อสูรกายทุกตนต้องอ่านบันทึกเล่มนี้
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จักรพรรดิบาลังก็ได้เดินไปที่ป่าอสูรกาย เพื่อรอคอยหายนะที่กำลังจักมาถึง..
…….
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน..
ภายในเผ่าเอลเฟีย เริ่มมีพิธีกรรมฝังศพของรองหัวหน้าเผ่าเกิดขึ้น..
เซี่ยที่ได้เห็นร่างไร้วิญญาณของบิดา น้ำตาก็ได้เอ่อล้นจากดวงตาออกมาเป็นสาย..
ทันทีที่ได้ยินว่ากองทัพของเหล่าทหารเอลเฟียกำลังเดินทางกลับ เซี่ยรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก และเฝ้ารอการกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ สายตาที่จ้องมองสอดส่องหาบิดาของตน แต่แล้วโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเท็นช่าเรียกนางไปที่รถม้า และได้พบกับร่างไว้วิญญาณของบิดานอนอยู่ด้านใน เซี่ยแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ไม่นานนักพิธีกรรมฝังศพก็เสร็จสิ้น ผ่านไปหลายชั่วยามน้ำตาของเซี่ยก็ยังคงไหลไม่หยุด หัวหน้าเผ่าเท็นช่าเดินตรงเข้าไปหาเซี่ยจากด้านหลัง พร้อมกับวางมือไว้บนศรีษะของนาง
“เซี่ย.. ข้าเสียใจด้วย! บิดาของเจ้าจักตายเพราะพยายามปกป้องข้า ฉะนั้นข้าจึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย อภัยให้ข้าด้วย!” เท็นช่าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ท่านอาเท็นช่า เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเท่าน เวลานั้นท่านเองก็กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเผ่าเราอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน และท่านพ่อของข้าก็กำลังทำเช่นนั้นด้วย เขาทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ข้าไม่นึกตำหนิท่านเลยแม้แต่น้อย..” เซี่ยกล่าวตอบเสียงแหบแห้ง
“ข้าอยากให้เจ้าย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์ของข้า ข้าจักเป็นผู้ดูแลเจ้าเองนับจากนี้ แม้พ่อของเจ้าจักมิสามารถกล่าวจนจบประโยคได้ แต่ข้าก็รู้ดีว่าเขาต้องการให้ข้าดูแลเจ้าแทนเขา และข้าเองก็ต้องการทำความปรารถนาของเขาให้เป็นจริง..”
เท็นช่าจ้องมองไปยังหลุมฝังศพของซูพร้อมกับเอ่ยบอกเซี่ย..
“มิเป็นไรท่านอาเท็นช่า ข้าต้องการที่จะอยู่บ้านของตนเองมากกว่า..” เซี่ยเอ่ยตอบ
“ได้.. ข้าจักตามใจเจ้า แต่หากเจ้าต้องการสิ่งใดต้องรีบบอกให้ข้ารู้ทันที เวลานี้ข้าเองก็เหลือบุตรอยู่เพียงสองคนเท่านั้น เจ้าเองเองก็เสมือนหนึ่งในครอบครัวของข้าด้วยเช่นกัน” เท็นช่าเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วจึงหันหลังเดินจากไปเพื่อให้เซี่ยมีโอกาสได้อยู่ตามลำพัง
เทอร่ายังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น และมิรู้ว่าควรกล่าวอันใดออกมาดี เขาต้องการที่จะเดินเข้าไปปลอบโยนเซี่ย แต่ก็มิรู้ว่าควรทำเช่นใด เขามิต้องการรบกวนนางเพราะรู้ว่านางคงต้องการเวลาอยู่เงียบๆ แต่ก็มิต้องการทิ้งนางไว้ตามลำพังเช่นกัน เทอร่าจึงยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
หลังจากที่พิธีฝังศพเสร็จสิ้นแล้ว และทุกคนก็ได้บอกกล่าวถึงความซาบซึ้งใจที่ตนเองมีต่อรองหัวหน้าซูแล้ว พวกเขาจึงพากันแยกย้าย และเดินกลับออกไป
…….
ย้อนกลับไปภายในอารามของเผ่าแบนชี หลังจากฝึกวรยุทธบ่มเพาะผ่านไปสองวัน ในที่สุดหลงเฉินก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อาณาจักรแก่นปราณทองคำขั้นที่แปดชั้นยอด!! ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หากข้าสามารถอยู่ที่นี่ต่อ คงสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะได้ก้าวหน้ากว่านี้มากเป็นแน่” หลงเฉินพึมพำออกมายิ้มๆ
“เชอะ.. เจ้าฝันไปเถิด!” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากบริเวณใกล้เคียง
“ทำไม? หรือเจ้าไม่เชื่อว่าข้าจักสามารถทำได้งั้นรึ?” หลงเฉินถามขึ้นด้วยความงุนงงสงสัย
“เจ้าย่อมสามารถทำได้หากสามารถรักษาความเร็วในระดับเดิม เจ้าลืมเรื่องระยะเวลาในโลกนี้ไปแล้วรึ? แต่ต่อให้มิมีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าก็มิสามารถก้าวหน้าไปได้ไกลกว่าอาณาจาจักรแก่นปราณทองคำขั้นแปดชั้นยอดได้.. นั้นคืออาณาจักรสูงสุดเท่าที่เจ้าจักสามารถทำได้สำเร็จในโลกใบนี้แล้ว..” ซุนอธิบาย
“เพราะเหตุใดรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้น
“โลกใบนี้มีพลังชี่มิเพียงพอ.. แม้เจ้าจักสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะได้ก้าวหน้ารวดเร็วในโลกใบนี้ แต่ความเร็วในการฝึกฝนก็ทำให้พลังชี่ในโลกนี้ลดลงไปอย่างมากเช่นกัน สถานที่แห่งนี้มิได้เป็นเหมือนกับโลกบ่มเพาะของเจ้า ซึ่งมีพลังชี่อยู่เป็นจำนวนมากในทุกๆวัน” ซุนเอ่ยตอบ
“โลกนี้มิใช่โลกจำลองที่สร้างขึ้นเพื่อการทดสอบหรอกรึ? เหตุใดจึงมิมีพลังชี่อย่างไม่มีจำกัดเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง
“ผู้ใดบอกกับเจ้าว่าที่นี่คือโลกจำลอง?” ซุนเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เอ่อ.. ก็เจ้ายังไงล่ะ? เมื่อครั้งที่เจ้าพูดถึงลูกแก้ว เจ้าก็เรียกมันว่าลูกแก้วจำลอง..” หลงเฉินยกตัวอย่างให้ซุนฟัง
“เอิ่ม… ข้าจำมิได้ว่าข้ากล่าวอันใดไปบ้าง แต่ข้ามั่นใจว่าตนเองพูดถึงลูกแก้ว หาใช่โลกใบนี้ไม่!” นางกระแอมเบาๆพร้อมกับเอ่ยตอบ
“อะแฮ่ม … ฉันจำไม่ได้ว่าฉันพูดอะไร แต่ฉันกำลังพูดถึงลูกกลมไม่ใช่โลกนี้!” เธอไอหนึ่งครั้งขณะที่เธอตอบ
“เช่นนั้นแล้วที่นี่ก็คือโลกจริงๆงั้นรึ? แล้วอสูรกายที่ข้าสังหารเล่า…?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองซุน
“พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นของจริงเช่นกัน!” ซุนตอบยิ้มๆ และนั่นทำให้หลงเฉินตกใจอย่างที่สุด
“เหตุใดเจ้าจึงมิบอกข้าก่อนเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามทันที
“เจ้าเองก็มิเคยเอ่ยถามเรื่องนี้กับข้ามาก่อนเช่นกัน..” ซุนตอบ
“แต่ประเดี๋ยวก่อนซุน.. ในเมื่อร่างจริงของข้าอยู่ที่บ้าน แล้วเหตุใดวิญญาณของข้าจึงสามารถสื่อสารกับผู้คนในโลกจริงนี้ได้?” หลงเฉินยิ่งรู้สึกงุนงงสงสัยเข้าไปใหญ่