ตอนที่ 111 เกิดอะไรขึ้นเมื่อสามปีก่อน?
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ หลงเฉินก็ได้เดินกลับไปที่ห้องของตนเองพร้อมกับท่านแม่ของเขา โดยมีขวกับเม่ยเดินตามหลังมา
“ท่านแม่ ท่านกลับเข้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าตลอดสองสามปีมานี้ ท่านมิเคยได้นอนหลับเต็มอิ่มเลยสักคืนมิใช่รึ?” หลงเฉินเอ่ยกับซื้อหม่าจวอี้เมื่อเดินมาถึงห้องของนาง
“ข้ามต้องการพักผ่อน ลูกชายสุดที่รักของข้าตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไหลไปอย่างยาวนานเช่นนี้ ข้าย่อมต้องการใช้เวลาอยู่กับเจ้าให้นานกว่านี้ต่างหาก” ซื้อหม่าจวี้อี๋เอ่ยตอบ พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามนั้น
“ไม่ได้ท่านแม่! ท่านจําเป็นต้องพักผ่อน ข้ามหายไปไหนอีกแล้ว ข้าจะคอยทํานอยู่ในห้องทันทีที่ท่านตื่นขึ้นมาก็ไปหาข้าได้ทุกเมื่อ!” หลงเฉินคะยั้นคะยอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แต่ข้า…” ซือหม่าจวี้อี๋ต้องการจะเอ่ยคัดค้าน แต่หลงเฉินก็ร้องขัดขึ้นทันที
“ไม่มีแต่ท่านแม่! ท่านต้องไปพักผ่อนตอนนี้! พวกเราสองคนยังมีเวลาที่จะอยู่ด้วยกัน อีกนานนัก ยังมีเวลาที่จะสนทนากันอีกมาก” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“ก็ได้ๆๆ” นางได้แต่รับปากก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนเอง
“ซวี่… เม่ย… ”
แต่แล้วซื้อหม่าจวี้อี๋ก็หันกลับไปเรียกซวี่และเม่ยให้เข้าไปใกล้ๆ
“ฮูหยิน”
สาวใช้ทั้งสองที่เดินตามมาห่างๆ เอ่ยตอบ และรีบเดินตรงเข้าไปหาซือหม่าจวี้อี๋ทันที
“หลงเทียนจักต้องสอบถามพวกเจ้าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนเป็นแน่ อย่าได้ บอกกล่าวเรื่องของนางที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนให้เขารู้ละ” ซื้อหม่าจวี้อี๋กระซิบกับสาวใช้ทั้งสองเสียงเบา
“ หมายถึงเรื่องของแม่นางหลิงหรือฮูหยิน?” ซวี่เอ่ยถามเสียงเบาเช่นกัน
“ถูกต้อง!! ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าว่าห้ามพูดถึงเรื่องนี้ให้เขาได้ยิน! หลงเทียนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนาง และจะเป็นการดีกว่าหากเขาจะใช้ชีวิตอยู่โดยมิรู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น?”
ซือหม่าจวี้อี๋กระซิบเสียงเบา พร้อมกับเหลือบมองไปทางหลงเฉินที่ยืนห่างออกไป และ กําลังเหม่อมองทัศนียภาพตรงหน้า
“น้อมรับคําสั่งฮูหยิน” ทั้งยวและเมียต่างก็ย่อตัวลงขณะรับคําสั่งของซือหม่าจวี้อี๋
“เอาล่ะ…พวกเจ้าไปได้แล้ว อย่าสิ้มดูแลลูกชายของข้าให้ติด้วยละ!”
ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยจบก็เอื้อมมือไปปิดประตู จากนั้นขวและเม่ยก็เดินตรงเข้าไปหาหลงเฉิน
“ท่านแม่กล่าวอันใดกับพวกเจ้างั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ… ก็แค่สั่งงานเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” ซวี่เอ่ยตอบตะกุกตะกัก
“งั้นรึ?! ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันได้แล้ว” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับเดินนําหน้าหญิงสาวทั้งสองคนไปที่ห้อง
‘หลิงที่พูดถึงคือผู้ใดกัน?! และเมื่อสามปีก่อนเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?! ข้าจําได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน’ หลิงเฉินได้แต่นึกสงสัยอยู่เงียบๆ ในขณะที่เดินกลับไปที่ห้องของตน
แม้ว่าซือหม่าจวี้อี๋กับสาวใช้จะอยู่ห่างจากเขามาก แต่หลงเฉินก็สามารถได้ยินคําพูดที่ทั้งสามกระซิบกระซาบกันอย่างชัดเจน หลงเฉินสังเกตเห็นว่าประสาทสัมผัสของตน ดูเหมือนจะ ดีกว่าก่อนที่จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธจะถือกําเนิด เวลานี้เขาสามารถได้ยินในสิ่งที่ก่อนหน้านั้นตนเองไม่สามารถได้ยิน เขาเองก็นึกประหลาดใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
หลงเฉินได้ยินทั้งสามคนพูดถึงหลิง ทําให้ตลอดทางที่เดินไปนั้น เขาอดที่จะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ไม่ได้
ในที่สุดหลงเฉินก็เดินมาถึงห้องนอนของตนเอง โดยมีขวีกับเมียตามาติดๆ
หลงเฉินเข้าไปในห้องและได้นั่งลงบนเก้าอี้ เขาสั่งให้ยกับเมียนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม และหญิงสาวทั้งสองทําตามคําสั่งของหลงเฉินทันที
“เอาล่ะ…พวกเจ้าสองคนเล่าเรื่องสําคัญๆ ที่ข้ามิได้รับรู้ตลอดสามปีให้ข้าฟังเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ข้าหลับใหลไป” หลงเฉินจ้องมองสาวใช้ทั้งสองพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ
“ตลอดระยะเวลาสามปี มีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย ข้าจักเริ่มเล่าจากเรื่องราวภายในตระกูลหลงให้ท่านฟังก่อน”
“บุตรชายคนโตของอาวุโสสูงสุดได้หายตัวไป นับจากวันที่เขาออกเดินทางไปที่ป่าเหนือทมิห้จนถึงวันนี้ ก็นับเป็นเวลาสามปีแล้ว อาวุโสสูงสุดถึงกับเดินทางไปค้นหาที่ป่าเหนือทมิฬตัวยตนเอง และสํารวจบริเวณโดยรอบ แต่กลับมีพบเห็นหลงซูหรือร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย มีผู้คนพบเห็นเขาเข้าไปในป่าแห่งนั้น แต่มมีผู้ใดพบเห็นเขาออกมาเลยแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งคนขับรถม้าก็บอกว่าหลงซูยังมิได้กลับออกมา” ซวี่เล่าเรื่องของหลงซูให้กับหลงเฉินฟัง พร้อมกับจ้องมองเขาแน่นิ่ง
“ข่าวคราวเรื่องที่นายน้อยปวยหนักและนอนหลับไปอย่างเป็นปริศนานี้ ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเมือง ตระกูลหลงได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงทุกคนมาทําการรักษาท่าน แต่ก็มีมีผู้ใดทําได้สําเร็จ แม้จะประกาศว่าผู้ที่สามารถทําให้ท่านตื่นฟื้นขึ้นมาได้ จะได้รางวัลอย่างงดงาม แต่ก็ มิมีผู้ใดสามารถรักษาท่านได้แม้แต่คนเดียว” ซวี่ยังคงเล่าต่อ
“เมื่อปีที่แล้ว นายน้อยหลงเจิ้งบุตรชายของท่านลุงใหญ่ ที่เพิ่งจะเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นที่ห้าได้สําเร็จ และหลังจากผ่านด่านทดสอบในโถงสมบัติ ก็ได้รับยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณ ลุงใหญ่ของท่านต้องการให้ตระกูลหลงประกาศว่า เขาคือผู้ฝึกยุทธอายุน้อยที่สุดที่สามารถเข้าสู่ในอาณาจักรนี้ได้ แต่ท่านประมุขมเห็นด้วย แต่ก็มิได้บอกเหตุผล” ซวี่ยังคงเป็นผู้ เล่าให้หลงเฉินฟังต่อ
“แล้วก็เมื่อสองสามเดือนก่อน องค์ชายสามได้ส่งคนมาทาบทามสู่ขอบุตรสาวของอาวุโสใหญ่ หลงมู่ คุณหนูหลงเสวียอิ๋งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน แต่นางกลับปฏิเสธถึงอย่างนั้นองค์ชายสามก็ยังคงส่งของกํานัลมาให้นางอยู่เสมอๆ เพื่อหวังเอาชนะใจนาง แต่คุณหนูเสียยิ่งก็ส่งของกํานันทั้งหมดกลับคืนไปทุกครั้ง โดยมิเคยเปิดออกดูด้วยซ้ํา” ซวี่จ้องหน้าหลงเฉินในขณะที่เล่าเรื่องนี้
“อ่อ.. องค์ชายสามพอใจในตัวนางหรอก? น่าสนใจ… นับว่าสายตาไม่เลวที่เดียว…” หลงเฉินพึมพําออกมา ในขณะเดียวกันก็กําลังนึกถึงครั้งแรกที่เขากับหลงเสวียอิ๋งพบกัน และนั่นคือจุมพิตแรกของเขา
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าซวี่นิ่งเงียบไป
“เรื่องสําคัญๆของตระกูลหลงก็มีเพียงเท่านี้ เรื่องอื่นเล็กๆน้อยก็คงจะเป็นเรื่องที่ลูกพี่ ลูกน้องของท่านสองสามคน สามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นสิ่ได้ แต่เรื่องพวกนี้หาได้สําคัญไม่” ซวี่เอ่ยตอบหลงเฉินทันที
“ข้าจะเล่าเรื่องสําคัญๆ ที่เกิดขึ้นภายในเมืองมังกรให้ท่านฟัง!” เม่ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เชิญเจ้าเล่ามาได้เลย ” หลงเฉินเอ่ยขึ้น
“เมื่อสามปีที่ผ่านมา ภายในราชวงศ์มีการเปลี่ยนแปลงสําคัญเกิดขึ้นหลายเรื่อง และล้วนแล้ว แต่ทําให้ทั่วทั้งจักรวรรดิถึงกับสั่นสะเทือนเลยทีเดียว!” เม่ยเล่าพร้อมกับทําสีหน้าครุ่นคิด
“อย่างเช่นเรื่องอะไรบ้าง?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอยากรู้เต็มที่
“องค์รัชทายาทตัดสินใจสละตําแหน่งที่จะได้ขึ้นครองราชย์ โดยมิให้เหตุผลใดๆ ทําให้เกิดแรง สั่นสะเทือน และปฏิกิริยาไปทั่วทั้งเหล่าเชื้อพระวงศ์?” ซวี่เอ่ยตอบแทน
“พี่ซวี่…นี่เป็นคราของข้าที่ต้องเล่าให้นายน้อยฟัง!! ” เม่ยร้องโวยวายขึ้นมาทันที
“เอาล่ะๆๆ งั้นเจ้าก็เล่า…” ซวี่ยิ้มกว้างและรีบบอกกับเมียทันที
เม่ยยิ้มออกมา แต่เมื่อหันไปทางหลงเฉิน ก็พบว่าเขากําลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เหตุใดองค์รัชทายาทจึงได้ตัดสินใจเช่นนั้นนะ?! ดูเหมือนภายในราชวงศ์คงจะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นเป็นแน่!” หลงเฉินพิมพ์ออกมา
“เอาล่ะ…เจ้าเล่าต่อได้แล้ว!” หลงเฉินหันไปมองเม่ยพร้อมกับเอ่ยบอก