ตอนที่ 113 หมั้นหมาย
“เรื่องนั้นมสําคัญ! เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างละเอียดเดี๋ยวนี้!” หลงเฉินจ้องมองสาวใช้ทั้งสองพร้อมกับสั่งด้วยน้ําเสียงดุดัน
“ พวกเรา…พวกข้ามีกล้าเล่าให้นายน้อยฟัง!! พวกข้ารับปากฮูหยินแล้วว่าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ให้ท่านได้รู้โดยเด็ดขาด อภัยให้พวกข้าด้วย..” ซวี่เป็นฝ่ายตอบด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากังวลใจยิ่ง
“เจ้าก็ด้วยงั้นรึ?” หลงเฉินเหลือบมองไปทางเม่ยพร้อมกับเอ่ยถาม
“ข้า…ข้าเองก็รับปากฮูหยินไว้เช่นกัน แต่ทุกคนทําเพราะความหวังดีต่อท่านนะนายน้อย! เรื่องนี้ข้าว่าท่านไม่รู้จะดีกว่า” เม่ยก้มหน้ามกล้าสบตาพร้อมกับเอ่ยตอบ
“ พวกเจ้าสองคนกล้าขัดคําสั่งของข้างั้นรี?”
หลงเฉินลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับจ้องมองสาวใช้ทั้งสองคน ก่อนจะค่อยๆ ย่างก้าวเข้า ไปใกล้พวกนางและยืนอยู่ในระยะกระชั้นชิด
“พวกเจ้านั่งลง!”
หลงเฉินร้องตะโกนสั่งเมื่อเห็นซวและเมียทําท่าจะลุกขึ้น พวกนางจึงต้องนั่งลงอีกครั้งตามคํา
จากนั้น…หลงเฉินก็ค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“พวกเจ้าสองคนจะปกปิดเรื่องนี้มียอมบอกกับข้าจริงๆงั้นรึ?!”
ระหว่างที่เอ่ยถามนั้น หลงเฉินก็ค่อยๆโน้มใบหน้าของตนเข้าไปใกล้กับใบหน้าของเม่ ยมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้า…” เม่ยอึกอักและกําลังคิดว่าตนเองควรทําเช่นใดที่
“พวกเจ้าสองคนคิดว่าข้าอ่อนแอจนมิอาจสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้เชียวรึ?”
หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับเหลือบมองไปทางซวี่แทน จากนั้นหลงเฉินก็เดินเข้าไปยังห้องนอนของตนเอง
“เอาล่ะ. หากพวกเจ้าทั้งสองคนมียอมบอกเรื่องนี้กับข้า พวกเจ้าก็ออกไปจากห้องของข้าได้แล้ว”
หลงเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงที่ผิดหวังยิ่ง เขาก้าวเท้าเดินไปยังห้องนอนของตน โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไปมองสาวใช้ทั้งสอง
“นายน้อย.. ประเดี๋ยวก่อน!! ข้า…ข้ายอมบอกท่านแล้ว!” เม่ยเป็นฝ่ายร้องตะโกนห้ามหลงเฉิน
“พี่ซวี่…” นางหันไปทางซวี่พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่
หลงเฉินหันกลับมา และเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง พร้อมกับร้องสั่ง
“เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังได้!”
“เมื่อสามปีก่อนนั้น มีหญิงสาวสองคนขี่สัตว์อสูรวิญญาณบินมาที่นี่ คนหนึ่งอยู่ในวัยสิบหกปี ส่วนอีกคนดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าเล็กน้อย และมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า หลังจากที่เหล่าอาวุโสออกมาต้อนรับพวกนางหญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่าผู้มีนามว่าหลิงนั้น ก็ได้เอ่ยปากขอพบท่านประมุขและฮูหยิน”
เม่ยเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหลงเฉินฟัง…
“หลังจากที่ท่านประมุขและฮูหยินออกไปพบนาง ครั้งนั้นพี่ซวี่อยู่ภายในห้องคอยดูแลท่าน ส่วนข้าก็ติดตามฮูหยินออกไป จึงได้รู้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น” เม่ยกระซิบเสียงเบา
“หญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่านั้น แท้จริงก็คือคู่หมั้นคู่หมายของท่าน นางมาที่นี่เพื่อยกเลิกการหมั้นหมาย!” เม่ยเล่าเรื่องในวันนั้นให้ฟัง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหลงเฉินเป็นครั้งคราว
“อะไรนะ?! ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หลงเฉินร้องอุทานออกมาพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด!
“ข้าเองก็มิได้ล่วงรู้รายละเอียดแต่อย่างใด แต่หลังจากที่นางยืนกรานเช่นนั้น ท่านประมุขและฮูหยินจึงต้องทําการยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างท่านกับนาง จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ชีสัตว์อสูรบวิญญาณบินกลับไป” เม่ยอธิบายให้หลงเฉินฟัง และพยายามที่จะจับสังเกตสีหน้าของเขา
“เท่านั้นเอง?! นี่คือเรื่องราวทั้งหมดงั้นรึ?!”
“ในเมื่อข้าเองก็มิเคยรู้จักกับนางมาก่อน เหตุใดข้าจึงต้องใส่ใจกับเรื่องที่นางขอยกเลิกการหมั้นหมายด้วยเล่า? และต่อให้นางมิมาขอยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้ ข้าก็จะเป็นฝ่ายไปขอยกเลิกการหมั้นหมายนั้นด้วยตัวเอง! ชีวิตของข้า ข้ามต้องการให้ผู้อื่นมาบงการ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเรื่องของความรัก!” หลงเฉินพึมพําออกมาด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
“ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องเป็นกังวลจนมียอมบอกกล่าวให้ข้ารู้ เรื่องนี้หาใช่เรื่องสําคัญกับข้าไม่!” หลงเฉินจ้องมองซวี่กับเม่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอาล่ะ…ข้าจะเริ่มฝึกวรยุทธแล้ว พวกเจ้าสองคนมีสิ่งใดก็ไปทําได้!” หลงเฉินร้องสั่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
“นายน้อยช่างโตเป็นผู้ใหญ่และมีความเป็นลูกผู้ชายยิ่งนัก!” เม่ยพึมพําออกมาเสียงเบา ในระหว่างที่จ้องมองหลงเฉินซึ่งกําลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอน
“เม่ย…สายตาของเจ้าที่จ้องมองไปยังประตูห้องนอนของนายน้อยนั้น ดูประหนึ่งว่าเจ้าอยากจะเปิดประตูเข้าไป และโผเข้าหาอ้อมกอดของนายน้อยมากเลยทีเดียว!” ซวี่จ้องมองเมียพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ที่เจ้าดูออกก็คงเพราะเมื่อครั้งที่เข้าพบนายน้อยเดินออกจากห้องครั้งนั้น เจ้าเองก็รู้สึกเช่น เดียวกับข้าสินะ? ข้าขอกอดนายน้อยต่ออีกสักหน่อยจะได้หรือไม่? ข้ายังจําได้ดีว่าเจ้ากล่าววาจาเช่นใดออกไปบ้าง”
เม่ยล้อเลียนซวี่พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง และซวี่ก็ถึงกับหน้าแดงก่ําเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองได้แสดงกิริยาเช่นใดออกมไป
“แต่จะว่าไป…พี่ซวี่ ข้ายอมรับว่าข้าชื่นชอบนายน้อยยิ่งนัก ข้าอยากจะเป็นคนรักของนายน้อยยิ่ง แต่คงมิอาจสมหวังเป็นแน่ โลกของพวกเรากับโลกของนายน้อยล้วนต่างกันราวฟ้าดิน…” เม่ยพึมพําออกมาด้วยน้ําเสียงเศร้าสร้อย
“ข้าเองก็เช่นกัน…ความจริงข้ามิคิดว่าจะมีสาวใดที่ไม่คิดเหมือนกับพวกเราสองคน หากได้ พบเจอบุรุษเช่นนายน้อย!” ซวี่จ้องมองน้องสาวพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ
หลงเฉินนั่งอยู่บนเตียง และมิได้ใส่ใจกับหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านนอกอีก…
หลงเฉินหยิบไข่ออกมาจากแหวนบรรจุ และเริ่มทําการสํารวจดูความเปลี่ยนแปลงของมันอีกครั้ง หลังจากที่ได้กลับมายังโลกจริงนี้ครั้งแรก เขาสังเกตเห็นว่าลวดลายบนไข่นั้นเริ่มเด่นชัดยิ่งขึ้น และสีทองก็ดูเหมือนจะสุกสว่างโดดเด่นมากขึ้นด้วย
หลงเฉินเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปสัมผัสที่ไข่ และเริ่มถ่ายเทพลังป้อนให้กับมัน เขาสัมผัส ได้ถึงความหิวโหยของมันที่เพิ่มขึ้นมากกว่าครั้งก่อนๆ และดูดซับพลังชี้เข้าไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งยังใช้เวลาในการดูดซับนานขึ้นจากครั้งก่อนๆด้วย
“ดูดซับเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการเลยนะเจ้าหนู!!” หลงเฉินพิมพ์ออกมาในขณะที่ป้อนพลังให้กับมัน
หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ไข่ใบนั้นก็หยุดดูดซับพลังชีเข้าไป และกลับสู่ความ เป็นปกติ
“ครั้งนี้มันดูยาวขึ้นกว่าเดิม และดูเหมือนกําลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ข้ารู้สึกว่าอีกไม่ช้ามัน คงจะต้องฟักออกมาเป็นแน่ เจ้าควรจักต้องหาหนทางสร้างพันธะสัญญากับมันให้ได้โดยเร็วที่สุด แม้มันอาจจะเข้าใจว่าผู้ที่เลี้ยงดูมันคือครอบครัวของมันก็ตาม แต่จะดีกว่าหากเจ้าจะป้องกันไว้ก่อนด้วยการสร้างพันธะสัญญากับมัน เพื่อที่มันจะไม่ฉวยโอกาสทรยศเจ้าหากมีโอกาส
ขุนปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับกําชับหลงเฉินด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้ฝึกอสูรจักต้องสร้างพันธะสัญญากับเหล่าอสูร เพื่อให้พวกมันจงรักภักดีแต่ก็มิรู้ว่าจักต้องทําเช่นใด?” หลงเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบมองไปทางซุน
“เอิ่ม…สําหรับเรื่องนี้เจ้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากใครบางคน ใครบางคนที่เฉลียวฉลาด ใครบางคนที่มีความรู้มากกว่า และมีประสบการณ์มากกว่า”
ซุนยืนกอดหน้าอกพร้อมกับเอ่ยแนะนําด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“เอ่อ.. ใครบางคนที่เฉลียวฉลาด ทําให้ข้านึกถึงท่านแม่ ส่วนใครบางคนที่มีความรู้และประสบการณ์ ทําให้ข้านึกถึงท่านปู่ พวกเขาทั้งสองคนต้องรู้เป็นแน่” หลงเฉินพิมพ์ออกมาพร้อมกับทําสีหน้าครุ่นคิด
“มิมีผู้ใดที่จะรู้วิธีสร้างพันธะสัญญากับเหล่าอสูรได้ดีไปกว่าผู้ฝึกอสูร… พวกเขาย่อมต้องมีหนทาง! เจ้าลองใคร่ครวญให้ดีว่า เจ้ารู้จักผู้ใดที่เฉลียวฉลาดมากพอที่จะขอความช่วยเหลือได้ หรือไม่ก็คนใกล้ตัวเจ้า!!” ขุนเอ่ยถามยิ้มๆอีกครั้ง
“เอิ่ม…ข้ามิคิดว่าจักเคยพบเห็นผู้ใดที่เฉลียวฉลาดอย่างที่เจ้าบอก!”
หลงเฉินจ้องมองซุนอย่างพินิจพิจารณา แต่แล้วก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพึมพําออกไป ซุนเองก็ได้แต่จ้องมองหลงเฉินนิ่งเงียบ