ตอนที่ 116 เรื่องของหลิง
หลงเฉินกําลังนั่งฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ภายในห้อง ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“นายน้อย! อาหารเย็นเตรียมเสร็จแล้ว ฮูหยินกําลังรอท่านไปทานอาหารด้วย”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้น และหลงเฉินก็จําได้ว่าเป็นเสียงของเม่ย เขาจึงได้หยุดฝึกวรยุทธ และลุกขึ้นยืน
“นี่ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วรึ? ทุกครั้งที่ข้าฝึกวรยุทธ เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เวลานี้ข้าสัมผัสได้ว่า ตนเองกําลังเข้าใกล้การทะลวงอาณาจักรต่อไปมากแล้ว ข้าเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นแปดระดับสูงสุดได้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกทดสอบ อีกไม่ช้า ข้าก็จะสามารถเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นที่เก้าได้แล้ว เมื่อใดที่ข้าเข้าสู่อาณาจักรจุติพิภพได้ หากถึงเวลานั้น ท่านปูได้รู้ว่าข้าอยู่ในอาณาจักรเดียวกันกับเขาแล้วล่ะก็ ท่านปู่คงจักต้องแปลกประหลาดใจอย่างมากเป็นแน่”
หลงเฉินพึมพํากับตัวเองในระหว่างที่เดินตรงไปยังประตูห้อง
หลงเฉินผลักประตูออกไป และพบเม่ยกําลังยืนรออยู่ด้านนอก เวลานี้นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใส และดูเหมือนชุดกระโปรงจะดูรัดเรือนร่างของนางยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าดูสดใสมากในชุดสีฟ้าเช่นนี้เม่ย!”
หลงเฉินเอ่ยชมเม่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เม่ยซึ่งอยู่ในชุดสีฟ้าถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว อย่าให้ท่านแม่ต้องรอนาน” หลงเฉินเอ่ยบอกเม่ยยิ้มๆ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป
“อ่อ แล้วพี่สาวของเจ้าเล่า? ข้ามเคยเห็นพวกเจ้าสองคนแยกกันเลยสักครั้ง..” หลงเฉินเอ่ยถามในขณะที่เดินตามเม่ยไป
“พี่ชวี่อยู่กับฮูหยิน ส่วนข้าก็มาตามท่านที่ห้อง อ่อ.. ข้าสังเกตเห็นว่าสมุนไพรสําหรับอาบน้ำตอนเช้าในห้องอาบน้ำของท่านใกล้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะนํามาเพิ่มให้”
เม่ยหันไปมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยขึ้น คล้ายกับว่าเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“อืมม.. พรุ่งนี้เจ้าค่อยนํามาเพิ่มให้ข้า”
หลงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินไปถึงเรือนพักของซือหม่าจวี้อี๋ เวลานี้นางกําลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะแปดเหลี่ยมรอหลงเฉินอยู่แล้ว รอบๆโต๊ะมีเก้าอี้วางอยู่สองสามตัว ด้านหลังเก้าอี้ที่ซือหม่าจวี้อี๋นั่งอยู่นั้น ซี่วกําลังยืนอยู่ด้านหลังคอยรับใช้
“เทียนเอ๋อ เจ้ารีบมากินเร็วเข้า อาหารเย็นหมดแล้ว!”
ซือหม่าจวี้อี๋ยิ้มสดใสให้กับหลงเฉินทันทีที่เขาเดินเข้ามา หลงเฉินนั่งลงข้างกายนาง จานชามถูกนํามาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้า และซวี่ก็เริ่มนําอาหารขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ซือหม่าจวี้อี๋กับหลงเฉินลงมือกินอาหาร พร้อมกับสนทนากันตามประสาแม่ลูก
“ท่านแม่ วันนี้ข้าได้ยินทหารคุยกันถึงเรื่องของแม่นางหลิง ข้ารู้เรื่องที่นางมาขอยกเลิกการหมั้นหมายแล้ว และข้าก็ขอบอกกับท่านแม่ว่า ข้าเองก็มิได้ต้องการที่จะแต่งงานกับนางเช่นกัน ฉะนั้น ท่านแม่ช่วยเล่ารายละเอียดในการหมั้นหมายครั้งนี้ให้ข้าฟังจะได้หรือไม่? ข้าต้องการรู้เรื่องนี้ยิ่งนัก”
ระหว่างที่รับประทานอาหาร หลงเฉินก็ได้เอ่ยถามเรื่องของหลิงกับซือหม่าจวี้อี๋
“เจ้า.. เจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้น่าจะเป็นการดีเสียกว่า แต่ดูเหมือนข้าคงจะปกปิดเจ้ามิได้แล้วสินะ?” ซือหม่าจวี้อี๋กล่าวด้วยเสียงหนักใจ
“ท่านแม่มิต้องกังวลใจไป เรื่องนี้หาได้กระทบกระเทือนจิตใจข้าไม่ ข้าถามเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเพราะว่าต้องการล่วงรู้รายละเอียดเท่านั้น..” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มให้ซือหม่าจวี้อี๋ เพื่อให้นางรู้สึกสบายใจ
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะถือกําเนิดเสียอีก….”
“เมื่อครั้งที่พ่อของเจ้าอยู่ในวัยสิบแปดปี และได้เข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นสูงสุดแล้วเขาก็ได้เดินทางไปยังจักรวรรดิเฉวียน เพื่อทําการคัดเลือกเข้าสู่สํานักบุปผารุ่งโรจน์ ข้าได้ยินมาว่าฝีมือของพ่อเจ้านั้นเหนือกว่าผู้เข้ารับการคัดเลือกคนอื่นๆมากนัก และเขาก็ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์สํานักบุปผารุ่งโรจน์ได้อย่างง่ายดาย…”
“ท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกยุทธที่เข้าร่วมคัดเลือกในครั้งนั้น มีคนผู้หนึ่งนามว่าอวี้เทียนห่าว ทั้งเขาและท่านพ่อของเจ้าต่างก็ได้รับการคัดเลือกอยู่ในสํานักเดียวกัน พวกเขาจึงฝึกฝนวรยุทธมาด้วยกัน มิตรภาพของพวกเขาทั้งคู่เติบโตแน่นแฟ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่ดื่มกันจนเมามาย ทั้งพ่อของเจ้าและอวี้เทียนห่าวจึงได้หมั้นหมายพวกเจ้าทั้งสองคนเข้าด้วยกัน” ซือหม่จอีเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลงเฉินฟัง
“พวกเขาทั้งคู่รับปากเกี่ยวกับการหมั้นหมายครั้งนี้ไว้อย่างไรบ้าง?” หลงเฉินเอ่ยถามต่อสอง
“ทั้งคู่ให้คํามั่นสัญญาว่า หากพวกตนมีบุตรชายด้วยกันทั้งคู่ ก็จะให้ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน แต่หากฝ่ายหนึ่งมีบุตรสาว และอีกฝ่ายมีบุตรชาย ก็จะให้ทั้งคู่หมั้นหมายกันไว้ และแต่งงานกันเมื่อถึงวัยอันควร” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
“จนกระทั่งเมื่อท่านพ่อของเจ้าเข้าสู่ในวัยยี่สิบสามปี ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านพ่อของเจ้าจึงออกมาจากสํานักบุปผารุ่งโรจน์ แม้ว่าเขาจะมิเคยบอกเหตุผลที่แท้จริงกับข้า แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าเขามีปัญหากับอาวุโสท่านหนึ่งในสํานักแห่งนั้น เขาจึงต้องออกจากสํานักไป..”
“แต่ถึงแม้ท่านพ่อของเจ้าจะออกจากสํานักมาแล้ว เขาก็ยังคงเดินทางไปที่จักรวรรดิเฉวียนเป็นครั้งคราวเพื่อพบปะกับสหายผู้นี้ จนกระทั่งเจ้าถือกําเนิดมา เจ้าจึงถูกหมั้นหมายกับหลิงซึ่งบุตรสาวของอเทียนห่าว ซึ่งเวลานั้นหลิงก็เพิ่งจะอายุได้เพียงแค่สองขวบเท่านั้น ทั้งคู่ให้คํามั่นสัญญากันว่า เมื่อเจ้าเข้าสู่วัยสิบแปดปีเมื่อใด ก็จะให้พวกเจ้าทั้งสองเขาพิธีวิวาห์กัน” ซือหม่าจวี้อี๋เล่าต่อ
“แต่หลังจากที่เจ้านอนหลับไหลไปได้เพียงไม่กี่วัน จู่ๆหญิงสาวที่ท่านพ่อของเจ้าหมั้นหมายไว้ให้ก็เดินทางมาถึงที่นี่ นางอาจจะเพิ่งได้รับรู้การหมั้นหมายในครั้งนี้ หรืออาจจะด้วยเหตุผลบางประการ นางจึงต้องการที่จะยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้ แม้จะเป็นการหมั้นหมายที่ท่านพ่อของเจ้ารับปากไว้ แต่ข้าก็มิต้องการที่จะบีบบังคับหญิงสาวผู้นั้น จึงได้ยอมตกลงตามคําของของนาง” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อย
“ท่านแม่ข้ามิได้รู้สึกเสียใจกับการยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้เลย ท่านอย่าได้กังวลใจไป หากข้ามิได้หลับไหลไป ย่อมต้องให้ท่านแม่ทําเช่นนี้เหมือนกัน”
หลงเฉินอธิบายให้ซือหม่าจวี้อี๋ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
“ขอบคุณท่านแม่สําหรับอาหารเย็น ข้าคงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน” หลงเฉินเอ่ยบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“นอนหลับฝันดีล่ะเทียนเอ๋อ..”
ซือหม่าจวี้อี๋จ้องมองหลงเฉินด้วยแววตารักใคร่ ในระหว่างที่เดินออกจากเรือนของตนไป
ทันทีที่กลับไปถึงห้องของตน หลงเฉินก็รีบเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย และขึ้นไปนอนราบอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็ว
“ ข้ามิรู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย.. เฮ้อ.. ข้าเองก็นอนหลับไหลไปนานถึงสามปี ไฉนยังจะรู้สึกง่วงนอนได้อีกเล่า” หลงเฉินพึมพําพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ในเมื่อนอนไม่หลับ ข้าก็จะฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อดีกว่า” หลงเฉินพึมพํากับตัวเอง และลุกขึ้นนั่งและเริ่มฝึกวรยุทธต่อ
ค่ำคืนผ่านไป เช้าวันใหม่มาเยือน หลงเฉินมิรู้ว่าตนเองฝึกวรยุทธไปเนิ่นนานเพียงใด แต่เมื่อฝึกฝนจนเพียงพอแล้ว เขาจึงได้เปิดเปลือกตาขึ้น
“อืมม. ค่ำคืนผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก วันนี้เป็นวันที่ท่านปู่บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ข้าสินะ ข้าคงต้องรีบอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม..”
หลงเฉินพึมพําออกมาในขณะที่เดินตรงไปยังผู้บรรจุอาภรณ์ เขาหยิบเลือกอาภรณ์เนื้อดีมาหนึ่งชุด และนําไปวางไว้บนเตียง จากนั้นจึงถอดอาภรณ์ชุดเก่าออก และเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำเพื่อชําระร่างกายเสียก่อน
แต่เมื่อหลงเฉินเปิดประตูห้องอาบน้ำและเดินเข้าไป เขาก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงเมื่อพบว่ามีใครบางคนอยู่ด้านใน