ตอนที่ 119 ฉินโหยว
“ฮ่าๆๆ เฒ่าเหริน ท่านกล่าวหาข้าเป็นผู้มางานเลี้ยงสายเสมอ เวลานี้ข้ามาถึงแล้วแต่ยังมิมีผู้ใดมา ย่อมหมายความว่าข้าเป็นผู้ตรงต่อเวลาสินัก!” เสียงหัวเราะดังก้องขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าโถงรับรอง
“เฮอะ… ผู้ใดกันที่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันประสูติของฝ่าบาทสายกว่าใครๆ?? มาทันเวลางานเพียงแค่ครั้งเดียว มิอาจทําให้ท่านพ้นข้อครหาได้หรอกนะสหายเฒ่า!” หลงเหรินเอ่ยตอบพร้อมกับหันมองไปทางบุคคลที่เพิ่งมาถึง
“ตระกูลฉินงั้นรึ..”
หลงเฉินได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจเมื่อพบเห็นชายชราสวมเสื้อคลุมสีเขียวมีลวดลายโดดเด่นที่เพิ่งเดินทางมาถึง ชายชราที่เดินนําหน้ามานี้ดูเหมือนจะอยู่ในวัยเดียวกับปู่ของเขา ด้านหลังของชายชรามีผู้คนเดินตามมาอีกสามคน เป็นชายวัยกลางคนผมสีดําขลับหนึ่งคน และดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ตามมาด้วยหญิงที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สง่างาม และดูเหมือนจะอยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ
แต่ผู้ที่ดึงดูดสายตาหลงเฉินมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวคนที่เดินตามมาเป็นคนที่สามหญิงสาวหน้าตางดงามผู้นี้อยู่ในอาภรณ์สีเขียวเข้ม และน่าจะอยู่ในวัยไม่เกินสิบแปดปี นางเดินตามหลังชายวัยกลางคนและหญิงอีกคนมา ใบหน้าของนางยิ้มแย้ม คิ้วทั้งสองข้างเรียวบาง ผมยาวดําขลับนั้นถูกม้วนขึ้นเป็นมวยอยู่กลางศรีษะ ปรอยผมบางๆที่ย้อยลงทางดวงตาข้างซ้ายจนเกือบถึงปลายจมูกนั้น ช่วยขับให้ใบหน้าของนางชวนมองมากยิ่งขึ้น
หลงเฉินจ้องมองนางอยู่นานก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน. ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนักที่ตระกูลฉินให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงของข้าในวันนี้ ฉินโหยว เจ้าก็มาด้วยเช่นกันรึ?”
“เฒ่าเหวิน.. ข้าได้ยินมาว่าฉันโหยวเก่งหลายด้านเลยทีเดียว ในวัยเพียงแค่สิบเจ็ดปี นางก็สามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นแปดได้แล้ว ช่างมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!”
หลงเหรินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับเหลือบมองไปทางหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังสุด..
“อ่อ.. ที่แท้แม่นางผู้นั้นก็คือฉินโหยว หลานสาวประมุขตระกูลฉินนี่เอง นอกจากนางจะงดงามมากแล้ว ยังมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอีกด้วย หากที่ข้าได้ยินมามผิด นางเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปีแต่กลับสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะเทียบเท่ากับหลงซูได้แล้ว ซึ่งก็คืออาณาจักรผสานวิญญาณขั้นแปด” หลงเฉินได้แต่แอบคิดอยู่ในใจพร้อมกับเหลือบมองไปทางฉินโหยวอีกครา
“ฮ่าๆๆๆ ท่านกล่าวได้ถูกต้องนัก! นางเป็นความภาคภูมิใจของชายชราเช่นข้า ด้วยพรสวรรค์และความหมั่นเพียรของนาง นางจึงมิเคยทําให้ข้าผิดหวังเลยสักครั้ง” ฉินเหวินกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
“ท่านเองก็มีลูกหลานที่เก่งกาจไม่น้อยทีเดียว ข้าได้ยินมาว่าหลงเว่ยหลานชายของท่าน ก็สามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นห้าได้แล้วเช่นกัน ดูเหมือนเขาเพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น นับเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว ท่านเองก็คงจะภูมิอกภูมิใจในตัวเขาไม่น้อยทีเดียวสินะ” ฉินเหวินเอ่ยตอบยิ้มๆ
หลงเว่ยถึงกับยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคํากล่าวชมของฉินเหวิน เขาเหลือบมองหลงเฉินด้วยสีหน้าและแววตาภาคภูมิใจ บิดาและมารดาของเขาก็มีสีหน้าไม่ต่างกันในขณะที่จ้องมองไปทางฉินเหวิน
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น แต่ใช่ว่าจะมีแต่หลงเว่ยเท่านั้น ข้าภูมิอกภูมิใจในตัวทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลงทุกๆ คนที่เดียว!” หลงเหรินกล่าวยิ้มๆ และอาศัยโอกาสนี้เอ่ยชมตระกูลหลงของตนเอง
“นั่นสินะ.. หลานชายของเจ้าแต่ละคนก็น่าชื่นชมยิ่งนัก! แล้วนั่น. หลงเทียนงั้นรึ?” ฉินเหวินเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปทางเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายหลงเหริน
“นี่คือหลงเทียน เขาเป็นหลานชายของข้า และเป็นบุตรชายของซือหม่าจวี้อี๋” หลงเหรินรีบชี้ไปทางหลงเฉินและซือหม่าจวี้อี๋ในขณะที่เอ่ยแนะนํา
“ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นก็คือหลงเฉวียนบุตรชายของข้าเอง และนั่นเมิ่งเป็นภรรยาของเขา ส่วนหลงเว่ยหลานชายของข้าที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ก็คือเด็กหนุ่มนั่น..” หลงเหรินชี้ไปทางหลงเฉวียนภรรยาของเขา และหลงเว่ย พร้อมกับเอ่ยแนะนําด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โอ้. ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือหลงเทียนหรอกรึ? หลานสาวของข้าชื่นชอบเขายิ่งนัก นางถึงกับเอ่ยปากว่านางต้องการมางานเลี้ยงนี้เพื่อที่จะได้พบกับหลงเทียน”
ฉินเหวินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่สีหน้าของหลงเว่ยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียดทันทีเมื่อได้ยิน..
“นางชื่นชอบหลงเทียนหรอก? ดูท่าสมองของนางคงจะได้รับความกระทบกระเทือนจนผิดเพี้ยนไปเป็นแน่?” หลงเว่ยแอบครุ่นคิดอยู่ในใจ ระหว่างที่มองไปทางฉินโหยวทีและหลงเทียนที่
“อาวุโสกล่าวชมข้าน้อยเกินไปแล้ว!” หลงเฉินเอ่ยตอบอย่างสุภาพพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ พ่อหนุ่ม.. ท่านพ่อมิได้ล้อเจ้าเล่นหรอกนะ! โหยวเอ๋อ.. เจ้ามีสิ่งใดอยากจะกล่าวกับหลงเทียนหรือไม่?” มารดาของฉันโหยวหันไปถามบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เมื่อครั้งที่ข้ายังเล็ก ขาเคยได้ยินเรื่องความสําเร็จและความอัศจรรย์ของเจ้ามามากมาย แม้เจ้าจะอายุน้อยกว่าข้า แต่กลับสามารถฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะจนก้าวหน้าข้าไปไกลมาก ความเก่งกาจและอัศจรรย์ของเจ้าเป็นแรงกระตุ้น และแรงบันดาลใจให้ข้าขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะ ข้าเชื่อว่าในจักรวรรดินี้จักมีอีกหลายคนที่คิดเช่นข้า ข้าอยากจะขอบคุณเจ้า”
ฉินโหยวหันไปเอ่ยกับหลงเฉินพร้อมกับยิ้มให้
“ขอบคุณแม่นางฉินโหยวยิ่งนัก แต่นั่นเป็นเพียงแค่อดีต! เวลานี้ท่านเองต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆที่จะหมั่นเพียรฝึกวรยุทธบ่มเพาะ หาใช่ข้าไม่!” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เลย.. ข้ายังรู้สึกกับเจ้าเช่นเดิม! แม้ว่าขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้าจะเสื่อมถอยลงเพราะเหตุการณ์เลวร้ายมากมายที่เกิดขึ้น แต่ดูเจ้าสิ.. เวลานี้เจ้ากลับยิ้มแย้มได้! ไม่ว่าวรยุทธบ่มเพาะของเจ้าจักอยู่ในขั้นใด แต่ในสายตาของข้า เจ้ายังคงเป็นคนเก่งคนหนึ่งในจักรวรรดิซุยเสมอ”
ฉินโหยวจ้องมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในขณะที่สีหน้าของหลงเว่ยกลับเปลี่ยนเป็นน่าเหยเกยิ่งกว่าเดิม
“ขอบคุณแม่นางโหยวยิ่งนัก ท่านช่างเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนยิ่งนัก!” หลงเฉินยิ้มอ่อนโยนให้กับฉันโหยว พร้อมกับนึกชื่นชมในอุปนิสัยที่อ่อนโยนของนาง
“แม่นางโหยว.. เจ้ากล่าวมิผิดเลยแม้แต่น้อย! แต่เขาเป็นเพียงแค่คนเคยเก่งเท่านั้น แต่เวลานี้ดูเหมือนจะด้วยกว่าบ่าวไพร่ของข้าเสียอีก!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูทางเข้าโถงรับรอง
ทุกคนภายในโถงรับรองพร้อมใจกันหันหน้ามองไปที่ประตู และพบว่ามีคนสองคนเดินกําลังเดินเข้ามา และด้านหลังของพวกเขาก็มีบ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย
งั้นรึ?! ท่านจะคิดเช่นใดก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ข้าว่าคงจะไม่ดีนักหากท่านจะคิดเช่นนั้น คุณชายหนานหลี!” ฉินโหยวหันไปมองผู้ที่เพิ่งมาใหม่ พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ห้วน
จากคําพูดของฉันโหยวทําให้หลงเฉินนึกขึ้นได้ว่า เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงนั้นก็คือคู่หนานหลี่ หลานชายของคู่หยงผู้เป็นประมุขตระกูลภู่นั่นเอง!
“ชายร่างท้วมเจ้าเนื้อผู้นี้น่าจักต้องบิดาของคู่หนานหลี่ นามว่าคู่หลินเป็นแน่!” หลงเฉินเหลือบมองพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
“กู่หลิน กู่หยงท่านพ่อของเจ้ามิมาด้วยรึ? เฒ่ากูไม่ยอมมาจริงๆงั้นรึ?! นี่เขายังอับอายที่พ่ายแพ้ให้แก่ข้าในคราวนั้นอีกรึ?” ฉินเหรินยิ้มให้ชายวัยกลางคนที่เดินนําเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถาม
“อภัยที่ท่านพ่อมสามารถมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ได้ ท่านพ่อกําลังเก็บตัวฝึกฝนวรยุทธอยู่ พวกข้าจึงได้มาเป็นตัวแทน!” คู่หลินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“เจ้าคงจะเป็นหลงเทียนสินะ? ยินดีด้วยหลานชายที่ตื่นขึ้นมาเสียที เจ้านับว่าโชคดียิ่งนักที่สามารถผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้มากมายหลายครั้งเช่นนี้!” กู่หลินหันไปมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยทักทาย
“ขอบคุณท่านลุง. ท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ข้าเป็นผู้ที่โชคดียิ่งนัก! และผู้ใดก็ตามที่คิดร้ายกับข้า พวกเขามักจะกลายเป็นผู้ที่โชคร้ายเสียเอง!” หลงเฉินจ้องมองกู่หลินพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ฮ่าๆๆ ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรปรับกายามักมีวาจาคมคายเช่นเจ้า แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถแก้แค้นผู้ที่คิดร้ายกับเจ้าได้ ด้วยความแข็งแกร่งที่เจ้าเป็นอยู่เวลานี้รึ?!” คู่หนานหลี่เอ่ยตอบโต้หลงเฉินพร้อมกับหัวเราะเยาะ
“เจ้าเองก็ดูเป็นคนดีคนหนึ่ง ข้าคงต้องขอเอ่ยกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา อภัยที่ขาต้องบอกกับเจ้าว่า ในยามที่เจ้าหัวเราะนั้น เจ้าดูน่าเกลียดยิ่งนัก อาจเป็นเพราะใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเจ้าด้วย..”
หลงเฉินจ้องมองหนานหลีพร้อมกับเอ่ยวิจารณ์ใบหน้าของเขาอย่างตรงไปตรงมา
ทุกคนในโถงรับรองต่างพากันหันไปมองหลงเฉินด้วยสีหน้าตกอกตกใจ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น
“อภัยให้ข้าด้วย.. ข้าไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้จริงๆ!” ฉินโหยวเอ่ยออกมาพร้อมกับพยายามที่จะกลั้นหัวเราะ แต่ก็มิสามารถทําได้!
หลงเฉินเหลือบมองใบหน้าขบขันของฉันโหยว ก่อนจะหันไปมองคู่หนานหลี่และพ่อของเขาที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ