ตอนที่ 120 เชื้อพระวงศ์มาถึง
“เทียนเอ๋อ! เจ้ามิควรเสียมารยาทกับแขกนะ!” ซือหม่าจอี้หันไปดหลงเฉิน
“เจ้า! เจ้าโชคดีที่กล่าววาจาเช่นนี้ในตระกูลของเจ้า! หากเจ้ากล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้าด้านนอกแล้วล่ะก็ เจ้าคงคงต้องกลับจวนในสภาพที่กระดูกหักทั่วร่างเป็นแน่!” คู่หนานหลี่ร้องตะโกนบอกหลงเฉินด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“โอ้ คุณชายหนานหลี่ นี่เจ้าคิดว่าตนเองจะสามารถทําเช่นนั้นได้รึ?!” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“แน่นอน.. ข้าย่อมสามารถทําได้แน่! เพราะข้ามิใช่ขยะในขั้นปรับกายาดังเช่นใครบางคน!” คู่หนานหลี่แสยะยิ้มขณะกล่าววาจาเย้ยหยัน
“คุณชายหลี่ เจ้ามิควรที่จะประเมินผู้อื่นต่ําไปนัก เจ้ามิมีทางรู้จักผู้อื่นดีกว่าตนเองเป็นแน่หากเจ้าถูกขยะในขั้นปรับกายาบดขยี้ขึ้นมา เจ้าคงต้องได้รับความอับอายเป็นแน่!” หลงเฉินตอบโต้กลับไปพร้อมกับจ้องมองกู่หลานหลี่ด้วยรอยยิ้มหยัน
“หึ นี่เจ้าเพ้อเจ้อถึงเพียงนี้เชียวรึ?” คู่หนานหลี่จ้องมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยเยาะเย้ย
“ก็คงจะมีมากเท่ากับเจ้า!” หลงเฉินตอบโต้กลับไปทันที
“หนานหลี่ เจ้าหยุดได้แล้ว! อาวุโสเหริน พวกเรามิได้มาที่นี่เพื่อต้องการทะเลาะกับผู้ใด! ท่านช่วยอบรมหลานชายของท่านด้วย!” ภู่หลินเอ่ยตอบพร้อมกับหันไปมองหลงเหรินด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฮ่าๆๆๆ นี่หาใช่การทะเลาะวิวาทไม่ เป็นเพียงการกระเซ้าเย้าแหย่ของเด็กๆเท่านั้น หลิน.. เจ้าเองก็อย่าจริงจังไปนัก! เรื่องเด็กๆหยอกเย้ากันเช่นนี้ หากเฒ่าหยวนอยู่ที่นี่ก็คงจะมีถือสาอันใด เช่นกัน!” หลงเหรินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“ถูกต้องแล้ว! ข้าเองก็จําได้ว่าเฒ่าเหรินกับพ่อของเจ้าก็เคยทะเลาะกันเช่นนี้เมื่อยังเป็นหนุ่มผู้เฒ่าในตระกูลทั้งสองต่างก็มิเคยยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะเบาะแว้งของเด็กๆ” ฉินเหวินเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอาล่ะๆ นั่งลงกันเถิด ยืนอยู่เช่นนี้กันนานแล้ว” หลงเหรินเอ่ยบอกทุกคนด้วยใบหน้า เปื้อนยิ้ม
ในระหว่างที่หลงเฉินกับคู่หนานหลี่ทะเลาะกันอยู่ภายในโถงรับรองนั้น ด้านหน้าตระกูลหลงก็มีรถม้าหรูหราสี่คันที่ประดับด้วยสัญลักษณ์จันทรา ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์แล่นเข้า มาจอดอาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหลงได้ไปยืนรอรับรถม้าทั้งสี่อยู่ด้านหน้าก่อนแล้ว
ชายผู้มีเส้นผมขาวโพลนสวมใส่อาภรณ์หรูหราสีน้ําเงิน ก้าวเดินลงมาจากรถม้าคันแรก
“ฝ่าบาท!” อาวุโสใหญ่หลงมู่กล่าวทักทายพร้อมกับโน้มกายลงทําการคาราวะองค์จักรพรรดิเย่วหานซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิซุย
ประตูรถม้าคันที่สองเปิดออก ชายหนุ่มผู้หนึ่งในวัยสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีก็ก้าวเดินออกมาผมของเขายาวประบ่า ดวงตาทั้งคู่เป็นสีฟ้าอ่อนเข้ากับอาภรณ์งดงามที่สวมใส่ยิ่ง
จากนั้นหญิงสาวในวัยสิบห้าถึงสิบหกปีก็ได้ก้าวตามลงมาจากรถม้าคันเดียวกัน ใบหน้างดงามของนางนั้นดูช่างไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูยิ่งนัก ผมสีฟ้ายาวประบ่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับขับให้ใบหน้าของนางงดงามชวนมองมากยิ่งขึ้น นัยน์ตาทั้งสองของนางมีสีฟ้าเช่นเดียวกับ เด็กหนุ่ม
“องค์ชายสองและองค์หญิงสาม.. ยินดีต้อนรับ!” อาวุโสใหญ่เอ่ยทักทายองค์หญิงและองค์ ชายทั้งสอง เขาจําได้ว่าทั้งคู่ก็คือองค์ชายสองเย่วหยวน และองค์หญิงสามเย่วเฟย
จากนั้นประตูรถม้าคันที่สามก็เปิดออก และเด็กหนุ่มกับเด็กสาวอีกคู่ก็ก้าวเดินลงมา
เด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ในวัยเดียวกับองค์ชายสอง เพียงแต่เส้นผมของเขาเป็นสีแดงสดใส ในขณะที่หญิงสาวนั้นดูเหมือนจะอายุมากกว่าองค์หญิงสามเย่วเฟยเล็กน้อย ผมสีดําขลับของนางปล่อยสยายยาวอยู่บนแผ่นหลัง นางสวมใส่อาภรณ์รัดรึงสีฟ้า และสวมใส่เครื่องประดับที่มีราคาสูงซึ่งแตกต่างจากองค์หญิงสามที่แต่งองค์มิได้หรูหรามากมาย แม้แต่เครื่องประดับสักชิ้นก็มิมี
“องค์ชายสาม. องค์หญิงใหญ่. ตระกูลหลิงยินดีต้อนรับ!” อาวุโสใหญ่หลงมู่เอ่ยทักทา ยต้อนรับอีกเช่นเคยและเขาก็จดจําได้ว่าผู้ที่ก้าวลงจากรถม้าคันที่สามนี้ก็คือองค์ชายสามเย่วถึงและองค์หญิงใหญ่เย่วเหมียว
จากนั้นประตูรถม้าคันที่สี่ก็เปิดออก เด็กหนุ่มในวัยสิบสี่ถึงสิบห้าปีสวมใส่เสื้อคลุมก็ ได้ก้าวเดินออกมาและด้านหลังของเขามีชายในวัยสามสิบปีต้นๆเดินตามออกมาด้วย
“องค์ชายสี่ และท่านราชครูฉ่ ยินดีต้อนรับ” อาวุโสใหญ่หลงมู่เอ่ยทักทาย และจําได้ว่าผู้ที่ลงมาก็คือองค์ชายสี่เย่วหมิง และราชครูตี้
“เจ้านําพวกเราเข้าไปด้านในได้แล้ว!” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ในขณะที่อาวุโสใหญ่มู่หลงเดินนําฝ่าบาท องค์ชาย และองค์หญิงเข้ามาในโถงรับรองนั้น ทุกคนต่างก็นั่งประจําโต๊ะกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อฝ่าบาทและเหล่าเชื้อพระวงศ์ก้าวเข้ามา ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนทําการคาราวะองค์จักรพรรดิ หลงเฉินเองก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ในระหว่างนั้นเขาก็อดที่จะเหลือบมององค์หญิงสาม และองค์ชายสองซึ่งเดินตามองค์จักรพรรดิเข้ามามิได้
“หลงเหริน ฉินเหวิน.. เอ๊ะ… ภู่หยงมิมาด้วยรึ?” จักรพรรดิเย่วหานเอ่ยทักทายพร้อมกับเอ่ยถามถึงประมุขตระกูล
“ฮ่าๆๆๆ ฝ่าบาท.. เขาอ้างว่ากําลังเก็บตัวฝึกวรยุทธบ่มเพาะ แต่พวกข้าว่าเขาคงจะเก้อ เขินจนมิกล้ามาเสียมากกว่า” ฉินเหวินเอ่ยตอบองค์จักรพรรดิพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่าๆๆ หยวนคงต้องอารมณ์เสียมากหากได้ยินเจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ เอาล่ะๆ นั่งลงแล้วเริ่มงานเลี้ยงฉลองเลยดีกว่า หลงเหริน. หวังว่าเจ้าคงจะเตรียมเหล้าชั้นเลิศไว้แล้วสินะ?” จักรพรรดิเย่วหานหันกล่าวกับหลงเหรินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่ฝ่าบาท กระหม่อมได้เตรียมเหล้าชั้นเลิศไว้ให้พระองค์แล้ว เชิญฝ่าบาทนั่งก่อน!” หลงเหรินเอ่ยตอบพร้อมกับผายมือไปที่โต๊ะเป็นการเชื้อเชิญ
“พวกเจ้าไปสนุกกันตามสบาย!”
องค์จักรพรรดิเย่วหานหันไปตรัสกับเหล่าองค์ชายและองค์หญิง ก่อนจะเดินตามประ มุขของทั้งสองตระกูลไป.
องค์ชายสามและองค์หญิงหนึ่งเดินไปเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ในขณะที่องค์ชายสี่และ ราชครูเดินไปนั่งอีกโต๊ะที่อยู่ใกล้กัน ส่วนองค์ชายสองเองก็เลือกโต๊ะใกล้ๆเช่นกัน แต่ในขณะที่กําลังจะนั่งลงนั้น หลงเฉินก็เดินเข้ามาทักทายพอดี
“ยินดีที่ได้พบกับองค์ชายสองอีกครั้ง..” หลงเฉินเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นั่งลงก่อน!” องค์ชายสองเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์
“องค์ชายเย่วหยวน.. ท่านดูหล่อเหลาขึ้นมากทีเดียว ส่วนองค์หญิงสามเย่วเฟยถึงดงามขึ้น มากเช่นกัน! ดูเหมือนความงดงามของท่านจะเพิ่มขึ้นในทุกๆวันสินะ!”
หลงเฉินหันไปยิ้มให้กับองค์หญิงเย่วเฟย ซึ่งเพียงแค่ยิ้มให้กับคําชมแต่มิได้ตอบกลับแต่อย่าง
“ฮ่าๆๆๆ นี่เจ้ายังกะล่อนเหมือนเช่นที่อยู่ในปามิมีผิด ข้าชื่นชอบอุปนิสัยของเจ้านัก! นี่เจ้าถึงกับกล้าพูดจาลวนลามน้องสาวของข้า ทั้งที่พระบิดาอยู่ใกล้ๆเชียวรึ?” องค์ชายสองเย่วหยวนหัวเราะขณะหยอกเย้าหลงเฉิน
“การพูดความจริงย่อมมิมีความผิดมิใช่รึ? หากการพูดความจริงคือการลวนลาม ข้าคงต้องพูดจาลวนลามองค์หญิงสามเช่นนี้ทุกครั้งที่พบเจอที่เดียว!”
หลงเฉินได้แต่แอบยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าขององค์หญิงเย่วเฟยเปลี่ยนเป็นแดงก่ํา หลังจากที่ได้ยินคําตอบโต้ของตนเอง
“ฮ่าๆๆๆ นี่เจ้ามิใฝ่สูงไปหน่อยรึ?! น้องสาวของข้าเปรียบเสมือนอัญมณีแห่งจักรวรรดิเชียวนะเจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ หากนางเกิดหลงคารมเจ้าขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น. โอ๊ย.. น้องสามข้า ข้าล้อเล่น!! โอ๊ย… พอแล้ว! หยุดได้แล้ว!! ข้าเจ็บนะ…”
องค์ชายเย่วหยวนยังมิทันจะพูดจบ ก็ถูกองค์หญิงเย่วเฟยหยิกเข้าที่เอวอย่างแรง จนถึงกับต้องร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด..
“ข้าคงมิโชคดีสามารถเอาชนะใจองค์หญิงเย่วเฟยได้เป็นแน่!” หลงเฉินกล่าวยิ้มๆ
“ข้ายังมีเห็นเสวียอึ้งเลย นางมิได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วยหรอก? นางมิสบายหรืออย่างไร?!”
หลงเฉินได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ๆ จึงหันไปยังต้นเสียง และพบว่าเป็นองค์ชายสามที่กําลังเอ่ย ถามอาวุโสใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
“เสวียยิ่งสบายดี เพียงแต่นางเก็บตัวฝึกวรยุทธบ่มเพาะมานานกว่าเจ็ดวันแล้ว นางกําลังเตรียมพร้อมเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเข้าสํานักที่กําลังจะจัดขึ้น” อาวุโสใหญ่หลงม่ตอบองค์ชายเย่ว
“อ่อ.. งั้นรึ?!” องค์ชายสามเย่วติงพึมพําออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะเดินกลับนั่งที่โต้
“น้องสาม.. เจ้าปักใจหลงรักหลงเสวียอิ่งเช่นนี้ นับเป็นโชคดีของนางยิ่งนัก!” อ งค์หญิงใหญ่เย่วเหมียวเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน ในขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าขององค์ชายเย่วถึง
“เฮ้อ… ข้าเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงพยายามที่จะหลบหน้าข้าเช่นนี้ ข้าเองก็มิเคยทํากิริยาเลวทรามกับนางเลยสักครั้ง หรือมีสิ่งใดผิดปกติกับข้างั้นรีพี่หญิง ความรักของข้าจึงดูเหมือนจะมีสมหวังเช่นนี้?” องค์ชายเย่วติงเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงและใบหน้าเศร้าสร้อย
“ไม่เลย! น้องชายของข้าเป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบและดียิ่งที่สุดในปฐพี! ข้าเชื่อว่าสักวันนางจักต้องใจอ่อนตกหลุมรักเจ้า และยอมแต่งงานกับเจ้าเป็นแน่!” องค์หญิงเย่วเหมียวเอ่ยตอบองค์ชายเย่วถึง
“น้องชาย. เจ้ามองไปที่โต๊ะตรงข้ามเช่นนั้น หรือเจ้าสนใจพี่หญิงใหญ่งั้นรึ?! เช่นนี้น้องสาวผู้น่าสงสารของข้าก็อกหักสิ.. โอ๊ย.. อีกแล้วนะ! ข้าล้อเล่น..”
องค์ชายเย่วหยวนหยอกเย้ากับหลงเฉิน แต่กลับถูกองค์หญิงสามหยิกเข้าอีกครั้งแล้วครั้งเล่า