ตอนที่ 26 กลับตระกูลหลง
หลงเฉินมาถึงหน้าประตูด้านใต้ซึ่งเป็นประตูเดียวกับที่เขาถูกนำตัวออกไป แต่ครั้งนี้กลับมีทหารยามเฝ้าอารักขาอยู่มากมาย และทันทีที่เห็นว่าผู้ใดเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งกลับไปแจ้งหัวหน้าของเขาทันที
แน่นอนว่าทหารเหล่านี้ย่อมต้องจดจำหลงเทียนได้อย่างแม่นยำ เพราะเวลานี้ทหารของตระกูลหลงต่างก็พากันออกตามหาตัวหลงเทียนอยู่ทุกวัน จึงมีภาพของเขาปิดประกาศไปทั่วเมือง ก่อนที่หลงเทียนจะหายตัวไปนั้น มีทหารไม่กี่คนที่รู้จักหน้าค่าตาเขา แต่เวลานี้มิมีทหารคนใดไม่รู้จักหลงเทียน
ทหารยามจึงรีบไปเปิดประตูให้หลงเทียนเข้ามาทันที..
“นายน้อยเทียน ขอบคุณสวรรค์ที่ท่านยังปลอดภัยดี! ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องมิได้รับอันตรายใดๆ ท่านเป็นถึงหลานชายของประมุขตระกูลหลงที่ยิ่งใหญ่..” ชายที่มีหนวดเครารุงรังเดินตรงเข้ามาหา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
หลงเฉินจำคนผู้นี้มิได้ แต่เขาคาดเดาว่าชายหนวดเครารุงรังผู้นี้น่าจะรับผิดชอบดูแลเรื่องความปลอดภัยในตำหนัก หรือไม่ก็เป็นอาวุโสท่านใดท่านหนึ่ง เพราะเขาเห็นทหารยามต่างก็ทำความเคารพชายผู้นี้
หลงเฉินคาดเดาได้อย่างแม่นยำ เพราะชายที่มีหนวดเครารุงรังผู้นี้ก็คือผู้ที่มาทำหน้าที่แทนถูเย่ว แม้เขาจะยังมิแก่ชรามากนัก แต่ก็แข็งแกร่งกว่าถูเย่ว เพราะคนผู้นี้เข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำได้ เขามีนามว่าหลงจิน
หลงจินกำลังนั่งทานข้าวปลาอยู่ในห้องพักอย่างสบายอกสบายใจ ในขณะที่ทหารยามประจำประตูด้านใต้คนหนึ่ง ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเคาะประตูห้องเสียงดังปังๆราวกับคลุ้มคลั่ง ก่อนจะรายงานเรื่องการกลับมาของหลงเทียนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทิ้ม
หลงจินสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งให้รีบไปแจ้งหลงเหรินทราบในทันที ส่วนตนเองก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับหลงเทียนที่ด้านหน้า..
“พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่านายน้อยเทียน เวลานี้ท่านแม่ของท่านกังวลจนล้มป่วย นายหญิงมิยอมกินอะไรเลยตั้งแต่วันที่ท่านหายตัวไป ทุกคนในตระกูลหลงต่างก็เป็นห่วงท่านมาก พวกเราดีใจยิ่งนักที่เห็นนายน้อยกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ชายหนวดเครารุงรังพูดขึ้น พร้อมกับเอื้อมมือออกไปจะแตะไหล่หลงเทียนให้เดินตามไป แต่หลงเฉินกลับเบี่ยงหัวไหล่หนี
“ข้ารู้จักเส้นทางไปเรือนท่านแม่ดี เจ้ามิจำเป็นต้องนำข้าไป” หลงเฉินร้องบอกพร้อมกับออกเดินตรงไปข้างหน้าทันที
หลงจินถึงกับตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินหลงเทียนกล่าววาจาตอบโต้เช่นนั้น ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “นะ.. นายน้อยเทียน.. ทะ.. ท่านพูดได้แล้วรึ?”
หลงจินได้ยินมาว่าตั้งแต่เกิดเหตุลอบสังหารในครั้งนั้น หลงเทียนก็ได้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนไป และนับแต่นั้นมาเขาก็พูดไม่ได้อีกเลย และดูเหมือนสมองของเขาก็ไม่สามารถที่จะคิดใคร่ครวญได้ด้วย แต่หลังจากได้สติจึงรีบวิ่งตามหลงเทียนไปทันที
หลงเฉินเดินตรงไปที่เรือนของตนเองในขณะที่มีหลงจินวิ่งตามไปติดๆ ในระหว่างทางก็เฝ้าพล่ามถึงการออกติดตามหาตัวหลงเทียนมาตลอดหลายวันว่า ต้องออกไปค้นหาไกลเพียงใด แต่หลงเฉินกลับมิใส่ใจฟังเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดหลงเฉินก็เดินมาถึงห้องนอนของซือหม่าจวี้อี๋ผู้เป็นมารดา แต่ในขณะที่เขากำลังยกมือขึ้นจะเคาะประตูห้องนั้น หลงจินก็รีบร้องห้ามขึ้นก่อน
“นายน้อยเทียน นายหญิงมิได้อยู่ในห้องนอน ตั้งแต่ที่ท่านหายตัวไป นายหญิงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องของท่าน” หลงจินร้องบอกพร้อมกับชี้ไปทางห้องของหลงเทียน
“อ่อ..” หลงเฉินพึมพำเบาๆพร้อมกับพยักหน้าให้หลงจิน
ลักษณะท่าทางเพียงแค่นั้น ก็ทำให้หลงจินมั่นใจอย่างมากแล้วว่า หลงเทียนหายจากอาการปัญญาอ่อน และฟื้นคืนเป็นปกติแล้วจริงๆ เพราะเขาสามารถพูด และคิดได้ดังเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว
หลงจินจึงพยายามที่จะทำความสนิทสนมกลับหลงเทียน เพราะรู้ดีว่าในบรรดาหลานชายทั้งหมดนั้น หลงเหรินรักใคร่เอ็นดูหลงเทียนเป็นที่สุด เวลานี้หลงเทียนฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว
หลงจินพยายามที่จะทำความสนิทสนมกับหลงเทียน เพราะรู้ว่าเขาาเป็นที่รักของหลงเหรินมาในบรรดาหลานชายทั้งหมด เวลานี้หลงเทียนฟื้นคืนปกติแล้ว หากเขาได้ใกล้ชิดหลงเทียน เขาก็จักได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
หลงเฉินเดินตรงไปที่ห้องนอนของตนเอง เขาเห็นหญิงงดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในสวนพฤกษาของตน ดวงตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ทำให้บรรยากาศรอบข้างพลอยเศร้าหมองตามไปด้วย
ทันทีที่หลงเฉินเดินเข้าไปในสวนพฤกษา หญิงงดงามผู้มีใบหน้าเศร้าโศกก็ได้หันกลับมามอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลงเทียน ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์แสนสาหัสนั้น พลันแปรเปลี่ยนเป็นความสุขขึ้นมาทันที น้ำตาเอ่อล้นท่วมดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะไหลออกมาเป็นสาย นางวิ่งตรงเข้าไปหาหลงเทียนพร้อมกับโอบกอดเขาไว้แน่น หลงเฉินย่อมรู้แก่ใจว่านี่คือซือหม่าจวี้อี๋มารดาของหลงเทียน
หลงเฉินพึงพอใจกับอ้อมกอดของนางยิ่งนัก แม้นางจะมิใช่มารดาแท้ๆของเขา แต่ในเมื่อวิญญาณของเขาเข้ามาอยู่ในร่างของหลงเทียนแล้ว ความทรงจำต่างๆของหลงเทียนก็ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งว่าตนเป็นคนตระกูลหลงจริงๆ และนางก็เป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาคนหนึ่ง
หลงเฉินรู้สึกเศร้าขึ้นมาเช่นกันเมื่อได้เห็นน้ำตาของไหลเป็นสายจากดวงตาทั้งสองข้างของนาง หลงเฉินอดคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่ที่หลงเทียนหายตัวไปนั้น นางจักต้องเสียใจและเศร้าโศกเพียงใด คิดได้เช่นนั้นหลงเฉินจึงอดที่จะโอบกอดนางกลับคืนไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งนัก
“ท่านแม่ ลูกกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านเงยหน้าขึ้นมองข้าให้ดีสิ หากท่านแม่ยังร้องห่มร้องไห้อยู่เช่นนี้ ข้าคงจะรู้สึกเสียใจเช่นกัน!”
“จ้ะๆ ข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว แค่เห็นเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยข้าก็มีความสุขมากแล้ว ข้าจะไม่เศร้าโศกอีกแล้ว ข้า…” ซือหม่าจวี้อี๋พลันชะงักไปกลางคัน นางเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จากนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้าง..
“เทียนเอ๋อ.. เจ้า.. เจ้า.. นี่เจ้าพูดได้แล้วหรือ? เจ้าหายเป็นปกติแล้ว..” นางสวมกอดลูกชายไว้แน่นอีกครั้ง แม้นจะไม่มั่นใจนัก แต่ใบหน้าที่งดงามนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ถูกแล้วท่านแม่ ข้าหายเป็นปกติแล้ว จากนี้ไปข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่ต้องกังวลใจอีกแล้ว” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย
“เทียนเอ๋อ.. แม่มีความสุขยิ่งนัก วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว!” ซือหม่าจวี้อวี๋บอกกับหลงเทียน
ขณะที่พูดนั้น น้ำตาก็ได้ร่วงรินเป็นสายเปื้อนใบหน้างดงามของนางอีกครั้ง นางร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับโอบกอดหลงเทียนไว้แน่น นี่เป็นน้ำตาแห่งความปิติสุข นางเฝ้ารอคอยให้บุตรชายกลับเป็นปกติเช่นนี้มานานหลายปี นางเฝ้าขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้น และในที่สุดคำขอของนางก็เป็นจริง!
ระหว่างที่หลงเฉินกับซือหม่าจวี้อี๋สองแม่ลูกกำลังกอดกันอยู่ในสวนด้วยความปิติสุขที่ได้พบกันอีกครั้งนั้น เสียงวิ่งของใครบางคนก็ดังขึ้น เป็นหลงเหรินที่วิ่งเขามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ