ตอนที่ 32 สู้กับสัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างของหลงเฉินที่บินอยู่กลางอากาศก็ได้ร่วงกราวลงสู่ผืนดิน นั่นเพราะพยัคฆ์กลืนวิญญาณได้จู่โจมวิญญาณของหลงเฉิน ระหว่างที่ญาณหยั่งรู้ของเขากำลังดิ้นรนเพื่อมิให้ถูกครอบงำนั้น สัตว์อสูรกลืนวิญญาณตนนี้ก็ได้พุ่งชนเข้าใส่ร่างของเขาอย่างเต็มกำลัง
หลงเฉินรับรู้ได้ว่าญาณหยั่งรู้ของตนนั้นกำลังถูกอีกฝ่ายกลืนกิน และเวลานี้ศรีษะของเขาก็ปวดร้าวอย่างที่สุด และแทบจะลืมตาขึ้นมองไม่ได้
หลังจากพยายามอยู่นาน ในที่สุดหลงเฉินก็สามารถลืมตาขึ้น และสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของพยัคฆ์กลืนวิญญาณ หลงเฉินพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้นยืนให้ได้อีกครั้ง แต่กลับทำมิได้ เวลานี้เขาทำได้เพียงแค่จ้องมองพยัคฆ์กลืนวิญญาณที่พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของตน และได้แต่คิดว่าการทดสอบคงต้องสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้เป็นแน่ และเขาคงมิถูกสังหารตายคาค่ายกล
“จะสิ้นสุดเพียงแค่นี้รึ? พลังความแข็งแกร่งของข้ามีเพียงแค่นี้เองหรือ? …ไม่.. ข้าจักต้องสู้ต่อ ข้าจักไม่ยอมแพ้ ข้าจักรวบรวมความแข็งแกร่งของตนเองขึ้นใหม่อีกครั้ง ข้าต้องเอาชนะศัตรูด้วยน้ำมือของตนเองให้ได้ จะมิมีสิ่งใดมาหยุดยั้งข้าได้!!!” หลงเฉินร้องตะโกนก้องอยู่ในใจ และพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับตวัดดาบในมือฟาดฟันไปมาก
แต่การจู่โจมเฮือกสุดท้ายของหลงเฉิน ก็หาได้ทำอะไรพยัคฆ์กลืนวิญญาณตนนี้ได้ไม่ นั่นเพราะพลังชี่ภายในร่างของเขาเริ่มเหือดแห้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามที่จะครองสติของตนเองไว้ให้ได้
พยัคฆ์กลืนวิญญาณพุ่งชนเข้าใส่ร่างของหลงเฉินอย่างรุนแรง จนร่างของเขากระเด็นลอยละลิ่วออกไปไกล เวลานี้หลงเฉินรู้สึกราวกับว่ากระดูกภายในร่างของตนได้แตกหัก สติก็คล้ายกำลังจะดับวูบลง และคิดว่านี่คงจะต้องสิ้นสุดการทดสอบแล้วจริงๆเป็นแน่
แต่ทันใดนั้น จู่ๆเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไป.. แล้วจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของหลงเฉินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของพยัคฆ์กลืนวิญญาณ ลูกนัยน์ตาสีทองสุกสว่างพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต มวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วห้วงอากาศ ก่อนจะกลับสู่ปกติดังเดิมเมื่อจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธหลับตาสีแดงโลหิตคู่นั้นลง..
อาการปวดศรีษะจนแทบแตกแยกออกเป็นเสี่ยงของหลงเฉินพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า หลงเฉินพยายามเรียกสติของตนเองกลับมา
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้น และหันมองไปรอบกาย แต่กลับพบว่าพยัคฆ์กลืนวิญญาณได้นอนกองแน่นิ่งอยู่กับพื้น หลงเฉินรู้ได้ทันทีว่ามวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลนั้น ถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในร่างของเขาในระหว่างที่เขาหมดสตินั่นเอง และได้ช่วยชีวิตเขาไว้ทันเวลา
หลงเฉินพอเข้าใจได้ว่า น่าจะเกิดจากจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตน แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เหตุใดจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธจึงได้แข็งแกร่ง ถึงขั้นสังหารสัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อีดใจ หลงเฉินไม่เคยได้ยินเรื่องราวอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย..
ก่อนที่หลงเฉินจะทันได้ครุ่นคิดอะไรมากไปกว่านี้ ภาพลวงตาตรงหน้าก็ได้มลายหายวับไป และพบว่าเวลานี้เขากำลังนั่งอยู่ด้านหลังของค่ายกลภายในห้อง
หลงเฉินพบว่าค่ายกลได้หยุดทำงานลงแล้ว และรู้ตนเองสามารถผ่านด่านทดสอบได้ทั้งห้าระดับแล้ว เขาจึงใช้ญาณหยั่งรู้ของตนสำรวจเข้าไปภายในร่างกายทันที และเริ่มตรวจดูจิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของตนเอง แต่กลับมิพบเห็นความผิดปกติใดๆแม้แต่น้อย
จิตวิญญาณผู้ฝึกยุทธของเขายังคงยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือข้างหนึ่งยังคงถือกระบี่ไว้ และไม่มีร่องรอยของมวลพลังวิญญาณแปลกประหลาดปรากฏอยู่ภายในร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย
……
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังอยู่ในด่านทดสอบระดับที่ห้านั้น อาวุโสหยางก็กำลังยืนอยู่ด้านนอก ดวงตาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่ด้านบนของประตูค่ายกล ผลึกใสทั้งห้าก้อนนั้นได้กลายเป็นสีเขียวถึงสี่ก้อนแล้ว ส่วนอีกหนึ่งก้อนยังคงเป็นสีเหลืองเช่นเดิม
ในเมื่อผ่านไปนาน แต่ผลึกใสก้อนที่ห้ายังคงไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว และหลงเทียนเองก็ยังไม่กลับออกมาเช่นนี้ อาวุโสหยางจึงคาดเดาว่า หลงเทียนจักต้องกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ภายในค่ายกลเป็นแน่
แม้อาวุโสหยางจะรู้ดีว่า ค่ายกลนี้มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เขาก็อดที่จะเป็นห่วงหลงเทียนไม่ได้อยู่ดี..
อาวุโสหยางยังคงยืนรออยู่ที่เดิม แต่แล้วจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลแผ่ซ่านที่ออกมาจากภายในห้อง ทำให้เขารู้สึกตกใจยิ่งนัก พลังวิญญาณเหล่านี้แตกต่างจากพลังวิญญาณที่เขาเคยพบเห็นมา คล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่ทรงพลังปะปนอยู่
อาวุโสหยางนึกประหลาดใจ และคิดว่าแหล่งพลังภายในค่ายกลอาจมีปัญหาก็เป็นได้ แต่ขณะที่เขากำลังจะทลายประตูเข้าไปนั้น พลังวิญญาณเหล่านั้นก็หายไปราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน จากนั้นเขาก็เห็นผลึกใสก้อนที่ห้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว!
อาวุโสหยางรีบเดินเข้าไปหาหลงเทียนในห้องทันที และพบว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่แกนของค่ายกลอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง..
“เทียนเอ๋อ.. เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง? พลังที่แผ่ซ่านออกมาเมื่อครู่คือสิ่งใดรึ?” อาวุโสหยางเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับสำรวจดูตามเนื้อตัวของหลงเทียนว่าได้รับบาดเจ็บที่ใดบ้าง
“ข้าเองก็หารู้ไม่ว่ามันคือสิ่งใด.. มันปรากฏขึ้นหลังจากที่ข้าสามารถผ่านด่านทดสอบระดับห้าได้ หรือจะมาจากค่ายกลนี่?” หลงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง พร้อมกับหันมองไปทางค่ายกล
“ท่านลุงหยาง หรือจะเป็นเพราะมีผู้ผ่านด่านทดสอบระดับห้าได้งั้นรึ?” หลงเฉินจ้องมองอาวุโสหยางพร้อมกับเอ่ยถาม ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะครุ่นคิดหาคำตอบไปด้วย
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น.. แต่ที่ผ่านมาก็ยังมิเคยมีผู้ใดผ่านด่านทดสอบระดับห้าได้ ข้าจึงมิกล้ายืนยันเช่นกัน!”
แม้แต่ตัวอาวุโสหยางเองยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้..
“ว่าแต่เจ้าผ่านด่านทดสอบระดับห้ามาได้อย่างไรกัน? นั่นต้องเป็นสัตว์อสูรวิญญาณระดับสิบเลยทีเดียวมิใช่รึ?” อาวุโสหยางเปลี่ยนเรื่องคุย และเริ่มตั้งคำถามที่ตนเองสงสัยใคร่รู้
“ข้าน่าจะโชคดีเสียมากกว่า ข้าคาดว่า.. ข้า..” ขณะที่หลงเฉินกำลังจะหาข้ออ้างตอบอาวุโสหยางอยู่นั้น จู่ๆประตูด้านในก็เปิดออก
“ท่านลุงหยาง ประตูเปิดออกแล้ว ไว้พวกเราค่อยคุยกันใหม่ ข้าไปก่อนละ่!” หลงเฉินกล่าวจบก็เดินตรงไปที่ประตูทันที
“เข้าไปเลยเทียนเอ๋อ ยุทธภัณฑ์ที่เหมาะกับเจ้าได้รอเจ้าอยู่ที่ปลายทางประตูแล้ว ข้าเชื่อว่าจักต้องเป็นยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขั้นสูงเป็นแน่!” อาวุโสหยางร้องบอกพร้อมกับจ้องมองไปที่ประตูด้านหน้า
หลงเฉินเดินผ่านประตูเข้าไป และเดินเรื่อยไปตามทาง ในที่สุดก็ไปถึงห้องห้องหนึ่งซึ่งมียุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณลอยอยู่..
หลงเฉินรู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนักแม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า หากสามารถผ่านด่านทดสอบระดับห้าได้ ก็จักได้เลือกสรรยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขั้นสูง แต่อาวุธที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นราชันแห่งยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณทั้งสิ้น และเขาจักเลือกชิ้นใดก็ได้ แต่ได้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น
หลงเฉินเริ่มเดินเข้าไปสำรวจดูอาวุธแต่ละชิ้น และพบว่ามีทั้งกระบี่ ดาบ หอก ทวน ขวาน ไม้เท้า และอีกมากมาย แม้กระทั่งค้อนที่กำลังสะท้อนแสงระยิบระยับ
แต่ในระหว่างที่เขากำลังพินิจดูอาวุธแต่ละชิ้นอยู่นั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นที่มุมห้องไกลๆ มีอาวุธชิ้นหนึ่งลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ดูคล้ายกับว่าอาวุธชิ้นอื่นๆมิกล้าที่จะเข้าใกล้มัน
หลงเฉินจึงก้าวเท้าตรงเข้าไปหาอาวุธชิ้นนั้นในทันที!