ตอนที่ 33 ดาบราชัน
หลงเฉินสังเกตเห็นยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณชิ้นหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว มิมีอาวุธใดกล้าที่จะล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของมัน หลงเฉินสะกิดใจทันทีว่า อาวุธชิ้นนั้นจักต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างจากยุทธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆ และมันก็คือดาบสีทองใหญ่เล่มหนึ่ง
หลงเฉินก้าวเข้าไปใกล้เพื่อให้สามารถมองเห็นดาบสีทองเล่มนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น และยิ่งเข้าใกล้เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษมากขึ้น
แม้รูปร่างของมันจะดูเหมือนดาบทั่วไปที่ล่องลอยอยู่ แต่ก็มีลักษณะจำเพาะที่มิเหมือนดาบเล่มอื่น หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยองที่แผ่ซ่านออกมาได้อย่างชัดเจน และเขาก็ตัดสินใจเลือกดาบเล่มนี้
หลงเฉินเอื้อมมือไปจับที่ด้ามของดาบเล่มนั้นไว้ แต่ทันทีที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสเข้ากับด้ามของมัน แรงต่อต้านรุนแรงก็ปรากฏขึ้นภายในตัวดาบจนเข้าสามารถสัมผัสได้
หลงเฉินพยายามออกแรงดึงดาบเล่มนั้นลงมา แต่ก็ยากยิ่งกว่าที่จะดึงลงมาได้ และท้ายที่สุดดาบสีทองเล่มนั้นก็ดิ้นหลุดจากมือของเขากลับไปลอยที่เดิม มิหนำซ้ำยังพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่นับว่ายังโชคดีที่เขาสามารถกระโดดหลบได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอยู่ดี
โลหิตของหลงเฉินเปื้อนคมดาบ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าคราบโลหิตของเขาที่ปรากฏบนดาบเล่มนั้น จะมีบางส่วนที่เป็นสีม่วงปะปนอยู่เล็กน้อย จากนั้นดาบสีทองก็ลอยกลับไปอยู่ที่เดิม และสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น
หลงเฉินจ้องมองดาบเล่มนั้นอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อพบว่ามันสงบนิ่งมิได้ขยับเขยื้อนแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น แต่ก็เตรียมพร้อมที่จะหลบเช่นกันหากถูกมันจู่โจมเข้าใส่อีกครั้ง น่าประหลาด.. ที่ครั้งนี้หลงเฉินเข้าไปใกล้ แต่ดาบกลับยังคงสงบนิ่งมิเคลื่อนไหวใดๆอีก
หลงเฉินตัดสินใจเอื้อมมือไปจับด้ามของมันดูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมิมีแรงต่อต้านดังก่อน ตรงกันข้าม.. หลงเฉินกลับรู้สึกว่าครั้งนี้ดาบหนักสีทองกลับคล้ายหวาดกลัวเขามากกว่า และดูเหมือนจะยอมรับเขาเป็นเจ้านายของมันแล้ว
หลงเฉินกำลังจะนำดาบสีทองเก็บเข้าไปไว้ในแหวนบรรจุ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า อาวุโสหยางซึ่งรออยู่ด้านนอกคงต้องการเห็นอาวุธที่เขาเลือกเป็นแน่ และหากอาวุโสหยางมิเห็นเขาถืออาวุธที่เลือกออกไปด้วย คงจักต้องสงสัยว่าเขามีแหวนบรรจุเป็นแน่
แม้หลงเฉินจะรู้ว่าอาวุโสหยางเป็นคนซื่อสัตย์มากคนหนึ่ง และคงไม่คิดแย่งชิงแหวนบรรจุจากเขา แต่หลงเฉินก็รู้สึกว่าควรต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจะดีกว่า
หลงเฉินหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าอาวุธอื่นๆที่ล่องลอยู่ภายในห้องเมื่อครู่นั้น ได้อันตธานหายไปหมดแล้ว..
“ไม่เลวทีเดียว ดูเหมือนนี่จะเป็นวิธีป้องกันมิให้ผู้ฝึกยุทธ์นำอาวุธออกไปจากห้องนี้ได้มากกว่าหนึ่งชิ้นสินะ ทันทีที่หยิบอาวุธไปแล้วหนึ่งชิ้น ชิ้นอื่นๆก็จะอันตธานหายไปทันที” หลงเฉินสังเกตเห็นประตูเล็กๆที่เปิดออก จึงพอคาดเดาได้ว่ายุทธภัณฑ์ทั้งหมดนั้นคงถูกส่งไปเก็บในสถานที่ที่มิมีผู้ใดล่วงรู้
จากนั้นหลงเฉินก็ก้าวเดินออกมาจากห้อง..
อาวุโสหยางยังคงรอคอยหลงเทียนอยู่ภายในห้องค่ายกลเช่นเดิม สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลงเทียนที่กำลังเดินออกมา แต่เมื่อได้เห็นอาวุธในมือที่ถือออกมาด้วย อาวุโสหยางก็ถึงกับอ้าปากค้างทันที!
“ท่านลุงหยาง เหตุใดจึงต้องตกใจเช่นนั้นด้วยเล่า? แม้ข้าจะได้รับยุทธภัณฑ์ขั้นวิญญาณระดับสูงสุด แต่ก็ไม่เห็นต้องตกใจถึงเพียงนี้มิใช่รึ?” หลงเฉินหัวเราะออกมาขณะที่จ้องมองใบหน้าตกอกตกใจของอาวุโสหยาง
“เทียนเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือดาบอันใด?” อาวุโสหยางถามขึ้นด้วยสีหน้าที่แปลกไป
“ข้ามิรู้เลย.. หากท่านลุงหยางรู้ ได้โปรดบอกแก่ข้าจะได้หรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของอาวุโสหยาง
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพเสียนหวู่บ้างหรือไม่?” อาวุโสหยางเอ่ยถามหลงเฉินพร้อมกับจ้องมองไปที่ดาบสีทองในมือของเขา
“ข้าย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ในดินแดนนี้มีผู้ใดบ้างที่มิรู้จักปฐมกษัตริย์เสียนหวู่บ้างเล่า?”
“พระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกของแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ เป็นราชาที่กล้าหาญและแข็งแกร่งยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นราชาที่นำความอยู่รอดให้เกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์” หลงเฉินบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้จากความทรงจำของหลงเทียน
“หลายศตวรรษที่ผ่านมา มนุษย์อย่างเราหาได้เก่งกาจอันใดไม่ ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของแคว้นอันยิ่งใหญ่ มนุษย์คือผู้ที่อยู่ลำดับล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเสมอ แม้จะสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้ แต่ก็มิเคยได้อยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่นใดเลยโดยเฉพาะเผ่าพันธ์ุของสัตว์ป่า”
“แม้นมนุษย์เราจักอยู่ร่วมกันได้กับเผ่าพันธุ์อื่น แต่ก็หาได้มีอาณาเขตเป็นของตนเองอย่างชัดเจน จนกระทั่งปฐมกษัตริย์เสียนหวู่ปรากฏขึ้น” อาวุโสหยางเป็นฝ่ายกล่าวเสริม
“ปฐมกษัตริย์เสียนหวู่นั้นแข็งแกร่งและเก่งกาจมาตั้งแต่เยาว์วัย พระองค์นับเป็นเด็กที่มีความน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถทำในสิ่งที่มนุษย์ผู้อื่นมิอาจทำได้ตั้งแต่เล็ก เมื่อเติบใหญ่ได้จึงเป็นผู้ก่อตั้งดินแดนแห่งแรกของมนุษย์ขึ้น”
“ปฐมกษัตริย์เสียนหวู่นั้นแข็งแกร่งจนสามารถขยายอาณาเขตดินแดนของมนุษย์ไปได้กว้างไกล และทำให้มนุษย์ได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่น”
“ท่านลุงหยาง ท่านกำลังจะบอกข้าว่าดาบเล่มนี้เกี่ยวข้องกับปฐมกษัตริย์เสียนหวู่งั้นรึ?” หลงเฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาวุโสหยางจึงต้องเล่าเรื่องของปฐมกษัตริย์เสียนหวู่ขึ้นมา แต่หลังจากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าหรือดาบเล่มนี้จะเกี่ยวพันกับปฐมกษัตริย์
“ดาบเล่มนี้.. ถูกขนานนามว่าดาบราชัน ว่ากันว่าดาบเล่มนี้เป็นของปฐมกษัตริย์เสียนหวู่ ที่พระองค์เคยใช้เมื่อครั้งอยู่ในอาณาจักรผสานวิญญาณหรือเหนือกว่า..” อาวุโสหยางตอบหลงเฉินที่กำลังทำสีหน้างุนงง
“จริงรึนี่? แล้วเหตุใดดาบเล่มนี้จึงมาอยู่ที่ตระกูลหลงได้เล่า?” หลงเฉินร้องถามขึ้นด้วยความตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าดาบราชันของปฐมกษัตริย์เสียนหวู่ จะมาอยู่ในห้องเก็บยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณรอให้ผู้ผ่านการทดสอบเลือกเฟ้นเช่นนี้
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักหรอกนะ.. ว่ากันว่าประมุขคนแรกของตระกูลหลงได้ดาบเล่มนี้มาจากสถานที่แห่งหนึ่ง ท่านประมุขได้ให้ยอดฝีมือทั้งหมดที่เข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณ และอาณาจักรแก่นปราณทองคำทุกคน ได้ทดลองสื่อสารกับดาบเล่มนี้ เพื่อจะดูว่ามีผู้ใดที่ควรค่าแก่การได้ครอบครองดาบเล่มนี้หรือไม่? แต่ทว่า.. กลับมิมีผู้ใดสามารถทำให้ดาบเล่มนี้ยอมรับได้เลย”
“ครั้งนั้น ประมุขตระกูลหลงถึงกับผิดหวังยิ่งนัก จึงได้นำดาบเล่มนี้ไปเก็บรวมไว้กับยุทธภัณฑ์ระดับวิญญาณขั้นสูงสุด เพื่อรอให้ผู้ที่สามารถผ่านด่านทดสอบได้คัดเลือก
“ฉะนั้นแล้ว.. จะมีเพียงผู้ที่ผ่านด่านทดสอบระดับห้านี้ได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้สื่อสารกับดาบเล่มนี้ และคนผู้นั้นจักต้องพยายามทำให้มันยอมรับให้ได้ นี่คงจักเป็นวิธีเฟ้นหาผู้ที่ควรค่าแก่การครอบครองดาบเล่มนี้ แต่น่าเสียดาย.. ที่ผ่านมายังมิเคยมีผู้ใดผ่านด่านทดสอบระดับห้านี้ไปได้เลยแม้แต่คนเดียว!” อาวุโสหยางตอบหลงเฉิน
“แต่ต่อให้เจ้าผ่านด่านทดสอบระดับห้าไปได้ ข้าก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อว่า ดาบผยองเล่มนี้จักยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายได้!” อาวุโสหยางเอ่ยต่อพร้อมกับจ้องมองไปทางดาบสีทอง
ดาบในมือของหลงเฉินเปล่งประกายวูบวาบขึ้นทันที คล้ายกับจะบอกว่ามันไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าดาบผยองเช่นนั้น หลงเฉินเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา และได้แต่คิดว่าดาบเล่มนี้ช่างมีนิสัยดื้อดึงราวกับเด็กนัก..
“ไม่แน่ว่าวันนี้อาจเป็นวันโชคดีของข้าก็เป็นได้!” หลงเฉินกล่าวติดตลกในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอาวุโสหยาง
“ท่านลุงหยาง นี่ก็สายมากแล้ว ข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องไปจัดการ ข้าต้องรีบไปแล้ว ไว้พบกันใหม่” หลงเฉินตัดสินใจบอกลาอาวุโสหยาง ในเมื่อเวลานี้เขาได้อาวุธมาแล้ว ได้เวลาที่เขาจักต้องไปสะสางปัญหาที่ค้างคาเสียที..