ตอนที่ 34 เชื้อพระวงศ์?
ขณะที่หลงเฉินก้าวเดินออกจากโถงสมบัตินั้น อาวุโสหยางก็ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่นาน จนกระทั่งล่วงเลยไปครู่ใหญ่ เขาจึงก้าวเดินออกจากโถงสมบัติไปเช่นกัน อาวุโสหยางกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนของหลงเหรินผู้เป็นประมุขตระกูลหลง
ในขณะที่หลงเหรินนั้น เมื่อเดินออกจากโถงสมบัติก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของซือหม่าจวีอี๋ทันที หลงเฉินจำต้องไปบอกกล่าวนางให้รู้ล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง เพราะครั้งนี้ตนเองคงต้องไปหลายวัน นางจักได้ไม่ต้องเป็นกังวลใจ
ระหว่างทาง.. หลิงเฉินได้เดินผ่านหอฝึกยุทธ แต่ตัดสินใจที่จะมิเดินเข้าไปด้านใน แม้เขาจะมั่นใจในพลังบ่มเพาะขั้นอาณาจักรผสานวิญญาณของตน แต่ระยะเวลายังคงสั้นเกินไป
เมื่อไปถึงห้องของซือหม่าจวี้อี๋ หลงเฉินก็ยกมือขึ้นเคาะประตูทันที เมื่อนางเปิดประตูออกมา หลงเฉินก็รีบบอกกับนางว่า ยามนี้เขาฟื้นคืนกลับเป็นปกติแล้ว จำต้องออกเดินทางไปยังป่าเหนือทมิฬ เพื่อฝึกปรือวรยุทธด้วยการต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูร อีกทั้งยังจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองด้วย และคงจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองสามวันกว่าจะกลับ
ซือหม่าจวี้อี๋ดูเหมือนจะไม่ยินยอมและห้ามปรามมิให้หลงเฉินไป แต่เขาก็ได้โกหกนางว่าหลงเหรินเป็นผู้อนุญาตให้เขาไปแล้ว อีกทั้งยังจัดหาผู้อารักขาขั้นแก่นปราณทองคำให้ติดตามเขาไปด้วยถึงสองคน เขารับปากกับนางว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย และขอให้นางอย่าได้เป็นห่วง
“เอาล่ะ.. ในเมื่อท่านพ่ออนุญาต อีกทั้งยังจัดให้ผู้อารักขาขั้นแก่นปราณทองคำติดตามเจ้าไปด้วยถึงสองคนเช่นนี้ ข้าก็จักยินยอมให้เจ้าไป อีกอย่าง.. ป่าเหนือทมิฬก็หาได้มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าระดับวิญญาณไม่..” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยปากบอกหลงเทียนผู้เป็นลูก
“ว่าแต่เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดรึ? ข้าจะได้สั่งให้คนจัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้เจ้านำติดตัวไปด้วย” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยถาม
“เอ่อ.. ข้ากำลังจะออกเดินทางพอดี หากท่านแม่ให้คนจัดเตรียมให้ข้าได้เลยก็จักดีไม่น้อย!” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องหน้าซือหม่าจวี้อี๋
ซือหม่าจวี้อี๋มีท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ นางจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านจัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้กับหลงเฉินด้วยตัวเอง หลงเฉินถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่า ซือหม่าจวี้อี๋ได้เตรียมอาหารให้กับเขาไปมากมาย และอาหารทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะให้เขาอยู่ในป่าได้นานมากกว่าหนึ่งอาทิตย์เลยทีเดียว
หลงเฉินร่ำลาซือหม่าจวี้อี๋ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังประตูทิศอุดรของตระกูลหลง ที่นั่น.. หลงเฉินได้สั่งให้คนขับรถม้าเตรียมพร้อมรอเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ทันทีที่เขาขึ้นไปนั่ง รถม้าก็เริ่มเคลื่อนที่ออกจากประตูทิศอุดรนี้ และมุ่งหน้าสู่ดินแดนทางด้านเหนือของเมืองมังกรในทันที
…..
ในระหว่างที่หลงเฉินเดินทางออกจากตระกูลหลงไปนั้น อาวุโสหยางเองก็เพิ่งกลับจากไปพบหลงเหรินที่เรือนของเขาเช่นกัน เขาตั้งใจจะไปที่นั่นเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนชั้นสองของโถงสมบัติ และความสำเร็จอันน่าอัศจรรย์ของหลงเทียนให้หลงเหรินฟังนั่นเอง
แต่เมื่ออาวุโสหยางไปถึงก็ได้ทราบว่า ประมุขหลงเหรินเพิ่งจะออกไปข้างนอกเช่นกัน..
อาวุโสหยางรู้เพียงแค่ว่า หลงเหรินออกเดินทางไปเมืองข้างๆนี้ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญ และมิรู้ว่าจะกลับเมื่อใด เขาจึงได้แต่เดินกลับโถงสมบัติ และรอคอยจนกว่าหลงเหรินจะกลับมาเท่านั้น
ระหว่างทางที่รถม้าของหลงเฉินมุ่งหน้าไปยังป่าเหนือทมิฬนั้น เขาก็นั่งอ่านตำราอยู่ภายในรถอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกก่อนหน้านั้น หลงเฉินหาได้ชื่นชอบการอ่านหนังสือในยามว่างเช่นนี้ไม่ เขาจะอ่านเฉพาะหนังสือเรียน และในเวลาที่ใกล้สอบเท่านั้น
แต่ยามนี้หลงเฉินตระหนักดีแล้วว่า การอ่านตำราทำให้เขามีความรู้รอบตัวมากมาย และเวลานี้เขาได้กลายมาเป็นผู้ที่ชื่นชอบการอ่านมากไปแล้วผู้หนึ่ง หลงเฉินอดคิดไม่ได้ว่า ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะความทรงจำของหลงเทียนก็เป็นได้..
ในระหว่างที่หลงเฉินนั่งอ่านตำราอยู่ในรถม้าอย่างมีความสุขนั้น รถม้าของหลงเฉินก็แล่นไปตามทางอย่างราบรื่น มิมีผู้ใดกล้าขวางเส้นทางที่รถม้าของตระกูลหลงวิ่งผ่านไป จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ ในที่สุดรถม้าของเขาก็วิ่งเข้าสู่ดินแดนด้านเหนือของเมืองมังกร
หลงเฉินชะเง้อมองดูภาพภายนอกจากหน้าต่างรถม้า..
เขาสังเกตเห็นว่าดินแดนแห่งนี้หาได้รุ่งเรืองดังเช่นดินแดนด้านใต้ซึ่งเป็นที่อยู่ของตระกูลหลง แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้ว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะดินแดนด้านเหนือหาได้มีตระกูลใหญ่ใดอาศัยอยู่นั่นเอง เพราะตระกูลฉินก็ครอบครองดินแดนตะวันออก ในขณะที่ตระกูลกู่ก็ครอบครองดินแดนตะวันตก..
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ดินแดนด้านเหนือมิได้มีทรัพยากรที่มั่งคั่ง แม้จะไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้นับว่าดีมากเท่าใด แม้บ้านเรือนจะมิได้โอ่โถงใหญ่โต แต่ก็ใช่ว่ายากจนข้นแค้น หรืออ่อนแอเสียทีเดียว เพราะอย่างไรดินแดนนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิซุย อย่างไรราชสำนักคงต้องดูแลไม่ทิ้งขว้าง
รถม้าของหลงเฉินยังคงแล่นตรงไปอีกครู่หนึ่ง และในที่สุดก็มาถึงชายแดนทางด้านเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของป่าเหนือทมิฬ..
หลงเฉินก้าวลงจากรถม้า เข้ากำชับคนขับรถม้าให้รอเขาอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะกลับออกมา ในระหว่างนั้นสายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นรถม้าอีกสองคันที่จอดอยู่เช่นกัน
เขาจำสัญลักษณ์บนรถม้าทั้งสองได้อย่างชัดเจน รถม้าคันหนึ่งมีสัญลักษณ์มังกรประดับอยู่ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นรถม้าตระกูลหลง และหลงเฉินก็คาดว่าต้องเป็นรถม้าของหลงซูซึ่งมาที่นี่เช่นกัน
ส่วนอีกคันนั้นหลงเฉินรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะรถม้าคันที่สองนั้นมีสัญลักษณ์รูปจันทราติดอยู่..
“เหตุใดพวกเขาจึงมาที่นี่ด้วย?” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองขณะที่จ้องมองรถม้าคันที่สอง
หลงเฉินรู้ดีว่าสัญลักษณ์จันทรานี้เป็นของตระกูลเย่ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซุย
‘เชื้อพระวงศ์ในวังก็มาที่นี่ด้วยงั้นรึ? หากมีผู้อื่นมากับหลงซูด้วยเช่นนี้ คงจักต้องเป็นปัญหาแน่’ หลงซูครุ่นคิดขณะที่เดินตรงไปยังรถม้าคันนั้น
“นี่เจ้า.. รถม้านี้เป็นของผู้ใดงั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามคนขับรถม้าที่นั่งหลับตาอยู่
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร? ตราสัญลักษณ์ข้างรถก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นรถม้าของเหล่าราชวงศ์” คนขับรถม้าตะคอกใส่ขณะที่ลืมตาขึ้น แต่เมื่อเห็นอาภรณ์สง่างามสีทองที่หลงเฉินสวมใส่ เขาก็รีบหุบปากทันที
คนขับรถม้าหันมองไปรอบๆ และเมื่อเห็นรถม้าคันที่สามจอดอยู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นรถม้าของตระกูลหลง แม้เขาจะเป็นคนขับรถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ไม่อาจหาญที่จะเสียมารยาทกับทายาทของสามตระกูลใหญ่เช่นนี้แน่ และเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะอายุเพียงแค่ 12-13 ปีเท่านั้น แต่กลับมีรถม้ามาส่งตามลำพังเช่นนี้ ฐานะของเขาย่อมมีความสำคัญยิ่ง จึงมั่นใจว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าตนเวลานี้จักต้องเป็นทายาทตระกูลหลงคนใดคนหนึ่งเป็นแน่..
“นายน้อยตระกูลหลง ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
“ตั้งแต่ข้ามาจอดรถม้าไว้ที่นี่ ก็มีคนเข้ามาสอบถามข้าด้วยคำถามเช่นเดียวกันนี้ ข้าจึงคิดว่าเป็นคนพวกนั้นกลับมาถามอีก จึงไม่ทันดูให้ดีก่อนว่าเป็นนายน้อยตระกูลหลง..”
คนขับรถม้ารีบเอ่ยขอโทษขอโพยหลงเฉินทันที..
“ไม่เป็นไร.. ข้านามว่าหลงเทียนแห่งตระกูลหลง คราวนี้เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า ผู้ใดกันที่มากับรถม้าของเจ้า และเขาได้เข้าไปในป่าพร้อมกับนายน้อยตระกูลหลงอีกคนหรือไม่?” หลงเฉินรีบเอ่ยถามต่อทันที