ตอนที่ 36 พบเชื้อพระวงศ์
หลงเฉินยังคงเดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทางที่เดินไปนั้น เขาได้พบสัตว์อสูรมากมาย และทุกครั้งเขาจะลงมือสังหารมันโดยไม่ลังเล แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังมิได้พบเจอสัตว์อสูรวิญญาณที่เหนือกว่าระดับเจ็ดเลย
“ข้าพบเจอสัตว์อสูรมากมายหลายตน แต่กลับไม่พบร่องรอยของหลงซูเลยแม้แต่น้อย ข้าคงต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่านี้ จะได้ตามพวกเขาให้ทัน.. น่าเสียดายยิ่งนักที่ในป่ามีผู้ฝึกยุทธคนอื่นอยู่ด้วย หาไม่แล้วข้าคงสามารถใช้ปีกมารสวรรค์บินไปแทนการเดินได้” หลงเฉินได้แต่บ่นพึมพำกับตนเองในขณะที่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ระหว่างทางหลงเฉินก็ได้สังหารเหล่าสัตว์อสูรไปด้วย และนั่นทำให้ทักษะด้านวรยุทธต่อสู้ของหลงเฉินเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
“ยิ่งได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรมากเพียงใด ทักษะในวรยุทธต่อสู้ของข้าก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วมากเท่านั้น มิน่า.. เหล่าผู้ฝึกยุทธจึงมักจะมาที่ป่าแห่งนี้เพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรวิญญาณ!” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองเมื่อรู้สึกว่า วรยุทธต่อสู้ของตนนั้นก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้
หลังจากเดินทางและต่อสู้มาตลอดทั้งวันแล้ว หลงเฉินจึงได้เดินหาที่ปลอดภัยสำหรับนอนหลับพักผ่อน เพราะในยามนี้ท้องนภาเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อยๆแล้ว
“ค่ายกลงั้นรึ? ดูเหมือนจะมีผู้ฝึกยุทธอยู่บริเวณนี้ด้วย..”
ขณะที่หลงเฉินกำลังเดินหาที่ปลอดภัยสำหรับนอนหลับพักผ่อนนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าตนเองได้เดินหลงเข้าไปในค่ายกลแห่งหนึ่ง แต่หลงเฉินก็หาได้ตื่นตระหนกอะไรนัก เพราะรู้ว่านี่เป็นเพียงค่ายกลเตือนภัยเท่านั้น ผู้ที่วางค่ายกลนี้เพียงแค่ต้องการรู้ตัวเมื่อมีบุคคลอื่นล่วงล้ำเข้ามาในเขตของตนเองเท่านั้น
หลงเฉินเดินตรงไปยังแกนค่ายกล และสังเกตเห็นว่ามีคนสองคนกำลังยืนอยู่กลางค่ายกลเวลานี้..
‘อืมม.. ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเราก็พบกันจนได้สินะ!’ หลงเฉินคาดเดาอยู่ภายในใจเงียบๆ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่อาภรณ์งดงามที่คนทั้งคู่สาวมใส่ ก่อนจะพิศมองใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายของชายหนุ่ม และเส้นผมที่ดำขลับกับนัยน์ตาสีฟ้าที่ขับให้ดวงหน้านั้นโดดเด่นมากขึ้น
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลงเฉินนั้นกลับเป็นเรือนร่างที่สองต่างหาก นางเป็นสาวน้อยที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยเพียงแค่สิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น ดวงหน้าออกไปทางน่ารักเสียมากกว่า ผมยาวสลวยนั้นเป็นสีน้ำเงิน ในขณะที่นัยน์ตาทั้งสองข้างเป็นสีฟ้าเช่นเดียวกับชายหนุ่มอีกคน สีหน้าท่าทางของนางช่างใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก ราวกับว่าชีวิตนี้ยังมิเคยทำเรื่องผิดมาก่อน
“คนตระกูลหลงงั้นรึ? เจ้ายังเด็กนัก.. มาทำอะไรที่ป่าแห่งนี้รึ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลงเฉินหลังจากสังเกตเห็นอาภรณ์ที่เขาสวมใส่
“องค์ชายสอง.. องค์หญิงสาม.. คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับพวกท่านทั้งสองที่นี่..” หลงเฉินเอ่ยทักทายทั้งสองคนทันที
“เอ๊ะ.. นี่เจ้ารู้จักฐานะของพวกข้าด้วยรึ? อ่อ.. คงจะคาดเดาจากอาภรณ์ที่พวกข้าสวมใส่สินะ? เช่นเดียวกับที่ข้าเองก็คาดเดาจากอาภรณ์ที่เจ้าสวมใส่ว่า จักต้องเป็นคนตระกูลหลง..”
“หากเจ้าจักรู้ว่าพวกข้ามาจากในวังก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก แต่นี่เจ้ากลับรู้ด้วยว่าข้าคือองค์ชายสอง เย่วหรวน ส่วนนางคือองค์หญิงสาม เย่วเฟย..” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามหลงเฉินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับเก็บกระบี่ของตนกลับไป
“องค์จักรพรรดิมีโอรสเพียงแค่ห้าองค์ และธิดาอีกสี่คนเท่านั้น เวลานี้องค์รัชทายาทก็มีชันษาสิบแปดปีพอดี แต่ตัวท่านเองหาได้มีอายุขนาดนั้นไม่ ส่วนองค์ชายสี่ก็มีชันษาเพียงแค่สิบสองปีเท่านั้น ฉะนั้นแล้ว.. หากท่านมิใช่องค์ชายสอง ก็ต้องเป็นองค์ชายสาม”
“แต่องค์ชายสามนั้นมีเส้นผมสีแดงเช่นเดียวกับพระมารดา ในขณะที่องค์ชายสองกลับมีเส้นผมดำขลับเยี่ยงพระบิดา..”
หลงเฉินเอ่ยวาจาโกหกได้เป็นฉากๆว่าเขาสามารถล่วงรู้ฐานะของคนทั้งสองได้อย่างไร? แต่ต่อให้เขามิได้ล่วงรู้ฐานะของทั้งคู่จากคนขับรถม้ามาก่อน หลงเฉินก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ก็คือองค์ชายสองเย่วหรวน..
“นับว่าเป็นการคาดคะเนที่มีหลักการและเหตุผลยิ่งนัก แต่เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจว่าข้าจักเป็นหนึ่งในองค์ชายทั้งสี่เล่า? ตระกูลราชวงศ์หาได้มีเพียงเสด็จพ่อของข้าเท่านั้น ยังมีท่านลุงและเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆอีกมากมาย ภายในวังก็มีหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับข้าและเย่วเฟิงอยู่มากมาย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจักมิใช่เชื้อพระวงศ์เหล่านั้น?” องค์ชายเย่วหรวนยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัย พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลงเฉิน
“องค์ชายจักเชื่อหรือไม่ หากข้าจักตอบว่าเป็นเพราะรัศมีที่สง่างามในตัวท่าน?” หลงเฉินกล่าววาจาโกหกอย่างหน้าไม่อาย
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นคำตอบที่ดีทีเดียว ข้าชื่นชอบเจ้ายิ่งนักสหายน้อย!” องค์ชายเย่วหรวนหัวเราะออกมาเสียงดัง และพึงพอใจกับคำตอบของหลงเฉินยิ่งนัก
“เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าก็คือองค์ชายสองเย่วหรวน ส่วนนี่คือน้องสาวของข้าองค์หญิงสามเย่วเฟย..”
“สหายน้อย เจ้ามีนามอันใดรึ?” หลังจากที่องค์ชายเย่วหรวนแนะนำตนเองแล้ว จึงรีบเอ่ยถามชื่อของหลงเฉินทันทีเช่นกัน
“ข้าน้อยหลงเทียน..” หลงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลงเทียน? จริงรึนี่?” องค์ชายเย่หรวนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ แม้แต่องค์หญิงเย่วเฟิยยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน
“เหตุใดองค์ชายและองค์หญิงจึงได้มีสีหน้าตกอกตกใจเช่นนั้นเล่า? หรือมีข่าวลือที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับตัวข้า?” หลงเฉินเอ่ยถามยิ้มๆ
“หาใช่ข่าวลือไม่ดีอันใด.. เพียงแต่สิ่งที่ข้าได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับตัวเจ้านั้น แตกต่างจากที่ได้เห็นในตอนนี้มาก นี่เจ้าคือหลงเทียนจริงรึ?” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามย้ำด้วยความสงสัย และแววตาก็เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ
แม้หลงเฉินจักรู้ดีว่า เหตุใดทั้งสองคนจึงได้มีสีหน้างุนงงสงสัยเช่นนี้ แต่ก็แสร้งถามกลับไป “ท่านได้ยินเรื่องใดเกี่ยวกับข้ามางั้นรึ?”
“เรื่องของนายน้อยหลงเทียนมีผู้ใดในจักรวรรดิซุยมิรู้เล่า.. ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในด้านวรยุทธบ่มเพาะยิ่งนัก สามารถเข้าสู่อาณาจักรปรับกายาขั้นสูงสุดได้ในวัยเพียงแค่แปดปีเท่านั้น! เสด็จพ่อยังชอบล้อเล่นอยู่บ่อยๆว่า หากเจ้าเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ก็คงจะดีไม่น้อยทีเดียว” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยตอบ
“แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวทั้งหมดกลับเปลี่ยนไปเมื่อเจ้าถูกลอบทำร้าย ผู้คนต่างก็ร่ำลือว่าเจ้าได้รับความกระทบกรเทือนใจอย่างรุนแรง นับแต่นั้นมาเจ้าก็สูญเสียสภาพเดิมไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่หมอหลวงเองก็ยังมิสามารถรักษาเจ้าได้..”
“เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้ายังได้ยินว่าเจ้าหายไปจากตำหนักตระกูลหลงนานถึงสองวัน ทหารตระกูลหลงต่างก็พากันออกตามหาตัวเจ้าไปทั่วทั้งเมือง ข่าวคราวนี้แพร่สะพรัดไปทั่วทุกหัวมุม แต่จู่ๆกลับมาพบเจ้าที่นี่ จะมิให้ข้าตกใจได้อย่างไรกันเล่า?” องค์ชายเย่หรวนอธิบายอย่างละเอียด
“เรียนองค์ชาย ข้าฟื้นคืนกลับเป็นปกติแล้ว อีกทั้งที่หายตัวไปสองวันก่อนหน้านั้น ก็ได้กลับเข้าตระกูลหลงแล้ว นี่ก็เพิ่งเดินทางออกจากตระกูลหลงอีกครั้ง..” หลงเฉินเอ่ยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
ระหว่างที่พูดนั้น สายตาของหลงเฉินก็เหลือบมองไปทางองค์หญิงเย่วเฟิงอยู่เป็นครั้งคราว และองค์ชายเย่หรวนก็สังเกตเห็น..