ตอนที่ 45 หน้ากากอาถรรพ์มายา
ทันทีที่หลงเฉินสวมหน้ากากลงบนใบหน้าของตนเอง ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับหน้ากากก็ได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างมากมาย หลงเฉินมิรู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากตัวหน้ากากเอง หรือว่าสิ่งอื่นกันแน่?
‘หน้ากากอาถรรพ์มายางั้นรึ? เหตุใดจึงมีชื่อเรียกขานแปลกประหลาดเช่นนี้?’ หลงเฉินเฝ้าครุ่นคิดถึงชื่อที่แปลกประหลาดของมัน ในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากนี้ยังคงไหลหลั่งเข้าสู่จิตใจของเขาไม่ขาดสาย
หลังจากที่ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับหน้ากากได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของหลงเฉินจนหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับหน้ากากนี้
“ดูเหมือนจะมีสามเรื่องหลักๆเกี่ยวกับหน้ากากนี้ที่ข้าควรต้องจดจำให้แม่นยำสินะ! ประการแรก.. หน้ากากนี้สามารถเปลี่ยนใบหน้าของข้าได้ ทำให้ข้ามีใบหน้าแตกต่างไปราวกับมิใช่คนเดิม เพียงแค่คิดนึกว่าต้องการมีใบหน้าเช่นใด ใบหน้าของข้าก็จักเปลี่ยนไปทันที!
“ประการที่สอง.. ระยะเวลามีจำกัดเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้น และประการสุดท้าย.. ระยะเวลาที่จำกัดนี้สามารถเพิ่มขึ้นได้ตามพลังการบ่มเพาะของข้าเอง ฉะนั้นแล้ว หากข้าเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำได้เมื่อใด ระยะเวลาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
“ช่างน่าเสียดายนักที่มิมีข้อมูลเกี่ยวกับระดับขั้นของหน้ากากนี้ ข้าจึงมิอาจรู้ว่ามันคือสมบัติระดับวิญญาณ หรือระดับล้ำเลิศกันแน่? หรืออาจจะสูงกว่านั้นก็เป็นได้..”
“น่าเสียดายที่หน้ากากนี้สามารถเปลี่ยนเฉพาะใบหน้าได้เท่านั้น หาได้เปลี่ยนรูปกายเดิมของข้าได้ด้วย แต่เอาเถิด.. อย่างน้อยเปลี่ยนใบกับเส้นผมได้ก็ดีมากแล้ว!” หลงเฉินพึมพำกับตนเองหลังจากที่ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหน้ากากใบนี้
“อ่อ.. หน้ากากนี่ยังใช้เหมือนหน้ากากธรรมดาทั่วไปได้อีกด้วย เพียงแต่สวมใส่หน้ากากทองคำเช่นนี้ คงจักสะดุดตาผู้พบเห็นยิ่งนัก!”
หลงเฉินถอดหน้ากากออกมาพร้อมกับพินิจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นจึงตัดสินใจเก็บหน้ากากเข้าไปไว้ในแหวนบรรจุ และเวลานี้เขาก็กำลังใคร่ครวญว่าจักทำสิ่งใดต่อจากนี้ดี..
“ข้าจักเดินทางเข้าไปในป่าลึกกว่านี้เพื่อฝึกฝนตนเองดี หรือควรกลับตระกูลหลงในทันที?” หลงเฉินพึมพำออกมาในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังทิศเบื้องหน้า
“ไม่ดีกว่า.. ข้าควรจักต้องกลับตระกูลหลงทันที ในเมื่อภารกิจของข้าสำเร็จลุล่วงแล้ว วันหน้าหากต้องการ ข้ายังสามารถมาที่นี่ได้ใหม่”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลงเฉินจึงหันหลังเดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิมที่มาทันที..
“หวังว่าท่านแม่จักยังมิล่วงรู้เรื่องที่ข้าโกหกนางว่าท่านปู่ยินยอมให้ข้ามาที่ป่าเหนือทมิฬแห่งนี้นะ” หลงเฉินบ่นพึมพำพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกันก็เปิดสัมผัสเทวะของตนออกสำรวจสิ่งรอบตัวไปด้วย
ระหว่างทางกลับนั้น หลงเฉินได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับวิญญาณอีกสองสามตัว แต่เขาก็สามารถสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย
หลังจากออกเดินทางกลับมาได้ราวครึ่งวัน ท้องนภาก็เริ่มมืดครึ้มลงอีกครา แต่ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังคิดจะตระเตรียมที่นอนนั้น เขาก็ยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสเทวะของตนสำรวจพบอะไรบางอย่าง หลงเฉินตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปทันที และในที่สุดเขาก็จงใจเดินเข้าไปภายในค่ายกล..
‘ยังคงใช้ค่ายกลเช่นเดิมสินะ!’ หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ และหลังจากเดินตรงเข้าไปไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้พับกับบุคคลที่เขากำลังมองหา
“พวกเราพบกันอีกครั้งแล้วสินะองค์ชายสอง.. องค์หญิงสาม..”
หลงเฉินเดินเข้าไปทักทายองค์ชายเย่วหรวน และองค์หญิงเย่วเฟยในทันที พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างสดใสให้..
‘ยามเจ้าเด็กนี่แย้มยิ้ม หน้าตาของเขากลับดูหล่อเหลาขึ้นเป็นกองทีเดียว!’ องค์ชายเย่วหรวนแอบคิดอยู่ในใจขณะที่จ้องมองหลงเฉินตาไม่กระพริบ
“น้องชาย.. อย่าบอกนะว่าเจ้าตั้งใจรอให้ค่ำมืด เพียงเพื่อต้องการเดินเข้ามาภายในค่ายกลเตือนภัยของข้า?” องค์ชายเย่วหรวนหยอกเย้าหลงเฉินพร้อมกับยิ้มตอบ
“ใครบอกเล่าองค์ชาย.. นับเป็นความโชคดีของข้าต่างหากที่บังเอิญมาพบพวกท่านในเวลานี้ ทำให้ข้ามีโอกาสได้เห็นดวงจันทราพร้อมกันคราเดียวถึงสองดวง หากข้าพบเจอกับพวกท่านในยามกลางวัน คงมิอาจมีโอกาสดีเช่นนี้ ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ในขณะที่องค์หญิงเย่วเฟยกลับยืนหน้าแดงก่ำเพราะวาจาของเขา..
“น้องชาย นี่เจ้ากล้าเกี้ยวพาราสีน้องสาวของข้าต่อหน้าข้าเชียวรึ? เจ้ามิรู้สึกอับอายเคอะเขินบ้างหรืออย่างไร?” องค์ชายเย่วหรวนจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลงเฉิน พร้อมกับกระเซ้าเย้าแหย่..
“องค์ชายสอง.. ท่านอาจคิดว่านี่เป็นการเกี้ยวพาราสี แต่สำหรับข้าแล้ว นี่คือการกล่าวความจริงต่างหากเล่า” หลงเฉินตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆๆ สหายน้อย เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก! และดูเหมือนน้องสาวของข้าจักชื่นชอบคนเช่นเจ้าด้วยสิ โอ๊ย..!!”
องค์ชายเย่วหรวนหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ แต่แล้วก็ต้องร้องตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อถูกองค์หญิงเย่วเฟยหยิกเข้าให้..
“ว่าแต่เจ้ากลับมาเส้นทางนี้ใช่หรือไม่? นี่ย่อมหมายความว่าเจ้าล่วงหน้าไปก่อนพวกข้าแล้วสินะ ตลอดทางที่เจ้าผ่านไปนี้ เจ้าพบเห็นซากศพตามทางบ้างหรือไม่?” องค์ชายเย่วหรวนเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลงเฉินมาจากเส้นทางใด
“ข้าพบเห็นซากศพอยู่สองแห่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของคนคนเดียวกัน!” หลงเฉินตอบกลับด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“อืมม ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า เจ้าพบเห็นใครที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ลงมือหรือไม่?” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถามต่อ
“ระหว่างทางข้ามิพบเห็นผู้ใดเลย เพียงแต่เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้พบเห็นชายสองสามคน แต่พวกเขาดูมิมีพิษมีภัยเช่นเดียวกับข้า หลังจากเดินต่อไปได้อีกสักระยะ ข้าจึงตัดสินใจเดินทางกลับ และมาพบพวกท่านทั้งสองนี่ล่ะ..” หลงเฉินจ้องมององค์ชายเย่วหรวนพร้อมกับเอ่ยตอบ
“เหตุใดเจ้าจึงรีบกลับเล่า? มิอยากฝึกปรือให้แกร่งกว่านี้หรอกรึ?” องค์ชายเย่วหรวนร้องถามขึ้น
“ตลอดทางข้าเองก็ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรไปมากมายหลายตนแล้ว อีกอย่าง.. ข้าก็ได้รับอนุญาติให้มาที่นี่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น หากเกินกว่านี้ครอบครัวของข้าคงต้องเป็นห่วงและกังวลใจมากเป็นแน่” หลงเฉินจ้องมองไปทางทิศใต้พร้อมกับเอ่ยตอบองค์ชายสอง
“แล้วนี่เจ้าจะค้างคืนกับพวกเราที่นี่งั้นรึ?” องค์ชายเย่วหรวนเอ่ยถาม
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น.. ในเมื่อภายในค่ายกลเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในป่าเหนือทมิฬแห่งนี้ ข้าคงต้องขออนุญาติองค์ชายสองพักค้างคืนด้วยอีกครั้ง!”
“เอาล่ะ.. ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไปตั้งกระโจมได้เลย” องค์ชายเย่วหรวนร้องตอบ แล้วจึงเดินกลับไปหาองค์หญิงเย่วเฟย และทั้งคู่ก็นั่งมองหลงเฉินตั้งกระโจมของตนเอง
หลังจากที่หลงเฉินตั้งกระโจมเสร็จแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปนั่งรวมกับองค์ชายเย่วหรวนและองค์หญิงเย่วเฟิง จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวที่พบเจอในป่าใหญ่แห่งนี้ให้กับทั้งคู่ฟัง แต่แน่นอนว่าเขาย่อมเล่าเฉพาะสัตว์อสูรอ่อนแอที่ตนพบเจอ และสังหารไปเท่านั้น เรื่องสำคัญอื่นๆล้วนถูกปิดเป็นความลับไว้กับตนเอง
หลังจากนั้น ทั้งหมดต่างก็แยกย้ายกันกลับเข้ากระโจมของตนเอง หลงเฉินนั่งฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ภายในกระโจมอีกร่วมหนึ่งชั่วยาม และพบว่าก้าวหน้าไปได้ไม่น้อย หลังจากฝึกปรือแล้ว หลงเฉินจึงได้นำไข่อสูรออกมา และเริ่มป้อนพลังชี่ให้กับมันเหมือนเช่นทุกวัน
หลงเฉินมิได้รู้สึกกังวลว่าองค์รักษ์วังหลวงจักพบเห็นไข่อสูรนี้จากสัมผัสเทวะของพวกเขา เพราะสัมผัสได้นานแล้วว่า ไข่อสูรใบนี้สามารถอำพรางตนเองจากสัมผัสเทวะได้ เช่นเดียวกับหน้ากากของเขา..
“เร็วเข้าเจ้าตัวเล็ก.. รีบๆฟักออกมาเร็วๆ เจ้าจักให้ข้าต้องรอคอยไปถึงเมื่อใดกัน?”
หลงเฉินจ้องมองไข่อสูรพร้อมกับพูดคุยกับมัน หลังจากเก็บไข่เข้าไปไว้ในแหวนบรรจุดังเดิมแล้ว หลงเฉินจึงเดินออกมานอกกระโจม
‘หวังว่านางจะออกมานั่งมองท้องนภาเหมือนเช่นเคย!’
หลงเฉินแอบภาวนาอยู่ในใจ และเมื่อเขาก้าวเท้าออกมาจากกระโจม ก็ได้พบเห็นองค์หญิงเย่วเฟยนั่งอยู่ด้านนอก และกำลังจ้องมองท้องนภาเหมือนที่ทั้งคู่ได้พบกันครั้งแรกจริงๆ
“องค์หญิงออกมานั่งดูท้องฟ้าเหมือนเช่นเคย.. ท่านคงจะชอบธรรมชาติที่งดงามมากสินะ?” หลงเฉินเอ่ยขึ้นดึงความสนใจขององค์หญิงเย่วเฟย
“เจ้าเองก็ออกมาเหมือนกันมิใช่รึ?” องค์หญิงเย่วเฟยย้อนถาม
“แน่นอน.. ข้าเองก็ชื่นชอบธรรมชาติสวยๆงามๆเช่นกัน!” หลงเฉินยิ้มกว้างในขณะที่ตอบกลับไป
“เจ้าคงจักกล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าสตรีไปทั่วสินะ?” องค์หญิงเย่วเฟยเอ่ยถามขึ้นทันที