ตอนที่ 70 การตัดสินใจ
“เทนเชีย!! นี่ท่านอยากตายมากนักรึ?”
จักรพรรดิทารัสร้องคำรามออกมาเสียงดัง และรัศมีดุดันก็แผ่ออกจากร่างกระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น
“เดี๋ยวก่อนท่านทารัส!! ข้าหาได้มาที่นี่เพราะต้องการต่อสู้กับท่านไม่! พวกเรามีเรื่องสำคัญยิ่งจึงจำต้องมาปลุกท่านให้ตื่นจากการหลับไหล ข้าพยายามร้องตะโกนปลุกท่านอยู่หลายครา แต่ท่านก็มิได้รู้สึกตัวเลยแม้สักนิด ข้าจึงต้องใช้วิธีนี้ปลุกท่านอย่างไรกันเล่า หากมิเชื่อ.. ท่านก็ลองถามท่านบาลังดู”
จักรพรรดิเชนเทียรีบเอ่ยตอบในทันที..
“เขามิได้กล่าวคำเท็จเลยแม้แต่น้อย..” จักรพรรดิบาลังตอบกลับเมื่อเห็นทารัสจ้องมองมาทางตนเอง
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นงั้นรึ?” จักรพรรดิทารัสเอ่ยถามขึ้นทันทีที่สงบอารมณ์ลงได้ และรัศมีดุดันที่แผ่ออกจากร่างก็สงบลงด้วยเช่นกัน
“หลายพันปีผ่านมา.. ในที่สุดมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกของเราอีกครั้ง เวลานี้เขาอาศัยอยู่ในเผ่าแบนชี พวกเราจักต้องคิดหาแผนการที่เหมาะสมเพื่อที่จะมารับมือกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”
จักรพรรดิบาลังเอ่ยตอบพร้อมกับยื่นภาพของหลงเฉินให้กับจักรพรรดิทารัสดู..
“เหตุใดยังต้องใคร่ครวญคิดหาแผนการให้วุ่นวายด้วยเล่า? พวกเราควรต้องทำการสังหารมนุษย์ผู้นี้ทันทีต่างหาก เพื่อเป็นการแก้แค้นที่บรรพบุรุษของมันสังหารอสูรกายเผ่าเราตายไปตั้งมากมาย!!” จักรพรรดิเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดยิ่ง
“ทำเช่นนั้นมิได้!! นั่นเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมยิ่งในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกท่านทั้งสองก็รู้ดีมิใช่รึว่า ในมหาสงครามครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ มนุษย์เพียงผู้เดียวสามารถทำเช่นใดกับเผ่าอสูรกายของเราได้บ้าง หากเรายังทำสงครามกับมนุษย์อีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจทำให้เผ่าอสูรกายต้องล่มสลายไปเลยก็เป็นได้!”
“ในความเห็นของข้า.. พวกเราควรเจรจาและหาหนทางสร้างมิตรภาพกับเขาจักมิดีกว่ารึ? อย่าลืมว่ามนุษย์ผู้นี้ก็หาใช่คนเดียวกันกับเมื่อหลายพันปีก่อน เขาจึงมิใช่ศัตรูของพวกเรา และหากเราจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ไม่แน่ว่ามนุษย์ผู้นี้อาจกลายมาเป็นพันธมิตรกับเรา ข้าเห็นว่าการผูกมิตรกับมนุษย์ผู้นี้ จักทำให้เรารอดพ้นจากภัยคุกคามที่อาจเกิดกับเผ่าของเราได้”
จักรพรรดิบาลังเอ่ยแนะนำยืดยาว..
“บาลัง.. นี่ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?? ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามนุษย์ผู้นี้คือทายาทของมนุษย์! เป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์ที่เคยสังหารเหล่าอสูรกายตายไปตั้งมากมายในอดีต! ท่านปู่ท่านย่าเคยเล่าเรื่องความน่าสะพรึงกลัว ที่ชนเผ่าเราต้องถูกมนุษย์ผู้นั้นบดขยี้ให้ข้าฟังอยู่เสมอๆ! ข้ายังจดจำสีหน้าของพวกท่านทั้งสองขณะที่เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตได้ไม่ลืม..”
“ข้าเฝ้าภาวนาให้มนุษย์ปรากฏขึ้นในโลกของเราอีกครั้ง เพื่อที่ข้าจะได้มีโอกาสสังหารมันล้างแค้นให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา!”
จักรพรรดิทารัสคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นทันทีที่ได้ฟังคำกล่าวของจักรพรรดิบาลัง และใบหน้าของเขาก็บ่งบอกความรู้สึกนั้นอย่างชัดเจน
“พวกเรามิจำเป็นต้องทำผิดเหมือนเช่นที่บรรพบุรุษของเราเคยมองมนุษย์เป็นศัตรูมิใช่รึ? ท่านอย่าลืมว่าความอยู่รอดของเผ่าอสูรกายเวลานี้ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเรา!” จักรพรรดิบาลังเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“บาลัง.. ท่านกล่าวผิดแล้ว!! บรรพบุรุษของพวกเรามิเคยรุกรานมนุษย์ แต่มนุษย์ต่างหากเล่าที่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามระหว่างชนเผ่า และเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมทำร้ายพวกเราอย่างไร้ซึ่งเหตุผล!! ครั้งนั้น.. เหล่าอสูรกายมิเคยล่วงรู้แม้สักนิดว่ามีมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่วพวกมันลงมือโจมตีพวกเราก่อน!!” จักรพรรดิทารัสตอบโต้กลับทันที
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านทารัส!! ท่านพ่อท่านแม่ของข้าเองก็เคยเล่าเรื่องมหาสงครามในอดีตให้ข้าฟังเช่นกัน เผ่าอสูรกายของเรามิเคยทำไม่ดีต่อมนุษย์มาก่อน เป็นเขาต่างหากที่จู่โจมพวกเราอย่างไร้ซึ่งเหตุผล!” จักรพรรดิเชนเทียเอ่ยสนับสนุนคำพูดของจักรพรรดิทารัส
“ถูกต้อง!! มนุษย์ผู้นั้นไล่เข่นฆ่าสังหารเหล่าอสูรกายอย่างบ้าคลั่งและไร้ซึ่งเหตุผล!! แล้วเหตุใดพวกเรายังต้องเป็นมิตรกับลูกหลานของมันด้วยเล่า?” จักรพรรดิทารัสหันไปจ้องมองจักรพรรดิบาลังขณะเอ่ยตอบโต้
“ข้าเพียงแค่มิต้องการให้เหตุการณ์เช่นเดิมเกิดซ้ำขึ้นอีกครั้งเท่านั้น.. ข้าคำนึงถึงความปลอดภัยของเผ่าอสูรกายเป็นหลัก อย่าให้ความแค้นเข้าครอบงำจนตัดสินใจผิดพลาดสหาย!!” จักรพรรดิบาลังเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
“จะมิมีเหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้นอีกเป็นแน่! หลายร้อยปีที่พวกเราเฝ้าฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นนั้น พวกเราต่างก็แข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษมากนัก ในขณะที่เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ผู้นี้ดูอ่อนแอกว่ามนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อนยิ่งนัก!” จักรพรรดทารัสเอ่ยตอบโต้ในทันที
“พวกเราจำต้องสังหารมนุษย์ในยามที่เขายังอ่อนแออยู่เช่นนี้!!” จักรพรรดิทารัสกล่าวเสิรม
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเราจักต้องต่อสู้กับมนุษย์ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านมิต้องการผูกมิตรกับเขา?! แต่กลับต้องการทำตัวเป็นศัตรูกับมนุษย์ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นนี้..”
“เผ่าอสูรกายของเราก็มิได้รุกรานเผ่าอื่น และอยู่แต่ในดินแดนของตนอย่างสงบมาได้ตลอดหลายพันปี หากพวกเรามิได้ไปยุ่งกับมนุษย์ผู้นั้น เขาจักหาเหตุผลใดรุกรานเผ่าของเราได้เล่า? และท้ายที่สุดเขาจักต้องหายตัวไปเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนก่อน!” จักรพรรดิบาลังให้เหตุผล
“แล้วหากมนุษย์ผู้นี้คลุ้มคลั่งดังเช่นมนุษย์คนก่อนเล่า? ในมหาสงครามครั้งก่อน มนุษย์ก็สังหารพวกเราอย่างไร้เหตุผล! หากปล่อยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น วันหนึ่งเกิดมนุษย์ผู้นี้คลุ้มคลั่งและคิดรุกรานเผ่าของเราเล่า? ท่านจักมั่นใจได้อย่างไรว่าถึงเวลานั้นจะมิสายเกินไปที่จะหยุดยั้งเขาได้?” จักรพรรดิตอบโต้อย่างมิยอมแพ้
“ข้าชื่นชอบสหายทั้งสอง.. แต่ข้าเห็นด้วยกับท่านทารัสมากกว่าสหายเฒ่า! อภัยที่ข้าคิดเห็นต่างจากท่าน ข้าคิดว่าพวกเราควรต้องสังหารมนุษย์ผู้นี้ในขณะที่เขายังอ่อนแออยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า..” จักรพรรดิเชนเทียเอ่ยสนับสนุนความเห็นของจักรพรรดิทารัส
“แต่…”
จักรพรรดิบาลังอยากจะกล่าวต่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจักรพรรดิทั้งสองที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะรู้ดีว่าต่อให้ตนเองยกเหตุผลมากมายขึ้นมาอ้าง ก็คงมิอาจโน้มน้าวจักรพรรดิทั้งสองได้เป็นแน่
“ข้าหลับไหลไปเป็นเวลานเนิ่นนาน ได้เวลาที่จะออกไปสังหารมดปลวกแล้วสินะ!” จักรพรรดิทารัสประกาศกร้าว
“ข้ารู้ดีว่าแม้จะยกแม่น้ำทั้งห้ามากล่าวอ้าง ก็คงยากที่จะทำให้พวกท่านทั้งสองเห็นด้วยกับข้าได้ ข้าได้แต่หวังว่าการตัดสินใจของพวกท่านในครั้งนี้ จักมินำพาโศกนาฏกรรมให้เกิดกับเผ่าของเราอีกครั้ง!” จักรพรรดิบาลังกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“สหายเฒ่า.. หากท่านกังวลเช่นนั้น ท่านก็อยู่แนวหลังดังเช่นเมื่อครั้งที่บรรพบุรุษเคยทำ ท่านคอยเฝ้าอยู่ที่ดินแดนอสูรกายนี้ ส่วนพวกเราจักออกไปสังหารเด็กนั่น และชนเผ่าที่บังอาจสมคบคิดกับมนุษย์”
จักรพรรดิทารัสเอ่ยตอบขณะที่เดินไปตามทางซึ่งมุ่งหน้าสู่ทางออกของอุโมงค์ โดยมีจักรพรรดิเชนเทียนและจักรพรรดิบาลังเดินตามหลังออกไป
ผ่านไปราวครึ่งวัน.. ในที่สุดจักรพรรดิทั้งสามก็เดินทางเข้าสู่เมืองอสูรกาย ทำให้ภายในเมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นทันที!
“นี่.. ข้าเห็นจักรพรรดิทั้งสามเดินมาด้วยกัน!! จักต้องมีเรื่องราวใหญ่โตและสำคัญเกิดขึ้นเป็นแน่!” อสูรกายซึ่งมีใบหน้าเป็นวัว และลำตัวเป็นหมีเอ่ยกับสหายของเขา
“ข้าเองก็เห็นเช่นกัน!! ทั้งสามพระองค์มุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วย เป็นเวลานับร้อยๆปีแล้วที่จักรพรรดิทั้งสามมิเคยปรากฏตัวพร้อมกันเช่นนี้! ข้าได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิเชนเทียกับองค์จักรพรรดิทารัสนั้นมิได้อาศัยอยู่ในเมือง แต่กลับหลีกเร้นไปอยู่ในที่ซึ่งมิมีผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงองค์จักรพรรดิบาลังเท่านั้นที่คอยดูแล แต่ก็มิเคยปรากฏตัวให้เหล่าอสูรกายได้เห็นนานนับร้อยๆปีแล้วเช่นกัน!” สหายของเขาเอ่ยตอบ
“นั่นสิ! ข้าประหลาดใจยิ่งนัก.. มีเหตุอันใดสำคัญจนถึงขั้นองค์จักรพรรดิทั้งสามจักต้องปรากฏตัวพร้อมกันเช่นนี้? หรือกำลังจักมีสงครามแย่งชิงดินแดนงั้นรึ?” อสูรกายหน้าวัวคาดเดา
“ข้าว่าอีกไม่นานพวกเราก็คงได้รู้เองล่ะ..” สหายของเขาเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองไปทางพระราชวังโอ่อ่า
บทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วทุกมุมเมือง เหล่าอสูรกายทั้งหลายต่างพากันคาดเดาว่าจักมีการทำสงครามแย่งชิงดินแดนเกิดขึ้นอีกครั้ง มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือออกมาว่าเกิดการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์อสูรกายสี่คนกับจอมราชันย์อีกหกคนขึ้นด้วย และสองจอมราชันย์ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว สถานการณ์เลวร้ายอย่างมากจนจักรพรรดิทั้งสามต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง แม้จักมิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนกุข่าวลือนี้ขึ้นมา แต่มันก็ได้แพร่สะพรัดไปทั่วเมืองอสูรแล้ว
เวลานี้เหล่าจอมราชันย์ทั้งหมดได้นั่งปรึกษาหารือกันอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ เพื่อหาทางรับมือกับมนุษย์ที่ปรากฏขึ้น ในขณะเดียวกันก็กำลังรอการตัดสินใจจากองค์จักรพรรดิทั้งสามอยู่ และเมื่อประตูห้องโถงใหญ่เปิดออก เหล่าจอมราชันย์ทั้งหมดก็ได้ลุกขึ้นยืนและย่อเข่าลงทำความเคารพจักรพรรดิทั้งสามพระองค์ในทันที
“ลุกขึ้นได้! พวกข้าทั้งสามได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และได้ตัดสินใจแล้ว! พวกเจ้าเตรียมเหล่านักรบให้พร้อม พวกเราจะบุกไปสังหารมนุษย์และถล่มเผ่าแบนชีให้สิ้นซาก ในฐานะที่พวกมันบังอาจให้ที่อยู่กับมนุษย์ผู้นั้น!” จักรพรรดิทารัสออกคำสั่ง
‘เฮ้อ.. ในเมื่อพวกท่านตัดสินใจเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ภาวนาให้พวกท่านทำสำเร็จนะสหาย! นับจากนี้ไปความอยู่รอดของเผ่าอสูรกายล้วนอยู่ในกำมือของพวกท่านทั้งสองแล้ว และหวังว่าครั้งนี้พวกท่านจักตัดสินใจได้ถูกต้อง’ จักรพรรดิบาลังได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลยเถิดมาถึงเพียงนี้แล้ว
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน..
ในขณะที่จักรพรรดิของเผ่าอสูกรายตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเผ่าแบนชีอีกครั้ง จุดประสงค์เพื่อมุ่งสังหารหลงเฉิน แต่หลงเฉินกลับยังคงยุ่งอยู่และมิได้ล่วงรู้ หรือระแคะระคายเหตุการณ์ต่างๆภายในเผ่าอสูรกายเลยแม้แต่น้อย
นับเป็นวันที่ห้าแล้วที่จุดสีแดงสว่างไสวได้ปรากฏขึ้นภายในห้วงผู้ฝึกยุทธของหลงเฉิน ในระหว่างที่เขากำลังฝึกวรยุทธบ่มเพาะเพื่อทะลวงเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำ
หลังจากการดูดซับพลังชี่ในห้วงอากาศเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่งยาวนานถึงห้าวัน ในที่สุดหลงเฉินก็หยุด และพลังชี่ในเผ่าแบนชีก็ถูกดูดซับเข้าไปจนแห้งเหือด เรียกได้ว่าแม้กระทั่งเผ่าเอลเฟียซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ยังรับรู้ได้ถึงผลกระทบในครั้งนี้..